ความเจ็บช้ำจากเวรกรรมที่ผมทำไว้กับ”เป้” ...
ไล่ตามตื้บ ทำให้ผมเจ็บช้ำน้ำใจอยู่เกือบปีกว่า ผ่านความรักที่ผิดหวังทั้งเจ็ดครั้ง
และฝ่ามือบ้องหูของไอป้อง(แฟนใหม่เป้)
( ความเดิมตอนที่แล้ว
http://ppantip.com/topic/35105802 )
กว่าผมจะสำเร็จได้เปิดsing ก็เกือบจะเข็ดหลาบกับความรักไปเลยทีเดียว
ช่วงที่ผมโสดสนิท ไม่ข้องแวะใกล้ชิดกับสาวๆคนไหน ...
เลิกเรียนก็กลับไปเตะบอลกับเพื่อนๆโรงเรียนเก่า ...
อยู่ดีๆหัวใจผมก็ได้กลับมาสูบฉีดทำงานอีกครั้ง ...
การกลับมาเตะบอลกับเพื่อนๆโรงเรียนเก่า ทำให้ผมได้พบกับสาวคนหนึ่งที่ผมเคยจีบไว้
แต่จีบไม่ติด ... (เลยเคยหันไปจีบเพื่อนเค้าแทน) ....
สาวคนนั้นชื่อ”แป้ง” ... เคยเล่าคร่าวๆตอนที่จีบเค้าไม่ติดไว้ตอนที่ 3
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้(หลังจากที่เลิกกับนุ่นได้ไม่นาน ... ผมก็พยายามมาจีบเด็กห้องหกคนนึงชื่อแป้ง
แต่จีบไม่ติด ... เพราะแป้งมีแฟนอยู่แล้วเป็นรุ่นพี่ ม.3 ชื่อทอม
ผมเลยเบนเข็มมาจีบเพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งของแป้ง ที่ชื่อพลอย...ประมาณนี้)
สเป็คก็คือสเป็ค ... ยิ่งมารู้ว่าตอนนี้(ม.5)แป้งกำลังโสด(เลิกกับแฟนเก่าชื่อทอมไปแล้ว)
ผมก็เลยรื้อโปรเจ็คสานความรักกับสาวแป้งอีกครั้ง ...
และคราวนี้มันก็ประสบความสำเร็จตามที่ผมต้องการเสียที ...
ผมใช้มุกเดิมๆคือมุก"เถ้าแก่น้อยสายเฟรนด์ลี่"เข้าจีบแป้ง เหมือนกับการจีบสาวทุกๆครั้งที่ผ่านมา ...
ใช้การซื้อน้ำซื้อหนมเล็กๆน้อยๆมาฝาก และทำตัวให้สนิทสนมกับเพื่อนๆของแป้งทุกคน
(เทคนิคการพิชิตใจสาวข้อหนึ่งของคาสโนว่าคือการ"ตีสนิท"กับเหล่าบรรดาเพื่อนเจ้าสาวให้ได้)
จำได้ว่าช่วงนั้น โรงเรียนเก่ากำลังจะจัดกีฬาสีพอดี
และแป้งกับเพื่อนๆก็เป็น”เชียร์ลีดเดอร์”ประจำสี ... ต้องอยู่ซ้อมกันที่โรงเรียนกันจนเย็น ...
ผมก็อาศัยโอกาสตอนนั้นในการมัดใจแป้งและเพื่อนๆด้วยการคอยอยู่เสิร์ฟน้ำ เสิร์ฟผ้าเย็นเป็นพ่อบ้านใจกล้าอยู่ทุกวัน
แล้วก็ออกอาการให้เพื่อนๆทุกคนได้เห็นเลยว่าเรา”โฟกัส”ที่แป้งอยู่ ....
ด้วยความที่แป้งมีความโสดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
แถมยังมีคนมาคอยแสดงตัวเอาอกเอาใจ คอยถือของให้ ...
ผมไม่รู้หรอกนะว่าผมน่ะคือคนที่แป้งชอบ(สเป็ค)มั้ย ...
แต่ในที่สุดผมก็”ได้ใจ”แป้งจากการปฏิบัติที่เสมอต้นเสมอปลายที่ผมเฝ้าทำตลอดมา ...
พอวันกีฬาสี เราก็เปิดตัวเป็นแฟนกัน แบบเต็มรูปแบบ ...
เดินจับมือกัน เรียกแทนกันว่า”เค้า”กับ”ตัวเอง”
มีความสุขมากๆ และตอนนั้นก็ไม่ได้คิดเรื่องเซ็กส์เรื่องเพศสัมพันธ์อะไรทั้งสิ้น
เราแค่รักกัน ... ดูแลกัน ... เดินกลับบ้านด้วยกัน
และมันยิ่งปลดล็อคความรู้สึกของผมตรงที่ว่า ...
“ คนที่ผมเคยจีบไม่ติดมาครั้งหนึ่งแล้ว ... ถ้าเราไม่ถอดใจสักอย่าง ... ยังไงโอกาสก็ยังมี”
ในที่สุดผมก็คว้าโอกาสนั้นมาได้สมดังตั้งใจ หลังจากที่ต้องเจ็บปวดกับเวรกรรมของเป้มาอยู่นานปี
ความรักในยุคที่เฟสบุคยังไม่มี ...
เพจเจอร์ โทรศัพท์บ้าน โทรศัพท์ตู้ และพีซีทีจึงเป็นเครื่องมือสื่อสารสำคัญที่ทำให้ความรักของผมกับแป้งแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
เราทั้งสองต่างผ่านอุปสรรค์ในการสื่อสารกันมามากมาย ไม่ได้โพสบอกรักกันได้ง่ายๆเหมือนความรักในสมัยนี้
- การจะใช้โทรศัพท์บ้าน แม้จะเป็นทางเลือกที่ประหยัดที่สุด ( 3 บาท คุยยาวๆ)
แต่ก็ต้องเสี่ยงกับการที่คนในบ้าน จะแอบยกหูฟังคำพลอดรักของเราทั้งสอง (ส่วนใหญ่จะเป็นแม่ ไม่ก็พี่ชาย)
- แม้จะมีเพจเจอร์ส่งข้อความอาร์ตๆไปให้คนรักอ่านแล้วใจสั่นได้ ....
แต่ก็ต้องโทรไปหน้าด้านอาร์ตใส่โอเปอร์เรเตอร์ ให้เค้าช่วยพิมพ์ข้อความอาร์ตๆนี้ส่งแทนให้เราอีก
(อาร์ตยาวมากก็ไม่ได้ ... ข้อความไม่สมบูรณ์)
- หยอดตู้ ก็โอเคหน่อย ในกรณีตู้ที่ไม่ค่อยมีคนมาใช้บริการมาก
เด็กสมัยนี้คงไม่เคยเจอหรอก ไอประเภทที่ว่า “ เตง เด๋วเค้าโทรกลับนะ... มีคนมารอใช้ตู้ว่ะ”
- พอเก็บเงินซื้อพีซีทีมาใช้ได้ ... มันก็ใช่ว่าจะโทรติดง่ายใช้สะดวกเหมือน”โทรศัพท์มือถือ”
กว่าจะ ตึ๊ด ตึ๊ด ตึ๊ด ตึ๊ด ตึ๊ด ตึ๊ด ตึ๊ด ตึ๊ด ตึ๊ด(หาสัญญาณ) นี่บางทีรอจนหูร้อน
หาสัญญาณไม่เจอก็ไม่ติด ... ต้องเดินไปหยอดตู้โทรเข้าเบอร์บ้านอยู่ดี
การมีพีซีทีไว้ บางทีก็เหมือนกับการพกสากกะเบือที่เอาไปตำน้ำพริกไม่ได้ ...
ความรักของเรา(ผมกับแป้ง)ช่วงแรกๆ จึงมีช่วงตอนเย็นวันจันทร์-ศุกร์เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่สุด
อาศัยไม่กี่ชั่วโมงสั้นๆหลังเลิกเรียนมาเจอกัน คุยกัน กินข้าวกัน
นานๆทีขอพ่อแม่กลับบ้านได้เย็นหน่อยก็จะไปเดินห้าง ดูหนัง เดินเล่นกันตามประสาวัยรุ่นคู่รักทั่วไป
ครองรักกันอย่างมีความสุขสดใสกันมาได้เกือบ 2 เดือน ...
และแล้วก็มาสู่ช่วงที่เราตัดสินใจ”มีอะไรกัน”สักที ...
เย็นวันหนึ่ง พ่อแม่ผมออกไปทำธุระข้างนอก ...
ผมสบโอกาสเลยโทรชวนแป้งให้มาหาที่บ้าน หลังจากที่ก่อนหน้านั้นได้นัดแนะกันไว้แล้ว
ผมรู้มาก่อนหน้านั้นประมาณสี่วันแล้วว่าเย็นวันอาทิตย์นี้พ่อแม่จะไปงานศพ ... ให้เราอยู่เฝ้าร้านชำที่บ้าน
พอตกเย็นวันอาทิตย์ พ่อแม่ก็แต่งตัวเดินทางออกจากบ้านตามที่ได้คาดการณ์เอาไว้ ...
ไม่ถึงสิบนาที แป้งก็เดินทางมาถึงบ้านผม(บ้านเราอยู่ใกล้กัน)
มาถึงผมก็ปิดประตูบ้านไม่พูดพร่ำทำเพลง พากันดิ่งขึ้นห้องนอนชั้นสอง ไปนอนกองกันอยู่บนเตียง
แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเคยเห็น”นมผู้หญิง”แบบระยะประชิด ชนิดที่จับเอามาดูดได้
แต่ผมก็ตื่นเต้นจนตัวสั่นไปหมด ...
เรากอดจูบนัวเนียกันอยู่ได้ไม่นาน พอผมสัมผัสได้ว่าแป้งพร้อมแล้วที่จะให้ผมล่วงล้ำร่างกายของเธอ
ผมก็ค่อยๆสวมนวม(ถุงยางอนามัย)ให้เจ้า”ไซคอป”(ยักษ์ตาเดียว)
ก่อนส่งมันเลื้อยเข้าไปกลางลำตัวของแป้งอย่างเบาแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้
และครั้งแรกของเราทั้งสองก็ไม่ได้มีความสุขอย่างที่คิด ...
แม้จะมีความเสียว แต่มันก็ตึงและเจ็บ ... ตัวผมเองเจ็บไม่มาก แต่แป้งบอกว่าแป้งเจ็บมาก
ผมพยายาม ทำให้ช้าที่สุด เพราะผมเห็นสีหน้าของแป้งไม่ค่อยสู้ดีเท่าใหร่ ...
ไม่รู้เป็นเพราะขนาดของไอไซคอปที่มันอวบจนเกินไป ... หรือเป็นเพราะร่างกายของแป้งที่เล็กมากๆ(แป้งสูงแค่ 150)
(ผมได้แต่ให้กำลังใจตัวเองว่าน่าจะเป็นเพราะเหตุผลอย่างแรก)
จุดที่แย่ที่สุดของการมีเซ็กส์ครั้งแรกของผมก็คือการที่เรา "ไม่เสร็จ”
และมันก็กลายเป็นอุบัติเหตุที่ผมกับแป้งไม่เคยมีวันลืมเลือน
เพราะในระหว่างที่ผมแก้ผ้าซอยแป้งอยู่ช้าๆบนชั้นสอง ...
อยู่ดีๆผมก็ได้ยินเสียงประตูลาก”ครืดดดดดดดด”ดังมาจากชั้นล่าง ....
มันคือเสียงประตูบ้านผมแน่ๆ ผมจำเสียงได้ ...
ใจผมแวบแรก คิดว่าลูกค้ามาซื้อของป่าววะ ... เฮ้ยยยย เราล็อคกุญแจนี่หว่า ...
และคนอีกคนที่มีกุญแจบ้านก็จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากพ่อแม่ ....
เป็นไปตามนั้นครับ .... อยู่ดีๆพ่อแม่ผมก็กลับมาที่บ้าน ตอนที่ผมกำลังซอยอยู่กลางคัน
ผมกับแป้งรีบใส่เสื้อผ้าวิ่งตาเหลือกลงมาชั้นล่างมาเจอหน้าพ่อแม่แบบซีดๆกันทั้งคู่
แป้งรีบสวัสดีพ่อแม่ แล้วก็ขอตัวกลับแบบ”รู้งาน”ทันที ....
พอแป้งกลับไป แม่ก็ถามว่า”มาทำอะไรกัน” ...
ผมแถไปสั้นๆว่า “มาอ่านหนังสือ” ...
รู้ตัวครับว่าเป็นคำตอบที่โง่มาก ...
มันเป็นคำตอบที่สามารถสร้างได้อีกหลายคำถาม
- อ่านหนังสือ แล้วทำไมต้องปิดบ้าน !?!
- อ่านหนังสือ ทำไมต้องขึ้นไปอ่านชั้นสอง !?!
- อ่านหนังสือ ทำไมไม่เคยเห็นมาอ่านกันตอนพวกชั้นอยู่บ้าน !?!
แต่คำถามเหล่านี้ก็ไม่ได้โผล่มาตามที่ผมคาดไว้ และแม่ก็ไม่ได้ถามต่อ ...
ปล่อยให้พ่อเป็นคนยิงคำถามเด็ด ... ว่า
“ อ่านหนังสือ แล้วทำไมเพื่อนต้องถอดเสื้อใน “ !?!?!?
ผมงง มาก ... พ่อเห็นเหรอ .... หรือแป้งลืมใส่เสื้อในจริงๆ
พอเห็นผมอึ้ง ไม่พูดอะไร .... คราวนี้พ่อเลยถามต่อตรงด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า”ป้องกันมั้ย” ...
ผมได้แต่ยิ้มแหยๆ บอกกับพ่อแม่ตรงนั้นสั้นๆว่า”ครับ”
พ่อไม่พูดอะไร เดินกลับไปขึ้นรถเตรียมกลับไปงานศพ(พ่อกลับมาเพราะลืมซองใส่เงินช่วยทำบุญ)
แต่แม่นี่สวดพานยักษ์ใส่ผมจนหูแทบดับในช่วงเวลาไม่ถึงห้านาที ... แม่โกรธผม และเป็นห่วงแป้งมาก
รวมๆที่จับใจความได้ก็คือ “ยังไม่มีปัญญาดูแลลูกสาวใคร อย่าให้ความกำหนัดมันบังตานัก”
พอพ่อแม่ออกจากบ้านไปอีกครั้ง ผมก็รีบวิ่งกลับขึ้นไปบนห้องนอน
แล้วก็เข้าใจว่าทำไมพ่อถึงถามคำถามนั้น .....
แป้งคงตกใจรีบใส่เสื้อผ้าไม่ต่างจากผม ... แต่แป้งลืมใส่เสื้อใน ...
เสื้อในสีชมพูอ่อน ของแป้ง ยังคงนอนแอ้งแม้ง อยู่บนเตียงของผม ....
ผมรีบโทรไปหาแป้ง แล้วแจ้งให้เธอทราบว่า”รู้มั้ยว่าลืมใส่เสื้อใน”
แป้งบอกว่า “รู้ ... อายมากด้วยเพราะคิดว่าพ่อคงเห็น ....
สวัสดีพ่อเสร็จ พ่อมอง ... แป้งก็มองตาม พอรู้ว่าลืมเสื้อในเลยรีบเดินปิดนมออกจากบ้านมาเลย
จะให้วิ่งกลับขึ้นชั้นสองขึ้นไปใส่ก็ไม่กล้าแล้ว “
แป้งถามว่าพ่อแม่ว่าอะไรมั้ย ....
ผมได้แต่บอกแป้งว่าไม่มีอะไร ... สบายใจเถอะ ... ไม่มีใครพูดอะไร และพ่อก็ไม่เห็นอะไรหรอก ....
คืนวันนั้น แม้ทั้งผมและแป้ง จะผ่านการเปิด Sing ที่เจ็บปวด และก็ไม่ได้เสร็จสมอารมณ์หมาย
แต่ก็ถือว่ามันคือจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิตของผมในช่วงต่อมา ....
เมื่อความกำหนัดที่บังตา ... สั่งให้ผมตัดสินใจขอพ่อแม่ออกมาศัยอยู่นอกบ้านเป็นครั้งแรก
พอดีแป้งมีเพื่อนคนหนึ่ง ที่มีบ้านเก่าๆอยู่หลังหนึ่ง อยู่ใกล้ๆท่าน้ำนนท์
เป็นบ้านที่พ่อเพื่อนปลูกไว้นานแล้ว แต่ไม่มีคนไปอยู่ ...
ผมจึงลองแกล้งๆถามเพื่อนคนนี้ดูว่า ถ้าเราจะไปขออาศัยอยู่ แล้วจะจ่ายค่าเช่าให้ จะคิดเท่าไหร่
เพื่อนแป้งบอกกับผมว่า เขาก็กำลังจะไปอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั้นเหมือนกัน
อยากออกมาอยู่นอกบ้าน ... ยังไงมาอยู่ด้วยกันก็ได้ ... ค่าเช่าไม่ต้อง ... หารค่าน้ำค่าไฟกันก็พอ
แล้วก็ช่วยอยู่เฝ้าบ้านให้ด้วย เพราะตัวเพื่อนคนนี้อาจไม่ได้อยู่ตลอด แต่จะมานอนบ่อยๆ
เมื่อได้เรื่องบ้านราคาประหยัดที่จะย้ายไปอยู่แล้ว ... ทีนี้ก็เหลือการอนุมัติจากพ่อแม่
ผมยื่นข้อเสนอกับพ่อแม่ด้วยการที่จะไม่ขอค่าขนม ค่าเทอมจากพวกท่านอีกต่อไป
และตั้งใจจะทำงานไปด้วย และส่งเสียตัวเองเรียนไปด้วย ในวัยปวช.ปี2(17ย่าง18ปี)
พ่อดีลโอเคทันที บอกอยากทำอะไรก็ทำไป อย่าทิ้งการเรียนก็พอ ...
แต่แม่ยังไม่เชื่อว่าเราจะมีศักยภาพมากพอที่จะออกไปต่อสู้กับโลกตามลำพังได้
แม่เลยยื่นข้อเสนอกลับมาว่า แม่จะออกค่าเทอมให้จนเรียนจบ ส่วนค่าใช้จ่ายที่เหลือ ก็ไปหาเอาเอง
แต่มีข้อแม้ว่าถ้าการเรียนแย่ลงเมื่อไหร่ ผมก็ต้องกลับไปอยู่บ้านทันที ....
พอตกลงได้ตามนั้นก็วิน-วิน ....
ผมจึงเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าและตำราเรียนออกมาจากบ้าน ตั้งแต่อายุ ยังไม่ 18 ปีเต็ม
ออกมาพร้อมกับหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความรักและความกำหนัดแห่งแรกรุ่นของชีวิต
ออกมาใช้ชีวิตอิสระ แบบอยู่กับตัวเองไม่พึ่งพาใคร ออกมารับจ้างทำงาน ลองผิดลองถูก
ออกมาทำลายความกลัวที่ว่า “เราจะไปอยู่ที่อื่นที่ไม่ใช่บ้านได้ยังไง”
มันคือบ้านหลังแรก ที่สอนให้ผมรู้ว่า “ต่อไปนี้ .... ถ้าใจเรามีความสุข .... ทุกๆที่ก็จะเป็นบ้านของเราได้”
และบ้านเก่าหลังนั้นที่ผมออกมาอยู่กับเพื่อน ก็กลายเป็น”รังรัก”ของผมกับแป้งในช่วงเวลาต่อมา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เรื่องจริงเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
1.ใครก็ตามที่เราเคย “จีบไม่ติด” .... จงอย่าคิดถอดใจ
ตราบใดที่เค้ายังไม่มีลูก มีผัว มีแฟนใหม่ .... โอกาสยังเป็นของเราเสมอ ...
2.สิ่งที่พ่อแม่ห่วงวัยรุ่นมากที่สุด ไม่ใช่เรื่องการที่เราไป"สะบาดาเฮ้"กับใคร
แต่เค้าห่วงว่าเราได้"ป้องกัน" และ "ผลพวงที่ตามมา"มันจะมีผลกระทบกับชีวิตเรามากน้อยแค่ไหนต่างหาก
3.การเปิดSing ครั้งแรก ไม่ได้มีความสุขเสมอไป
つづく
รำลึกวัน "เปิดSing" : เรื่องเล่าจากชีวิตจริง "คาสโนว่าตราลุง" บทที่ 4
ไล่ตามตื้บ ทำให้ผมเจ็บช้ำน้ำใจอยู่เกือบปีกว่า ผ่านความรักที่ผิดหวังทั้งเจ็ดครั้ง
และฝ่ามือบ้องหูของไอป้อง(แฟนใหม่เป้)
( ความเดิมตอนที่แล้ว http://ppantip.com/topic/35105802 )
กว่าผมจะสำเร็จได้เปิดsing ก็เกือบจะเข็ดหลาบกับความรักไปเลยทีเดียว
ช่วงที่ผมโสดสนิท ไม่ข้องแวะใกล้ชิดกับสาวๆคนไหน ...
เลิกเรียนก็กลับไปเตะบอลกับเพื่อนๆโรงเรียนเก่า ...
อยู่ดีๆหัวใจผมก็ได้กลับมาสูบฉีดทำงานอีกครั้ง ...
การกลับมาเตะบอลกับเพื่อนๆโรงเรียนเก่า ทำให้ผมได้พบกับสาวคนหนึ่งที่ผมเคยจีบไว้
แต่จีบไม่ติด ... (เลยเคยหันไปจีบเพื่อนเค้าแทน) ....
สาวคนนั้นชื่อ”แป้ง” ... เคยเล่าคร่าวๆตอนที่จีบเค้าไม่ติดไว้ตอนที่ 3
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สเป็คก็คือสเป็ค ... ยิ่งมารู้ว่าตอนนี้(ม.5)แป้งกำลังโสด(เลิกกับแฟนเก่าชื่อทอมไปแล้ว)
ผมก็เลยรื้อโปรเจ็คสานความรักกับสาวแป้งอีกครั้ง ...
และคราวนี้มันก็ประสบความสำเร็จตามที่ผมต้องการเสียที ...
ผมใช้มุกเดิมๆคือมุก"เถ้าแก่น้อยสายเฟรนด์ลี่"เข้าจีบแป้ง เหมือนกับการจีบสาวทุกๆครั้งที่ผ่านมา ...
ใช้การซื้อน้ำซื้อหนมเล็กๆน้อยๆมาฝาก และทำตัวให้สนิทสนมกับเพื่อนๆของแป้งทุกคน
(เทคนิคการพิชิตใจสาวข้อหนึ่งของคาสโนว่าคือการ"ตีสนิท"กับเหล่าบรรดาเพื่อนเจ้าสาวให้ได้)
จำได้ว่าช่วงนั้น โรงเรียนเก่ากำลังจะจัดกีฬาสีพอดี
และแป้งกับเพื่อนๆก็เป็น”เชียร์ลีดเดอร์”ประจำสี ... ต้องอยู่ซ้อมกันที่โรงเรียนกันจนเย็น ...
ผมก็อาศัยโอกาสตอนนั้นในการมัดใจแป้งและเพื่อนๆด้วยการคอยอยู่เสิร์ฟน้ำ เสิร์ฟผ้าเย็นเป็นพ่อบ้านใจกล้าอยู่ทุกวัน
แล้วก็ออกอาการให้เพื่อนๆทุกคนได้เห็นเลยว่าเรา”โฟกัส”ที่แป้งอยู่ ....
ด้วยความที่แป้งมีความโสดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
แถมยังมีคนมาคอยแสดงตัวเอาอกเอาใจ คอยถือของให้ ...
ผมไม่รู้หรอกนะว่าผมน่ะคือคนที่แป้งชอบ(สเป็ค)มั้ย ...
แต่ในที่สุดผมก็”ได้ใจ”แป้งจากการปฏิบัติที่เสมอต้นเสมอปลายที่ผมเฝ้าทำตลอดมา ...
พอวันกีฬาสี เราก็เปิดตัวเป็นแฟนกัน แบบเต็มรูปแบบ ...
เดินจับมือกัน เรียกแทนกันว่า”เค้า”กับ”ตัวเอง”
มีความสุขมากๆ และตอนนั้นก็ไม่ได้คิดเรื่องเซ็กส์เรื่องเพศสัมพันธ์อะไรทั้งสิ้น
เราแค่รักกัน ... ดูแลกัน ... เดินกลับบ้านด้วยกัน
และมันยิ่งปลดล็อคความรู้สึกของผมตรงที่ว่า ...
“ คนที่ผมเคยจีบไม่ติดมาครั้งหนึ่งแล้ว ... ถ้าเราไม่ถอดใจสักอย่าง ... ยังไงโอกาสก็ยังมี”
ในที่สุดผมก็คว้าโอกาสนั้นมาได้สมดังตั้งใจ หลังจากที่ต้องเจ็บปวดกับเวรกรรมของเป้มาอยู่นานปี
ความรักในยุคที่เฟสบุคยังไม่มี ...
เพจเจอร์ โทรศัพท์บ้าน โทรศัพท์ตู้ และพีซีทีจึงเป็นเครื่องมือสื่อสารสำคัญที่ทำให้ความรักของผมกับแป้งแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
เราทั้งสองต่างผ่านอุปสรรค์ในการสื่อสารกันมามากมาย ไม่ได้โพสบอกรักกันได้ง่ายๆเหมือนความรักในสมัยนี้
- การจะใช้โทรศัพท์บ้าน แม้จะเป็นทางเลือกที่ประหยัดที่สุด ( 3 บาท คุยยาวๆ)
แต่ก็ต้องเสี่ยงกับการที่คนในบ้าน จะแอบยกหูฟังคำพลอดรักของเราทั้งสอง (ส่วนใหญ่จะเป็นแม่ ไม่ก็พี่ชาย)
- แม้จะมีเพจเจอร์ส่งข้อความอาร์ตๆไปให้คนรักอ่านแล้วใจสั่นได้ ....
แต่ก็ต้องโทรไปหน้าด้านอาร์ตใส่โอเปอร์เรเตอร์ ให้เค้าช่วยพิมพ์ข้อความอาร์ตๆนี้ส่งแทนให้เราอีก
(อาร์ตยาวมากก็ไม่ได้ ... ข้อความไม่สมบูรณ์)
- หยอดตู้ ก็โอเคหน่อย ในกรณีตู้ที่ไม่ค่อยมีคนมาใช้บริการมาก
เด็กสมัยนี้คงไม่เคยเจอหรอก ไอประเภทที่ว่า “ เตง เด๋วเค้าโทรกลับนะ... มีคนมารอใช้ตู้ว่ะ”
- พอเก็บเงินซื้อพีซีทีมาใช้ได้ ... มันก็ใช่ว่าจะโทรติดง่ายใช้สะดวกเหมือน”โทรศัพท์มือถือ”
กว่าจะ ตึ๊ด ตึ๊ด ตึ๊ด ตึ๊ด ตึ๊ด ตึ๊ด ตึ๊ด ตึ๊ด ตึ๊ด(หาสัญญาณ) นี่บางทีรอจนหูร้อน
หาสัญญาณไม่เจอก็ไม่ติด ... ต้องเดินไปหยอดตู้โทรเข้าเบอร์บ้านอยู่ดี
การมีพีซีทีไว้ บางทีก็เหมือนกับการพกสากกะเบือที่เอาไปตำน้ำพริกไม่ได้ ...
ความรักของเรา(ผมกับแป้ง)ช่วงแรกๆ จึงมีช่วงตอนเย็นวันจันทร์-ศุกร์เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่สุด
อาศัยไม่กี่ชั่วโมงสั้นๆหลังเลิกเรียนมาเจอกัน คุยกัน กินข้าวกัน
นานๆทีขอพ่อแม่กลับบ้านได้เย็นหน่อยก็จะไปเดินห้าง ดูหนัง เดินเล่นกันตามประสาวัยรุ่นคู่รักทั่วไป
ครองรักกันอย่างมีความสุขสดใสกันมาได้เกือบ 2 เดือน ...
และแล้วก็มาสู่ช่วงที่เราตัดสินใจ”มีอะไรกัน”สักที ...
เย็นวันหนึ่ง พ่อแม่ผมออกไปทำธุระข้างนอก ...
ผมสบโอกาสเลยโทรชวนแป้งให้มาหาที่บ้าน หลังจากที่ก่อนหน้านั้นได้นัดแนะกันไว้แล้ว
ผมรู้มาก่อนหน้านั้นประมาณสี่วันแล้วว่าเย็นวันอาทิตย์นี้พ่อแม่จะไปงานศพ ... ให้เราอยู่เฝ้าร้านชำที่บ้าน
พอตกเย็นวันอาทิตย์ พ่อแม่ก็แต่งตัวเดินทางออกจากบ้านตามที่ได้คาดการณ์เอาไว้ ...
ไม่ถึงสิบนาที แป้งก็เดินทางมาถึงบ้านผม(บ้านเราอยู่ใกล้กัน)
มาถึงผมก็ปิดประตูบ้านไม่พูดพร่ำทำเพลง พากันดิ่งขึ้นห้องนอนชั้นสอง ไปนอนกองกันอยู่บนเตียง
แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเคยเห็น”นมผู้หญิง”แบบระยะประชิด ชนิดที่จับเอามาดูดได้
แต่ผมก็ตื่นเต้นจนตัวสั่นไปหมด ...
เรากอดจูบนัวเนียกันอยู่ได้ไม่นาน พอผมสัมผัสได้ว่าแป้งพร้อมแล้วที่จะให้ผมล่วงล้ำร่างกายของเธอ
ผมก็ค่อยๆสวมนวม(ถุงยางอนามัย)ให้เจ้า”ไซคอป”(ยักษ์ตาเดียว)
ก่อนส่งมันเลื้อยเข้าไปกลางลำตัวของแป้งอย่างเบาแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้
และครั้งแรกของเราทั้งสองก็ไม่ได้มีความสุขอย่างที่คิด ...
แม้จะมีความเสียว แต่มันก็ตึงและเจ็บ ... ตัวผมเองเจ็บไม่มาก แต่แป้งบอกว่าแป้งเจ็บมาก
ผมพยายาม ทำให้ช้าที่สุด เพราะผมเห็นสีหน้าของแป้งไม่ค่อยสู้ดีเท่าใหร่ ...
ไม่รู้เป็นเพราะขนาดของไอไซคอปที่มันอวบจนเกินไป ... หรือเป็นเพราะร่างกายของแป้งที่เล็กมากๆ(แป้งสูงแค่ 150)
(ผมได้แต่ให้กำลังใจตัวเองว่าน่าจะเป็นเพราะเหตุผลอย่างแรก)
จุดที่แย่ที่สุดของการมีเซ็กส์ครั้งแรกของผมก็คือการที่เรา "ไม่เสร็จ”
และมันก็กลายเป็นอุบัติเหตุที่ผมกับแป้งไม่เคยมีวันลืมเลือน
เพราะในระหว่างที่ผมแก้ผ้าซอยแป้งอยู่ช้าๆบนชั้นสอง ...
อยู่ดีๆผมก็ได้ยินเสียงประตูลาก”ครืดดดดดดดด”ดังมาจากชั้นล่าง ....
มันคือเสียงประตูบ้านผมแน่ๆ ผมจำเสียงได้ ...
ใจผมแวบแรก คิดว่าลูกค้ามาซื้อของป่าววะ ... เฮ้ยยยย เราล็อคกุญแจนี่หว่า ...
และคนอีกคนที่มีกุญแจบ้านก็จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากพ่อแม่ ....
เป็นไปตามนั้นครับ .... อยู่ดีๆพ่อแม่ผมก็กลับมาที่บ้าน ตอนที่ผมกำลังซอยอยู่กลางคัน
ผมกับแป้งรีบใส่เสื้อผ้าวิ่งตาเหลือกลงมาชั้นล่างมาเจอหน้าพ่อแม่แบบซีดๆกันทั้งคู่
แป้งรีบสวัสดีพ่อแม่ แล้วก็ขอตัวกลับแบบ”รู้งาน”ทันที ....
พอแป้งกลับไป แม่ก็ถามว่า”มาทำอะไรกัน” ...
ผมแถไปสั้นๆว่า “มาอ่านหนังสือ” ...
รู้ตัวครับว่าเป็นคำตอบที่โง่มาก ...
มันเป็นคำตอบที่สามารถสร้างได้อีกหลายคำถาม
- อ่านหนังสือ แล้วทำไมต้องปิดบ้าน !?!
- อ่านหนังสือ ทำไมต้องขึ้นไปอ่านชั้นสอง !?!
- อ่านหนังสือ ทำไมไม่เคยเห็นมาอ่านกันตอนพวกชั้นอยู่บ้าน !?!
แต่คำถามเหล่านี้ก็ไม่ได้โผล่มาตามที่ผมคาดไว้ และแม่ก็ไม่ได้ถามต่อ ...
ปล่อยให้พ่อเป็นคนยิงคำถามเด็ด ... ว่า
“ อ่านหนังสือ แล้วทำไมเพื่อนต้องถอดเสื้อใน “ !?!?!?
ผมงง มาก ... พ่อเห็นเหรอ .... หรือแป้งลืมใส่เสื้อในจริงๆ
พอเห็นผมอึ้ง ไม่พูดอะไร .... คราวนี้พ่อเลยถามต่อตรงด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า”ป้องกันมั้ย” ...
ผมได้แต่ยิ้มแหยๆ บอกกับพ่อแม่ตรงนั้นสั้นๆว่า”ครับ”
พ่อไม่พูดอะไร เดินกลับไปขึ้นรถเตรียมกลับไปงานศพ(พ่อกลับมาเพราะลืมซองใส่เงินช่วยทำบุญ)
แต่แม่นี่สวดพานยักษ์ใส่ผมจนหูแทบดับในช่วงเวลาไม่ถึงห้านาที ... แม่โกรธผม และเป็นห่วงแป้งมาก
รวมๆที่จับใจความได้ก็คือ “ยังไม่มีปัญญาดูแลลูกสาวใคร อย่าให้ความกำหนัดมันบังตานัก”
พอพ่อแม่ออกจากบ้านไปอีกครั้ง ผมก็รีบวิ่งกลับขึ้นไปบนห้องนอน
แล้วก็เข้าใจว่าทำไมพ่อถึงถามคำถามนั้น .....
แป้งคงตกใจรีบใส่เสื้อผ้าไม่ต่างจากผม ... แต่แป้งลืมใส่เสื้อใน ...
เสื้อในสีชมพูอ่อน ของแป้ง ยังคงนอนแอ้งแม้ง อยู่บนเตียงของผม ....
ผมรีบโทรไปหาแป้ง แล้วแจ้งให้เธอทราบว่า”รู้มั้ยว่าลืมใส่เสื้อใน”
แป้งบอกว่า “รู้ ... อายมากด้วยเพราะคิดว่าพ่อคงเห็น ....
สวัสดีพ่อเสร็จ พ่อมอง ... แป้งก็มองตาม พอรู้ว่าลืมเสื้อในเลยรีบเดินปิดนมออกจากบ้านมาเลย
จะให้วิ่งกลับขึ้นชั้นสองขึ้นไปใส่ก็ไม่กล้าแล้ว “
แป้งถามว่าพ่อแม่ว่าอะไรมั้ย ....
ผมได้แต่บอกแป้งว่าไม่มีอะไร ... สบายใจเถอะ ... ไม่มีใครพูดอะไร และพ่อก็ไม่เห็นอะไรหรอก ....
คืนวันนั้น แม้ทั้งผมและแป้ง จะผ่านการเปิด Sing ที่เจ็บปวด และก็ไม่ได้เสร็จสมอารมณ์หมาย
แต่ก็ถือว่ามันคือจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิตของผมในช่วงต่อมา ....
เมื่อความกำหนัดที่บังตา ... สั่งให้ผมตัดสินใจขอพ่อแม่ออกมาศัยอยู่นอกบ้านเป็นครั้งแรก
พอดีแป้งมีเพื่อนคนหนึ่ง ที่มีบ้านเก่าๆอยู่หลังหนึ่ง อยู่ใกล้ๆท่าน้ำนนท์
เป็นบ้านที่พ่อเพื่อนปลูกไว้นานแล้ว แต่ไม่มีคนไปอยู่ ...
ผมจึงลองแกล้งๆถามเพื่อนคนนี้ดูว่า ถ้าเราจะไปขออาศัยอยู่ แล้วจะจ่ายค่าเช่าให้ จะคิดเท่าไหร่
เพื่อนแป้งบอกกับผมว่า เขาก็กำลังจะไปอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั้นเหมือนกัน
อยากออกมาอยู่นอกบ้าน ... ยังไงมาอยู่ด้วยกันก็ได้ ... ค่าเช่าไม่ต้อง ... หารค่าน้ำค่าไฟกันก็พอ
แล้วก็ช่วยอยู่เฝ้าบ้านให้ด้วย เพราะตัวเพื่อนคนนี้อาจไม่ได้อยู่ตลอด แต่จะมานอนบ่อยๆ
เมื่อได้เรื่องบ้านราคาประหยัดที่จะย้ายไปอยู่แล้ว ... ทีนี้ก็เหลือการอนุมัติจากพ่อแม่
ผมยื่นข้อเสนอกับพ่อแม่ด้วยการที่จะไม่ขอค่าขนม ค่าเทอมจากพวกท่านอีกต่อไป
และตั้งใจจะทำงานไปด้วย และส่งเสียตัวเองเรียนไปด้วย ในวัยปวช.ปี2(17ย่าง18ปี)
พ่อดีลโอเคทันที บอกอยากทำอะไรก็ทำไป อย่าทิ้งการเรียนก็พอ ...
แต่แม่ยังไม่เชื่อว่าเราจะมีศักยภาพมากพอที่จะออกไปต่อสู้กับโลกตามลำพังได้
แม่เลยยื่นข้อเสนอกลับมาว่า แม่จะออกค่าเทอมให้จนเรียนจบ ส่วนค่าใช้จ่ายที่เหลือ ก็ไปหาเอาเอง
แต่มีข้อแม้ว่าถ้าการเรียนแย่ลงเมื่อไหร่ ผมก็ต้องกลับไปอยู่บ้านทันที ....
พอตกลงได้ตามนั้นก็วิน-วิน ....
ผมจึงเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าและตำราเรียนออกมาจากบ้าน ตั้งแต่อายุ ยังไม่ 18 ปีเต็ม
ออกมาพร้อมกับหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความรักและความกำหนัดแห่งแรกรุ่นของชีวิต
ออกมาใช้ชีวิตอิสระ แบบอยู่กับตัวเองไม่พึ่งพาใคร ออกมารับจ้างทำงาน ลองผิดลองถูก
ออกมาทำลายความกลัวที่ว่า “เราจะไปอยู่ที่อื่นที่ไม่ใช่บ้านได้ยังไง”
มันคือบ้านหลังแรก ที่สอนให้ผมรู้ว่า “ต่อไปนี้ .... ถ้าใจเรามีความสุข .... ทุกๆที่ก็จะเป็นบ้านของเราได้”
และบ้านเก่าหลังนั้นที่ผมออกมาอยู่กับเพื่อน ก็กลายเป็น”รังรัก”ของผมกับแป้งในช่วงเวลาต่อมา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
つづく