กระทู้นี้ทำขึ้นเพื่อทดสอบสูตรกรองหุ้นด้วยวิธี Magic formula (MF)
Magic formula หรือ MF จากหนังสือชื่อ คัมภีร์สุดยอดนักลงทุน (The little book that beats the market)
ผู้เขียน Joel Greenblatt (โจเอล กรีนแบลตต์) ผู้แปล ชานันท์ อารีย์วัฒนานนท์ โดยเป็นสูตรกรองหุ้นจากค่า PE และ ROE
PEน้อยสุดได้คะแนนน้อยสุด ROEมากสุดได้คะแนนน้อยสุด แล้วนำคะแนนจากค่าทั้งสองมารวมกัน
หุ้นตัวไหนได้คะแนนรวมน้อยที่สุด 30 อันดับแรกน่าลงทุน
โดยผมได้ลอง Back Test โดยเริ่มลงทุนด้วยเงินจำนวน 300,000 บาท แบ่งลงทุนในหุ้น 30 อันดับแรกในสัดส่วนเท่าๆกัน
โดยใช้ข้อมูลสิ้นปี 2006 แล้วซื้อหุ้นทั้ง 30ตัว ในราคาเปิดตอนต้นปี 2007 และขายที่ปิดตอนสิ้นปี 2007 แล้วใช้ข้อมูลสิ้นปี 2007
เพื่อกรองหาหุ้นอีก 30ตัว แล้วเข้าซื้อหุ้นที่ราคาเปิดตอนต้นปี 2008 และขายที่ปิดตอนสิ้นปี 2008 แล้วทำซ้ำอย่างนี้ตั้งแต่ปี 2007-2015
ผลปรากฏว่าจากเงินลงทุนเริ่มต้น 3แสนบาท ใช้เวลา 9ปี เพิ่มมูลค่าเป็น 2,265,811 บาท หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นที่ 25%
ซึ่งผมคิดว่าไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่นั่นยังไม่พอ ผมลอง Back Test โดยเปลี่ยนเงื่อนไขเป็นลงทุนในหุ้น 20,10,5,3 อันดับแรกดูบ้าง
ผลปรากฏว่า 20,10 อันดับแรกผลลัพธ์ไม่ค่อยจะต่างจาก 30อันดับแรกเท่าไรนัก แต่กับ 5,3 อันดับแรกนี่กลับได้ผลตอบแทนสูงกว่า
การลงทุน 30อันดับแรกมากถึง 2 เท่าด้วยกัน ลองพิจารณาจากรูปดูครับ
แต่ลองสังเกตการลงทุนใน 5,3 อันดับแรกได้ผลตอบแทนมากนั้นเป็นความบังเอิญที่ในปี 2014 ลงทุนในหุ้น PAF ที่ราคา 0.61บาท/หุ้น
แล้วขายสิ้นปีที่ราคา5.95บาท/หุ้น ซึ่งคิดเป็นผลตอบแทนต่อปีที่ 875%
และด้วยการที่ลงในสัดส่วนที่มาก จึงทำให้ผลตอบแทนของพอร์ตสูงขึ้นตามไปด้วย แต่ความเสี่ยงและผลตอบแทนมันก็ขึ้นอยู่ตรงนี้ครับ
ถ้าเรากระจายความเสี่ยงมากผลตอบแทนก็จะลดลงแต่ความผันผวนของพอร์ตเราก็ลดลงเช่นกัน
แต่ถ้าเรากระจายความเสี่ยงน้อยผลตอบแทนอาจจะสูงมากแต่โอกาสขาดทุนก็มีมากเช่นกัน
ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การลงทุนของแต่ละท่านนะครับ
หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์กับนักลงทุนทุกท่านนะครับ
ขอบคุณครับ
สร้างผลตอบแทนทบต้นมากกว่า20% ด้วย MF
Magic formula หรือ MF จากหนังสือชื่อ คัมภีร์สุดยอดนักลงทุน (The little book that beats the market)
ผู้เขียน Joel Greenblatt (โจเอล กรีนแบลตต์) ผู้แปล ชานันท์ อารีย์วัฒนานนท์ โดยเป็นสูตรกรองหุ้นจากค่า PE และ ROE
PEน้อยสุดได้คะแนนน้อยสุด ROEมากสุดได้คะแนนน้อยสุด แล้วนำคะแนนจากค่าทั้งสองมารวมกัน
หุ้นตัวไหนได้คะแนนรวมน้อยที่สุด 30 อันดับแรกน่าลงทุน
โดยผมได้ลอง Back Test โดยเริ่มลงทุนด้วยเงินจำนวน 300,000 บาท แบ่งลงทุนในหุ้น 30 อันดับแรกในสัดส่วนเท่าๆกัน
โดยใช้ข้อมูลสิ้นปี 2006 แล้วซื้อหุ้นทั้ง 30ตัว ในราคาเปิดตอนต้นปี 2007 และขายที่ปิดตอนสิ้นปี 2007 แล้วใช้ข้อมูลสิ้นปี 2007
เพื่อกรองหาหุ้นอีก 30ตัว แล้วเข้าซื้อหุ้นที่ราคาเปิดตอนต้นปี 2008 และขายที่ปิดตอนสิ้นปี 2008 แล้วทำซ้ำอย่างนี้ตั้งแต่ปี 2007-2015
ผลปรากฏว่าจากเงินลงทุนเริ่มต้น 3แสนบาท ใช้เวลา 9ปี เพิ่มมูลค่าเป็น 2,265,811 บาท หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นที่ 25%
ซึ่งผมคิดว่าไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่นั่นยังไม่พอ ผมลอง Back Test โดยเปลี่ยนเงื่อนไขเป็นลงทุนในหุ้น 20,10,5,3 อันดับแรกดูบ้าง
ผลปรากฏว่า 20,10 อันดับแรกผลลัพธ์ไม่ค่อยจะต่างจาก 30อันดับแรกเท่าไรนัก แต่กับ 5,3 อันดับแรกนี่กลับได้ผลตอบแทนสูงกว่า
การลงทุน 30อันดับแรกมากถึง 2 เท่าด้วยกัน ลองพิจารณาจากรูปดูครับ
แต่ลองสังเกตการลงทุนใน 5,3 อันดับแรกได้ผลตอบแทนมากนั้นเป็นความบังเอิญที่ในปี 2014 ลงทุนในหุ้น PAF ที่ราคา 0.61บาท/หุ้น
แล้วขายสิ้นปีที่ราคา5.95บาท/หุ้น ซึ่งคิดเป็นผลตอบแทนต่อปีที่ 875%
และด้วยการที่ลงในสัดส่วนที่มาก จึงทำให้ผลตอบแทนของพอร์ตสูงขึ้นตามไปด้วย แต่ความเสี่ยงและผลตอบแทนมันก็ขึ้นอยู่ตรงนี้ครับ
ถ้าเรากระจายความเสี่ยงมากผลตอบแทนก็จะลดลงแต่ความผันผวนของพอร์ตเราก็ลดลงเช่นกัน
แต่ถ้าเรากระจายความเสี่ยงน้อยผลตอบแทนอาจจะสูงมากแต่โอกาสขาดทุนก็มีมากเช่นกัน
ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การลงทุนของแต่ละท่านนะครับ
หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์กับนักลงทุนทุกท่านนะครับ
ขอบคุณครับ