ขอบคุณรูปภาพจากทวิตเตอร์
Grey Rainbow fanfiction
“สอง สอง สาม ดี แรงอีก ดี แรง แรง ดี”
กลางเวทีพื้นผ้าใบเสียงครูฝึกมวยให้จังหวะ ขณะเขาปล่อยหมัดกระแทกเป้าล่อ
เหนือก้าวเท้าเข้าหาครูฝึกช้าๆ สลับการเต้นฟุตเวิร์คไปมา เขาพยามใช้สมาธิจดจ่อกับการฝึก
สายตาจดจ้องเพื่อดูทิศทางการโยกเป้าล่อของครูฝึกว่ามันจะมาซ้ายหรือขวา
แต่จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องยากมากสำหรับการทำสมาธิในวันนี้
นั่นเพียงเพราะเหนือคอยการกลับมาของใครบางคน หลังจากที่เขาได้คุยไลน์กันเมื่อคืนวาน
พอร์ช ชื่อรูมเมทและเป็นเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอเลยตลอดช่วงเวลาปิดเทอม
และเป็นคนที่ทำลายสมาธิของเหนือในวันนี้นั่นเอง
ชั่วอึดใจต่อมาเหนือแทบจะกระโจนออกนอกเวทีมวย เมื่อเขาได้ยินเสียงสายเรียกเข้าดังขึ้น
แน่นอนเสียงสายเรียกเข้าแบบนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น
หากเหนือแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ปล่อยให้มันดังเลยต่อไปอีกหน่อย
จะอะไรละถ้าไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้เขาโดนครูฝึกมวยดุเอา
เพราะดันไม่มีสมาธิในการฝึกซ้อมเลย
เหนือสาวเท้าเข้าหาครูฝึกปล่อยหมัดใส่เป้าล่ออีกสองสามชุดก่อนจะตีเนียน
แสร้งทำเป็นเพิ่งได้ยินเสียงโทรศัพท์ และขออณุญาตออกไปรับสาย
เขาถอดนวมมือออกทิ้งลงพื้นทันทีที่ได้รับอณุญาตจากครูฝึก
เดินมาด้านข้างเวทีก่อนก้มลอดผ่านเชือกก้าวขาลงเวทีมวย
หัวแทบคะมำเมื่อสดุดขาตัวเองตรงบันใดขั้นสุดท้าย
เขาสะบัดหน้าอย่างนึกขำอาการร้อนรนของตัวเอง ก่อนเดินไปนั่งหอบหายใจแรงข้างเวที
เหนือพยามดึงลมหายใจเข้าปอดลึกๆ หยิบโทรศัพท์ที่วางทับบนกระเป๋าเป้ขึ้นมารับสาย
พูดคุยกับอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ ฮัลโหล ..”
“ อ่อ.ถึงแล้วเหรอ..”
“โอเคๆ… เอ่อเดี้ยวไปรับ”
เหนือวางสายโทรศัพท์หลังจากรู้พิกัดว่าจะไปรับเพื่อนที่ไหน
เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงร้อยแปดสิบเอ็ดเซ็น คว้ากระเป๋าหันไปตะโกนลาครูฝึก
ก่อนเดินจ้ำอ้าวไปที่ลานจอดรถ ขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซหยิบหมวกกันน็อคขึ้นมาสวม
ขับรถเพื่อออกไปรับเพื่อนสนิท จุดหมายคือสถานีขนส่งผู้โดยสารทางรถไฟเชียงใหม่
ใช้เวลาไปไม่น้อยอยู่เหมือนกันในที่สุดเขาก็มาถึง
ตอนนี้ผู้คนเริ่มพลุกพล่าน เพราะมีขบวนรถไฟจอดเทียบซานซาลา
เหนือออกจะชินตากับภาพเหล่านักเที่ยว แบบที่มาเป็นกลุ่มใหญ่ๆ
หรือแบกเป้ฉายเดี่ยวมาคนเดียว ทั้งคนไทยและคนต่างชาติที่เดินทางขึ้นมาท่องเที่ยว
เยี่ยมชมความสวยงามและวัฒนธรรมของชาวล้านนา จนเหนืออดภูมิใจในตัวเองไม่ได้ที่เกิดเป็นคนเชียงใหม่
แต่คิดๆไปแล้วไม่ว่าจะคนภาคไหน ทุกคนก็คงจะภูมิใจในบ้านเกิดเมืองนอนของตนแน่ๆ
เหนือเลี้ยวรถมอเตอร์ไซวนไปทางวงเวียน ผ่านหอนาฬิกาด้านหน้าสถานีรถไฟมาทางขวา
เขามองเห็นพอร์ชแล้ว เจ้าตัวนั่งคอยที่ม้านั่งเลียนแบบไม้ทำจากปูน
ทรงหมอนรองรางรถไฟ ซึ่งอีกฝ่ายก็มองเห็นเขาแล้วเช่นกัน
พอร์ชดีดตัวขึ้นจากที่นั่งเอามือเสยผมขึ้น
ยามเมื่อถูกสายลมพัดปลายเส้นผมลงมาปิดบังดวงตา
พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดจะน้อยใจ ทันทีที่เหนือจอดรถริมฟุตบาทตรงหน้า
“ กว่าจะมาได้นะ”
“ แหม! สถานีรถไฟมันใกล้จังเนาะ ถ้าไม่อยากรอ
ทำไมไม่บินมานี่ขับไปแป๊บเดียวเอง คิดถึงเหรอ ”
เหนือว่าพร้อมถามกลับดวงตาเป็นประกาย พอร์ชมองสบตาเขานิ่งเหมือนคิดอะไรบางอย่าง ก่อนตอบด้วยรูปประโยคไม่ตรงกับคำถาม
“ หิวข้าววะ ไปเหอะ ” เหนือรู้สึกผิดหวังที่พอร์ชไม่ยอมบอกว่าคิดถึงเขา
แต่ก็ยังตีสีหน้าทะเล้นยื่นมือออกไปตรงหน้าเพื่อนสนิท
“ แล้วของฝากละ”
“ ไม่มี _________ เฮ้ยยไอ้เหนือ! _________ เหนือหยุดดิ!!! ”
พอร์ชเรียกสีหน้าตกใจเมื่อจู่ๆเขาก็บิตมอเตอร์ไซหนี ไม่ยอมให้อีกฝ่ายขึ้นช้อนท้าย
ปล่อยให้พอร์ชสะพายกระเป๋าเป้วิ่งไล่กวดตามมา ก่อนจะชะลอรถจนอีกฝ่ายตามทัน
“ ผัวะ!!____________เล่นอะไรว่ะเนี่ย! ”
“ โอ้ยย!!”
เหนือร้องเมื่อถูกพอร์ชตบลงมาบนหน้ากากหมวกกันน๊อคเต็มแรง
น้ำเสียงเพื่อนสนิทดูโมโหจริงจัง ดวงตาแวววาวนั่นทำเอาเหนืออารมณ์ดี ฉีกยิ้มกว้างหัวเราะในลำคอเบาๆ
“ ไม่ได้แกล้งนานแล้วสนุกดีว่ะ”
“สนุกเชี่ย!อะไร เหนื่อยไอ้สัส”
เหนือยังคงชอบให้พอร์ชแสดงอารมณ์ทางสีหน้าในรูปแบบที่แตกต่างออกไป
มากกว่าใบหน้าเหมือนคนเก็บอะไรไว้ในใจตลอดเวลา
เหนือ นึกถึงครั้งเมื่อเป็นรูมเมทกันใหม่ๆ
ชายหนุ่มหน้าตี๋ตัวขาวกับผมลองทรงยาวด้านหน้า
มักถูกปลายเส้นผมเจ้าตัวปิดปังแววตาอยู่เสมอ ดูเงียบและมีปมในใจมากมาย
“พอร์ชเคยขับมอเตอร์ไซป่ะ”
“ ไม่ ”
“เคยนั่งช้อนท้ายป่ะ”
“ ไม่ ”
“พรุ่งนี้วันอาทิตย์ว่างป่ะ”
คำถามต่อมาทำให้เพื่อนไหม่ชะงักหยุดการค้นหาข้อมูลผ่านทางอินเตอร์เน็ต
ความเงียบรายล้อมรอบตัวราวกับว่าการให้คำตอบเขา มีผลกระทบต่อวิธีชีวิต
“ ว่างทำไม?”
“ ดีงั้นพรุ่งนี้กูนัดตีสี่ กูนอนก่อนแล้วกันจะสี่ทุ่มแล้ว”
ฟีววววววววว_____________ฟีวววววววววว___________________
เสียงรถมอเตอร์ไซที่ดับเครื่องยนต์ใส่เกียร์ว่าง กำลังแหวกอากาศไต่ระดับวนลงเนินเขาสูงด้วยความรวดเร็ว เหนืออมยิ้มเมื่อรู้สึกว่าอ้อมแขนที่รัดแน่นช่วงเอวเขาตอนนี้คลายออก
คนช้อนท้ายดูผ่อนคลายมากขึ้น เหนือได้ยินเสียงพอร์ชแทรกอากาศมาเป็นระยะ
จับใจความได้ว่าเจ้าตัวกำลังดื่มด่ำกับความสวยงามของธรรมชาติ
แสงสีทองอ่อนจับขึ้นที่ตรงภูเขาอีกฝั่ง
ละลองหมอกเย็นๆคล้ายก้อนเมฆเคลื่อนย้ายตัดผ่านลำตัว
นาขั้นบันไดที่ลดลั่นคดเคี้ยวไปตามไหล่เขาเริ่มเห็นเด่นชัด
ยามแสงอาทิตย์สาดกระจายไปตกกระทบพื้นท้องทุ่งนาเขียวขจี
“ เชี่ย_____! ตอนแรกน่ากลัว
รถมอเตอร์ไซนี่ลงเขาใส่เกียร์ว่างได้
ด้วยเหรอว่ะ! กูก็นึกว่าต้องใส่เกียร์ต่ำ
.
.
แต่ว่า_____
ขอบใจน่ะ ”
นั่นเป็นครั้งแรกที่เหนือเห็นรอยยิ้มที่สดใสประกายตามีความสุข
จากคนที่ยืนอยู่ข้างๆจ้องมองวิวทิวทัศน์ ไปด้วยกัน
มิติรักผ่านตัวอักษร Grey Rainbow fanfiction
ขอบคุณรูปภาพจากทวิตเตอร์
Grey Rainbow fanfiction
“สอง สอง สาม ดี แรงอีก ดี แรง แรง ดี”
กลางเวทีพื้นผ้าใบเสียงครูฝึกมวยให้จังหวะ ขณะเขาปล่อยหมัดกระแทกเป้าล่อ
เหนือก้าวเท้าเข้าหาครูฝึกช้าๆ สลับการเต้นฟุตเวิร์คไปมา เขาพยามใช้สมาธิจดจ่อกับการฝึก
สายตาจดจ้องเพื่อดูทิศทางการโยกเป้าล่อของครูฝึกว่ามันจะมาซ้ายหรือขวา
แต่จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องยากมากสำหรับการทำสมาธิในวันนี้
นั่นเพียงเพราะเหนือคอยการกลับมาของใครบางคน หลังจากที่เขาได้คุยไลน์กันเมื่อคืนวาน
พอร์ช ชื่อรูมเมทและเป็นเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอเลยตลอดช่วงเวลาปิดเทอม
และเป็นคนที่ทำลายสมาธิของเหนือในวันนี้นั่นเอง
ชั่วอึดใจต่อมาเหนือแทบจะกระโจนออกนอกเวทีมวย เมื่อเขาได้ยินเสียงสายเรียกเข้าดังขึ้น
แน่นอนเสียงสายเรียกเข้าแบบนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น
หากเหนือแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ปล่อยให้มันดังเลยต่อไปอีกหน่อย
จะอะไรละถ้าไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้เขาโดนครูฝึกมวยดุเอา
เพราะดันไม่มีสมาธิในการฝึกซ้อมเลย
เหนือสาวเท้าเข้าหาครูฝึกปล่อยหมัดใส่เป้าล่ออีกสองสามชุดก่อนจะตีเนียน
แสร้งทำเป็นเพิ่งได้ยินเสียงโทรศัพท์ และขออณุญาตออกไปรับสาย
เขาถอดนวมมือออกทิ้งลงพื้นทันทีที่ได้รับอณุญาตจากครูฝึก
เดินมาด้านข้างเวทีก่อนก้มลอดผ่านเชือกก้าวขาลงเวทีมวย
หัวแทบคะมำเมื่อสดุดขาตัวเองตรงบันใดขั้นสุดท้าย
เขาสะบัดหน้าอย่างนึกขำอาการร้อนรนของตัวเอง ก่อนเดินไปนั่งหอบหายใจแรงข้างเวที
เหนือพยามดึงลมหายใจเข้าปอดลึกๆ หยิบโทรศัพท์ที่วางทับบนกระเป๋าเป้ขึ้นมารับสาย
พูดคุยกับอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ ฮัลโหล ..”
“ อ่อ.ถึงแล้วเหรอ..”
“โอเคๆ… เอ่อเดี้ยวไปรับ”
เหนือวางสายโทรศัพท์หลังจากรู้พิกัดว่าจะไปรับเพื่อนที่ไหน
เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงร้อยแปดสิบเอ็ดเซ็น คว้ากระเป๋าหันไปตะโกนลาครูฝึก
ก่อนเดินจ้ำอ้าวไปที่ลานจอดรถ ขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซหยิบหมวกกันน็อคขึ้นมาสวม
ขับรถเพื่อออกไปรับเพื่อนสนิท จุดหมายคือสถานีขนส่งผู้โดยสารทางรถไฟเชียงใหม่
ใช้เวลาไปไม่น้อยอยู่เหมือนกันในที่สุดเขาก็มาถึง
ตอนนี้ผู้คนเริ่มพลุกพล่าน เพราะมีขบวนรถไฟจอดเทียบซานซาลา
เหนือออกจะชินตากับภาพเหล่านักเที่ยว แบบที่มาเป็นกลุ่มใหญ่ๆ
หรือแบกเป้ฉายเดี่ยวมาคนเดียว ทั้งคนไทยและคนต่างชาติที่เดินทางขึ้นมาท่องเที่ยว
เยี่ยมชมความสวยงามและวัฒนธรรมของชาวล้านนา จนเหนืออดภูมิใจในตัวเองไม่ได้ที่เกิดเป็นคนเชียงใหม่
แต่คิดๆไปแล้วไม่ว่าจะคนภาคไหน ทุกคนก็คงจะภูมิใจในบ้านเกิดเมืองนอนของตนแน่ๆ
เหนือเลี้ยวรถมอเตอร์ไซวนไปทางวงเวียน ผ่านหอนาฬิกาด้านหน้าสถานีรถไฟมาทางขวา
เขามองเห็นพอร์ชแล้ว เจ้าตัวนั่งคอยที่ม้านั่งเลียนแบบไม้ทำจากปูน
ทรงหมอนรองรางรถไฟ ซึ่งอีกฝ่ายก็มองเห็นเขาแล้วเช่นกัน
พอร์ชดีดตัวขึ้นจากที่นั่งเอามือเสยผมขึ้น
ยามเมื่อถูกสายลมพัดปลายเส้นผมลงมาปิดบังดวงตา
พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดจะน้อยใจ ทันทีที่เหนือจอดรถริมฟุตบาทตรงหน้า
“ กว่าจะมาได้นะ”
“ แหม! สถานีรถไฟมันใกล้จังเนาะ ถ้าไม่อยากรอ
ทำไมไม่บินมานี่ขับไปแป๊บเดียวเอง คิดถึงเหรอ ”
เหนือว่าพร้อมถามกลับดวงตาเป็นประกาย พอร์ชมองสบตาเขานิ่งเหมือนคิดอะไรบางอย่าง ก่อนตอบด้วยรูปประโยคไม่ตรงกับคำถาม
“ หิวข้าววะ ไปเหอะ ” เหนือรู้สึกผิดหวังที่พอร์ชไม่ยอมบอกว่าคิดถึงเขา
แต่ก็ยังตีสีหน้าทะเล้นยื่นมือออกไปตรงหน้าเพื่อนสนิท
“ แล้วของฝากละ”
“ ไม่มี _________ เฮ้ยยไอ้เหนือ! _________ เหนือหยุดดิ!!! ”
พอร์ชเรียกสีหน้าตกใจเมื่อจู่ๆเขาก็บิตมอเตอร์ไซหนี ไม่ยอมให้อีกฝ่ายขึ้นช้อนท้าย
ปล่อยให้พอร์ชสะพายกระเป๋าเป้วิ่งไล่กวดตามมา ก่อนจะชะลอรถจนอีกฝ่ายตามทัน
“ ผัวะ!!____________เล่นอะไรว่ะเนี่ย! ”
“ โอ้ยย!!”
เหนือร้องเมื่อถูกพอร์ชตบลงมาบนหน้ากากหมวกกันน๊อคเต็มแรง
น้ำเสียงเพื่อนสนิทดูโมโหจริงจัง ดวงตาแวววาวนั่นทำเอาเหนืออารมณ์ดี ฉีกยิ้มกว้างหัวเราะในลำคอเบาๆ
“ ไม่ได้แกล้งนานแล้วสนุกดีว่ะ”
“สนุกเชี่ย!อะไร เหนื่อยไอ้สัส”
เหนือยังคงชอบให้พอร์ชแสดงอารมณ์ทางสีหน้าในรูปแบบที่แตกต่างออกไป
มากกว่าใบหน้าเหมือนคนเก็บอะไรไว้ในใจตลอดเวลา
เหนือ นึกถึงครั้งเมื่อเป็นรูมเมทกันใหม่ๆ
ชายหนุ่มหน้าตี๋ตัวขาวกับผมลองทรงยาวด้านหน้า
มักถูกปลายเส้นผมเจ้าตัวปิดปังแววตาอยู่เสมอ ดูเงียบและมีปมในใจมากมาย
“พอร์ชเคยขับมอเตอร์ไซป่ะ”
“ ไม่ ”
“เคยนั่งช้อนท้ายป่ะ”
“ ไม่ ”
“พรุ่งนี้วันอาทิตย์ว่างป่ะ”
คำถามต่อมาทำให้เพื่อนไหม่ชะงักหยุดการค้นหาข้อมูลผ่านทางอินเตอร์เน็ต
ความเงียบรายล้อมรอบตัวราวกับว่าการให้คำตอบเขา มีผลกระทบต่อวิธีชีวิต
“ ว่างทำไม?”
“ ดีงั้นพรุ่งนี้กูนัดตีสี่ กูนอนก่อนแล้วกันจะสี่ทุ่มแล้ว”
ฟีววววววววว_____________ฟีวววววววววว___________________
เสียงรถมอเตอร์ไซที่ดับเครื่องยนต์ใส่เกียร์ว่าง กำลังแหวกอากาศไต่ระดับวนลงเนินเขาสูงด้วยความรวดเร็ว เหนืออมยิ้มเมื่อรู้สึกว่าอ้อมแขนที่รัดแน่นช่วงเอวเขาตอนนี้คลายออก
คนช้อนท้ายดูผ่อนคลายมากขึ้น เหนือได้ยินเสียงพอร์ชแทรกอากาศมาเป็นระยะ
จับใจความได้ว่าเจ้าตัวกำลังดื่มด่ำกับความสวยงามของธรรมชาติ
แสงสีทองอ่อนจับขึ้นที่ตรงภูเขาอีกฝั่ง
ละลองหมอกเย็นๆคล้ายก้อนเมฆเคลื่อนย้ายตัดผ่านลำตัว
นาขั้นบันไดที่ลดลั่นคดเคี้ยวไปตามไหล่เขาเริ่มเห็นเด่นชัด
ยามแสงอาทิตย์สาดกระจายไปตกกระทบพื้นท้องทุ่งนาเขียวขจี
“ เชี่ย_____! ตอนแรกน่ากลัว รถมอเตอร์ไซนี่ลงเขาใส่เกียร์ว่างได้
ด้วยเหรอว่ะ! กูก็นึกว่าต้องใส่เกียร์ต่ำ
.
.
แต่ว่า_____
ขอบใจน่ะ ”
นั่นเป็นครั้งแรกที่เหนือเห็นรอยยิ้มที่สดใสประกายตามีความสุข
จากคนที่ยืนอยู่ข้างๆจ้องมองวิวทิวทัศน์ ไปด้วยกัน