Jullay!
3 สาว กับทริปสั้นๆ 1 คืน ใน เดลี 4 คืน ใน เลห์
จริงๆคิดว่าจะไม่เขียนในนี้ละ เพราะเห็นว่ามีคนเขียนกันเยอะแยะแล้ว แถมช่วงที่ไปเที่ยว 3 พ.ค. - 8 พ.ค. ที่ผ่านมา ก็เจอคนไทยเยอะมากๆ เลยคิดว่าการไปเลห์นี่คงหาข้อมูลกันไม่ยากแล้วแหละ
พอคิดไปคิดมา เขียนมั่งดีกว่า เพราะเท่าที่เห็นในรีวิว เขามักจะไปกันยาวๆ 8 วัน 15 วัน แน่ะ (คือเอาเวลาไหนไปเที่ยวกันยาวนานขนาดนั้น)
เลยกะว่ามาแชร์ข้อมูลสำหรับคนที่มีเวลาน้อยๆ ลางานได้จำกัดอย่างพวกเราดีกว่า แบบ ชั้นมีเวลาแค่ 6 วัน ชั้นก็ไป เลห์ ได้นะ
อะ เริ่ม
1)เตรียมเอกสารขอวีซ่า
ดูตามลิ้งค์นี่ไว้ละกัน เขียนไว้ในเวิร์ดเพรสสักพักแล้วแหละ
https://chabewpsyche.wordpress.com/2016/04/19/how-to-apply-indian-visa-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%8B%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80/
การขอวีซ่าอินเดียนั้นไม่ยากค่ะ เตรียมเอกสารให้ครบ ทำแป๊บเดียวเสร็จ เร็วมาก สามวันก็ได้แล้ว
2)ตั๋วเครื่องบิน
พวกเราเลือก Air India ตลอดทริปค่ะ เพราะแอบกลัวว่าถ้าจองแยกสารการบินไป แล้วเกิดไฟลท์ดีเลย์ขึ้นมาเราจะแย่เอา เลยใช้ของสายการบินเดียวกันทั้งหมดนี่แหละ สะดวกดี
แต่ก็จะมีข้อเสียคือ วันแรกที่บินไปเดลี มีไฟลท์ออกจากกรุงเทพ 9 โมง ไปถึงนู่นเที่ยง และวันที่จะไปเลห์คือวันถัดไป ออกจากเดลีตอน 6 โมง ซึ่งนั่นทำให้เราต้องค้างที่เดลี 1 คืน ก่อนไปเลห์... ก็... เอาน่ะ ถือซะว่าไปทีเดียวได้เที่ยวเดลีด้วยไง >___<
ค่าตั๋วเครื่องบินทั้งหมด คือ 14,495.- THB (BKK-DEL, DEL-IXN, IXN-DEL, DEL-BKK)
(บินตอนเดือน พ.ค. เราจองกันตั้งแต่เดือน ม.ค. เลยได้ราคานี้มา พอหลังๆมาเช็คดูอีกที ราคาไปที่ หมื่นเก้ากว่าๆ แล้ว)
3) ยา
เนื่องด้วยว่าทริปนี้มีสมาชิกเป็นหมอ 1 พยาบาล1 และเราผู้ซึ่งเตรียมเป็นคนป่วย 1 จึงยกหน้าที่เตรียมยาหลักๆ ให้หมอไป ^^ ยาที่เตรียมๆไปก็มี
-Diamox - อันนี้จำเป็นเพราะเลห์อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเยอะม๊ากกกกกก อากาศก็เบาบาง คร่าวๆก็ประมาณ 9,000 - 15,000 ft. เลยละมั้ง เลยต้องกินยาตัวนี้เพื่อป้องกันอาการ Altitude Mountain Sickness
-ยาอื่นๆ ก็ พารา, แก้แพ้, แก้เมารถ, แก้คลื่นไส้, ยาเลื่อน ปจด., ยาดม, ยาหม่อง
เนื่องจากทริปนี้เตรียมตัวกันดี กิน Diamox กันครบถ้วน กินพารา แก้แพ้ กันทุกคืน จิบน้ำกันบ่อยๆ ก่อนเดินทางก็กินแก้เมารถกันทุกครั้ง เลยไม่มีใครป่วยเป็นอะไรหนักๆ มีแค่วันแรกที่เหนื่อยง่ายมาก เดินขึ้นบันได 3 ขั้นก็ต้องพัก มีหน้ามืดจะเป็นลมไปรอบนึง เพื่อนเลือดกำเดาไหลไปทีนึง เท่านั้น
4)แพลน
May 03 : เที่ยวเบาๆในเดลี ไปกิน starbucks ที่ Connaught Place และเดินเล่น Central Park
May 04 : วันแรกในเลห์ - พักผ่อนนนนน, ตอนบ่ายๆเย็นๆไป Leh Palace, Namgyal Tsemo, Shanti Stupa, เดินเล่น Main Bazar
May 05 : ไป Lamayuru แบบ one day trip แวะถ่ายรูป Magnetic Hill, จุดชมวิวแม่น้ำ Indus และ Zanskar, Moonland, Lamayuru Gompa, Likir Monastery
May 06 : ไป Nubra Valley (ค้าง 1 คืน), ผ่าน Khardung La (ถนนที่สูงสุดในโลก), Diskit Monastery, ขี่อูฐที่ Hunder Sand Dune
May 07 : ไป Pangong Tso, ผ่าน Chang La (ถนนที่สูงอันดับ 3), แวะ Shey Palace กลับเข้า Leh
May 08 : เดินเล่น Main Bazar ตอนเช้าอีกสักรอบก่อนกลับ
จริงๆในลาดักห์ยังมีหลายที่เลยที่ไม่ได้ไป ถ้าได้ไปอีกรอบคงต้องไปเก็บ Moriri Tso, หมู่บ้าน Turtuk, ไปตามเก็บรูปแมวสักตัวให้ได้ (ไปมา 5 วัน เจอแมว 1 ตัว แถมเจอแป๊บเดียวแล้วนางหนีด้วย), วัด Hemis วัด Alchi ร้านอาหารหลายๆ ร้าน หลายๆ เมนูก็ยังไม่ได้ลอง จริงๆแล้วที่นี่ ต่อให้ไปซ้ำที่เดิมแต่ไปคนละช่วงเวลาก็แตกต่างแล้วนะ เป็นที่ที่สุดยอดจริงๆ
5)จิปาถะ - อย่างอื่นๆที่ต้องเตรียม
แว่นกันแดด - สำคัญมากกก เพราะแดดแรงมาก ยิ่งขึ้นไปบนเขา แล้วมีหิมะอยู่เนี่ยนะ อื้อหืออออ สะท้อนแสงแดดเข้าตากระจุยกระจายมาก
ครีมกันแดด SPF50 PA++++ - สาเหตุเดียวกับข้างบน ยูวีแรงมากกกก แรงสุด ทาซ้ำกันทุกชั่วโมง ทาๆไปซะ
ผ้าคลุม/ผ้าพันคอ - เอาไว้พันๆหน้าบังแดดแหละ เรานี่ถึงขั้นเอา mask มาใส่กันแดดอีกทีด้วย ของเขาแรงจริงๆ
โลชั่นบำรุงผิวหน้า เพิ่มความชุ่มชื้น - ปัญหาหลักๆของทริปนี้อีกอย่าง คือเรื่องผิวพรรณ คือ อากาศที่นี่มันแห้งมากกก หายใจเฉยๆ ยังแสบและแห้งในโพรงจมูก คนที่ผิวแห้งๆนี่แย่เลย แตกละเอียดแน่ๆ เอาแบบที่มีความชุ่มชื้นเยอะเลยนะ มันแห้งมากจริงๆ หรือไม่ พอมาถึงแล้วให้ไปร้านขายยา แล้วตามหา Himalaya Herbal ตัวที่เป็น Nourishing Face Moisturizing Lotion มาใช้ซะ มันดีมากจริงๆ ทาก่อนนอน เช้ามานี่หน้านุ่มเลย ราคาก็แค่ 140 Rs เอง
ลิปมัน - ด้วยความที่อากาศแห้ง นี่คือสิ่งจำเป็น ถ้าคุณไม่อยากปากแตก! เราก็เตรียมไปนะ วาสลีนเอย Paul Frank เอย Burst & Bee เอย เอาไม่อยู่ค่าาาา แต่! มียี่ห้อที่เอาอยู่ และดีงามมากกก นั่นก็คือ Lips Balm ของ Himalaya Herbal (อีกแล้วววว) ราคาแค่ 30 Rs เท่านั้นนนน
อาหารไทยๆบ้านเรา - อันนี้พวกเราพลาดมาก เตรียมไปแค่มาม่าคนละ 3 ซอง แบบกะกินคั่นแก้เลี่ยนเฉยๆ แต่จริงๆสิ่งที่ควรเตรียมเพิ่มไป คือ น้ำปลา แมกกี้ (ขวดเล็กๆ) ปลากระป๋อง นมข้น นูเทลล่า น้ำพริก อะไรงี้ คือถ้าใครกินอาหารที่นี่ไม่ไหวจริงๆ ก็ขอข้าวเปล่าเอา กินกับไข่ดาว ไข่ต้ม ราดน้ำปลา, แมกกี้ ก็มีชีวิตรอดได้ละ หรือไม่ก็ขนมปังจิ้มนมข้น จิ้มนูเทลล่าก็ว่ากันไป
อุปกรณ์ทำความสะอาดง่ายๆ - ทิชชู่เปียก ทิชชู่เฉยๆ เจลล้างมือ แอลกอฮอล์ เอาไว้ใช้เช็ดทำความสะอาดทั่วๆไป ที่นี่ฝุ่นเยอะน่ะ กับเวลาเผื่อต้องเข้าห้องน้ำนอกที่พัก จะได้มีไว้เช็ดทำความสะอาด
6) เงิน และ ค่าใช้จ่าย
แลกเงินกันไปคนละ 10,000 THB แลกได้เรท 0.53 ได้เป็นเงินรูปีมา 18,900 Rs คือจบทริปนี่มีเงินเหลือด้วยนะ ค่าใช้จ่ายหลักๆที่นี่ก็มี
ค่ารถ และคนขับรถ แบ่งตามวัน (ดูแพลนการเดินทางตามข้อ 4) ดังนี้
May 03 : ประมาณ 1,600 Rs (รวมค่ารถรับส่งสนามบินด้วย)
May 04 : 1,086 Rs
May 05 : 6,293 Rs
May 06 & 07 : 15,655 Rs
May 08 : 600 Rs (ค่ารถรับส่งสนามบิน)
ค่าที่พัก (ต่อ 3 คน)
1 คืน ที่ Delhi City Centre : 2,840 Rs
3 คืน ที่ Ree Yul Guest House : 4,500 Rs
1 คืน ที่ Habib Guest House : 1,500 Rs
ค่าเข้าสถานที่ต่างๆ, ค่าผ่านทาง, ค่าขี่อูฐ : เฉลี่ยต่อคน คนละ 335 Rs (ตามแพลนด้านบน)
ค่าทำ Permit : คนละ 600 Rs
ค่าอาหาร : รวมๆ ทุกมื้อทุกวัน (5 วัน) และจ่ายให้คนขับรถมื้อกลางวันด้วย (ต่อ 3 คน) 4,180 Rs
อื่นๆ : ค่าของฝาก ทิป - อันนี้ก็แล้วแต่คน แต่สำหรับเราที่มีเงินเหลือมา เราจ่ายค่าของฝาก ของกินส่วนตัว และของจิปาถะอื่นไปประมาณ 1,500 Rs แล้วก็ให้ทิปคนขับรถถไป 1,000 Rs
อ่ะ แนะนำพอหอมปากหอมคอแล้ว มาลงดีเทลกันดีกว่าาา
ปล.รูปอาจไม่สวยเท่าไหร่นะ ฝีมือไม่ค่อยมี >___<
ใครๆ ก็ไป เลห์ [Leh, Ladakh, India]
3 สาว กับทริปสั้นๆ 1 คืน ใน เดลี 4 คืน ใน เลห์
จริงๆคิดว่าจะไม่เขียนในนี้ละ เพราะเห็นว่ามีคนเขียนกันเยอะแยะแล้ว แถมช่วงที่ไปเที่ยว 3 พ.ค. - 8 พ.ค. ที่ผ่านมา ก็เจอคนไทยเยอะมากๆ เลยคิดว่าการไปเลห์นี่คงหาข้อมูลกันไม่ยากแล้วแหละ
พอคิดไปคิดมา เขียนมั่งดีกว่า เพราะเท่าที่เห็นในรีวิว เขามักจะไปกันยาวๆ 8 วัน 15 วัน แน่ะ (คือเอาเวลาไหนไปเที่ยวกันยาวนานขนาดนั้น)
เลยกะว่ามาแชร์ข้อมูลสำหรับคนที่มีเวลาน้อยๆ ลางานได้จำกัดอย่างพวกเราดีกว่า แบบ ชั้นมีเวลาแค่ 6 วัน ชั้นก็ไป เลห์ ได้นะ
อะ เริ่ม
1)เตรียมเอกสารขอวีซ่า
ดูตามลิ้งค์นี่ไว้ละกัน เขียนไว้ในเวิร์ดเพรสสักพักแล้วแหละ
https://chabewpsyche.wordpress.com/2016/04/19/how-to-apply-indian-visa-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%8B%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80/
การขอวีซ่าอินเดียนั้นไม่ยากค่ะ เตรียมเอกสารให้ครบ ทำแป๊บเดียวเสร็จ เร็วมาก สามวันก็ได้แล้ว
2)ตั๋วเครื่องบิน
พวกเราเลือก Air India ตลอดทริปค่ะ เพราะแอบกลัวว่าถ้าจองแยกสารการบินไป แล้วเกิดไฟลท์ดีเลย์ขึ้นมาเราจะแย่เอา เลยใช้ของสายการบินเดียวกันทั้งหมดนี่แหละ สะดวกดี
แต่ก็จะมีข้อเสียคือ วันแรกที่บินไปเดลี มีไฟลท์ออกจากกรุงเทพ 9 โมง ไปถึงนู่นเที่ยง และวันที่จะไปเลห์คือวันถัดไป ออกจากเดลีตอน 6 โมง ซึ่งนั่นทำให้เราต้องค้างที่เดลี 1 คืน ก่อนไปเลห์... ก็... เอาน่ะ ถือซะว่าไปทีเดียวได้เที่ยวเดลีด้วยไง >___<
ค่าตั๋วเครื่องบินทั้งหมด คือ 14,495.- THB (BKK-DEL, DEL-IXN, IXN-DEL, DEL-BKK)
(บินตอนเดือน พ.ค. เราจองกันตั้งแต่เดือน ม.ค. เลยได้ราคานี้มา พอหลังๆมาเช็คดูอีกที ราคาไปที่ หมื่นเก้ากว่าๆ แล้ว)
3) ยา
เนื่องด้วยว่าทริปนี้มีสมาชิกเป็นหมอ 1 พยาบาล1 และเราผู้ซึ่งเตรียมเป็นคนป่วย 1 จึงยกหน้าที่เตรียมยาหลักๆ ให้หมอไป ^^ ยาที่เตรียมๆไปก็มี
-Diamox - อันนี้จำเป็นเพราะเลห์อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเยอะม๊ากกกกกก อากาศก็เบาบาง คร่าวๆก็ประมาณ 9,000 - 15,000 ft. เลยละมั้ง เลยต้องกินยาตัวนี้เพื่อป้องกันอาการ Altitude Mountain Sickness
-ยาอื่นๆ ก็ พารา, แก้แพ้, แก้เมารถ, แก้คลื่นไส้, ยาเลื่อน ปจด., ยาดม, ยาหม่อง
เนื่องจากทริปนี้เตรียมตัวกันดี กิน Diamox กันครบถ้วน กินพารา แก้แพ้ กันทุกคืน จิบน้ำกันบ่อยๆ ก่อนเดินทางก็กินแก้เมารถกันทุกครั้ง เลยไม่มีใครป่วยเป็นอะไรหนักๆ มีแค่วันแรกที่เหนื่อยง่ายมาก เดินขึ้นบันได 3 ขั้นก็ต้องพัก มีหน้ามืดจะเป็นลมไปรอบนึง เพื่อนเลือดกำเดาไหลไปทีนึง เท่านั้น
4)แพลน
May 03 : เที่ยวเบาๆในเดลี ไปกิน starbucks ที่ Connaught Place และเดินเล่น Central Park
May 04 : วันแรกในเลห์ - พักผ่อนนนนน, ตอนบ่ายๆเย็นๆไป Leh Palace, Namgyal Tsemo, Shanti Stupa, เดินเล่น Main Bazar
May 05 : ไป Lamayuru แบบ one day trip แวะถ่ายรูป Magnetic Hill, จุดชมวิวแม่น้ำ Indus และ Zanskar, Moonland, Lamayuru Gompa, Likir Monastery
May 06 : ไป Nubra Valley (ค้าง 1 คืน), ผ่าน Khardung La (ถนนที่สูงสุดในโลก), Diskit Monastery, ขี่อูฐที่ Hunder Sand Dune
May 07 : ไป Pangong Tso, ผ่าน Chang La (ถนนที่สูงอันดับ 3), แวะ Shey Palace กลับเข้า Leh
May 08 : เดินเล่น Main Bazar ตอนเช้าอีกสักรอบก่อนกลับ
จริงๆในลาดักห์ยังมีหลายที่เลยที่ไม่ได้ไป ถ้าได้ไปอีกรอบคงต้องไปเก็บ Moriri Tso, หมู่บ้าน Turtuk, ไปตามเก็บรูปแมวสักตัวให้ได้ (ไปมา 5 วัน เจอแมว 1 ตัว แถมเจอแป๊บเดียวแล้วนางหนีด้วย), วัด Hemis วัด Alchi ร้านอาหารหลายๆ ร้าน หลายๆ เมนูก็ยังไม่ได้ลอง จริงๆแล้วที่นี่ ต่อให้ไปซ้ำที่เดิมแต่ไปคนละช่วงเวลาก็แตกต่างแล้วนะ เป็นที่ที่สุดยอดจริงๆ
5)จิปาถะ - อย่างอื่นๆที่ต้องเตรียม
แว่นกันแดด - สำคัญมากกก เพราะแดดแรงมาก ยิ่งขึ้นไปบนเขา แล้วมีหิมะอยู่เนี่ยนะ อื้อหืออออ สะท้อนแสงแดดเข้าตากระจุยกระจายมาก
ครีมกันแดด SPF50 PA++++ - สาเหตุเดียวกับข้างบน ยูวีแรงมากกกก แรงสุด ทาซ้ำกันทุกชั่วโมง ทาๆไปซะ
ผ้าคลุม/ผ้าพันคอ - เอาไว้พันๆหน้าบังแดดแหละ เรานี่ถึงขั้นเอา mask มาใส่กันแดดอีกทีด้วย ของเขาแรงจริงๆ
โลชั่นบำรุงผิวหน้า เพิ่มความชุ่มชื้น - ปัญหาหลักๆของทริปนี้อีกอย่าง คือเรื่องผิวพรรณ คือ อากาศที่นี่มันแห้งมากกก หายใจเฉยๆ ยังแสบและแห้งในโพรงจมูก คนที่ผิวแห้งๆนี่แย่เลย แตกละเอียดแน่ๆ เอาแบบที่มีความชุ่มชื้นเยอะเลยนะ มันแห้งมากจริงๆ หรือไม่ พอมาถึงแล้วให้ไปร้านขายยา แล้วตามหา Himalaya Herbal ตัวที่เป็น Nourishing Face Moisturizing Lotion มาใช้ซะ มันดีมากจริงๆ ทาก่อนนอน เช้ามานี่หน้านุ่มเลย ราคาก็แค่ 140 Rs เอง
ลิปมัน - ด้วยความที่อากาศแห้ง นี่คือสิ่งจำเป็น ถ้าคุณไม่อยากปากแตก! เราก็เตรียมไปนะ วาสลีนเอย Paul Frank เอย Burst & Bee เอย เอาไม่อยู่ค่าาาา แต่! มียี่ห้อที่เอาอยู่ และดีงามมากกก นั่นก็คือ Lips Balm ของ Himalaya Herbal (อีกแล้วววว) ราคาแค่ 30 Rs เท่านั้นนนน
อาหารไทยๆบ้านเรา - อันนี้พวกเราพลาดมาก เตรียมไปแค่มาม่าคนละ 3 ซอง แบบกะกินคั่นแก้เลี่ยนเฉยๆ แต่จริงๆสิ่งที่ควรเตรียมเพิ่มไป คือ น้ำปลา แมกกี้ (ขวดเล็กๆ) ปลากระป๋อง นมข้น นูเทลล่า น้ำพริก อะไรงี้ คือถ้าใครกินอาหารที่นี่ไม่ไหวจริงๆ ก็ขอข้าวเปล่าเอา กินกับไข่ดาว ไข่ต้ม ราดน้ำปลา, แมกกี้ ก็มีชีวิตรอดได้ละ หรือไม่ก็ขนมปังจิ้มนมข้น จิ้มนูเทลล่าก็ว่ากันไป
อุปกรณ์ทำความสะอาดง่ายๆ - ทิชชู่เปียก ทิชชู่เฉยๆ เจลล้างมือ แอลกอฮอล์ เอาไว้ใช้เช็ดทำความสะอาดทั่วๆไป ที่นี่ฝุ่นเยอะน่ะ กับเวลาเผื่อต้องเข้าห้องน้ำนอกที่พัก จะได้มีไว้เช็ดทำความสะอาด
6) เงิน และ ค่าใช้จ่าย
แลกเงินกันไปคนละ 10,000 THB แลกได้เรท 0.53 ได้เป็นเงินรูปีมา 18,900 Rs คือจบทริปนี่มีเงินเหลือด้วยนะ ค่าใช้จ่ายหลักๆที่นี่ก็มี
ค่ารถ และคนขับรถ แบ่งตามวัน (ดูแพลนการเดินทางตามข้อ 4) ดังนี้
May 03 : ประมาณ 1,600 Rs (รวมค่ารถรับส่งสนามบินด้วย)
May 04 : 1,086 Rs
May 05 : 6,293 Rs
May 06 & 07 : 15,655 Rs
May 08 : 600 Rs (ค่ารถรับส่งสนามบิน)
ค่าที่พัก (ต่อ 3 คน)
1 คืน ที่ Delhi City Centre : 2,840 Rs
3 คืน ที่ Ree Yul Guest House : 4,500 Rs
1 คืน ที่ Habib Guest House : 1,500 Rs
ค่าเข้าสถานที่ต่างๆ, ค่าผ่านทาง, ค่าขี่อูฐ : เฉลี่ยต่อคน คนละ 335 Rs (ตามแพลนด้านบน)
ค่าทำ Permit : คนละ 600 Rs
ค่าอาหาร : รวมๆ ทุกมื้อทุกวัน (5 วัน) และจ่ายให้คนขับรถมื้อกลางวันด้วย (ต่อ 3 คน) 4,180 Rs
อื่นๆ : ค่าของฝาก ทิป - อันนี้ก็แล้วแต่คน แต่สำหรับเราที่มีเงินเหลือมา เราจ่ายค่าของฝาก ของกินส่วนตัว และของจิปาถะอื่นไปประมาณ 1,500 Rs แล้วก็ให้ทิปคนขับรถถไป 1,000 Rs
อ่ะ แนะนำพอหอมปากหอมคอแล้ว มาลงดีเทลกันดีกว่าาา
ปล.รูปอาจไม่สวยเท่าไหร่นะ ฝีมือไม่ค่อยมี >___<