เพียงชายฯ (กึ่งรีวิว) พิเศษ : The Art of Marriage

ตึกที่รากฐานเปราะบาง ... ยิ่งต่อเติมยิ่งง่อนแง่น ความสูงที่เพิ่มเติมมาพร้อมน้ำหนักและแรงกดทับมหาศาล ชีวิตคู่ก็เช่นเดียวกัน  ความรักความปรารถนาที่สดใหม่และรุนแรงบนพื้นฐานแห่งความสงสัยแม้เพียงเศษเสี้ยว ก็ไม่ต่างอะไรกับตึกระฟ้าที่ตั้งอยู่บนโคลนเลน .... แค่ลมเบา ๆ สะกิดเพียงนิดมันก็พร้อมที่จะพังครืนลงมา

ตามประสาสาวสมัยมั่นใจในตัวเอง อนุศนิยาก็ว่าสิ่งที่ศตวรรษทำมาตลอด กับ นิสัยละเอียดอ่อนแสนสุภาพ และ มีความรักให้เธอจนล้นปรี่ ทำให้เธอเหมือนล่องลอยอยู่บนวิมาน เธอไม่เคยมีแฟน เธอไม่เคยนึกถึงชีวิตคู่ หรือ การอยู่ร่วมกับใครมาก่อน ดังนั้นเมื่อมีความรักจริงจังอย่างตกลงจะร่วมหอลงโลงกับใครคนหนึ่งเป็นคราวแรก มันก็หนักหนาสำหรับอนุศนิยาพอสมควร

เธอรู้สึกว่าเธอกับเขาผ่านอะไรกันมามาก
ถูก .... เธอกับเขาผ่านอะไรกันมามาก นั่นจริงอยู่
ถูก .... ที่เธอเองก็รู้จักตัวเขาดีพอสมควร
แต่ .... สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเขานั้น .... เธอรู้จักมันดีหรือไม่ ?


ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน หากการแต่งงานเป็นเรื่องราวที่มากมายกว่า "เธอและฉัน" การแต่งงานคือ "ครอบครัวสองครอบครัว" คือ "สังคมสองสังคม"  หมายความว่ามันเกี่ยวข้องกับ "ชีวิต" ที่มากกว่าสองชีวิต หลีกเลี่ยงไม่ได้เว้นแต่จะปลีกวิเวกไปเสียจริง ๆ แต่เมื่อมนุษย์ยังเป็นสัตว์สังคม มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน มีจารีตประเพณีธรรมเนียมปฏิบัติ การปลีกตัวออกก็ไม่ใช่เรื่องง่าย และ อาจจะกลายเป็นการต้านกระแสสังคมในบางกรณี

ถึงความรักเป็นหนึ่งเงื่อนไขในการตกลงปลงใจใช้ชีวิตคู่
แต่ความรักไม่ได้การันตีว่าชีวิตคู่นั้นจะอยู่ตลอดรอดยืนยาว
เขาจึงบอกว่าชีวิตคู่ คือ "ศิลปะ" อย่างไรเล่า


ความเชื่อใจมั่นใจของอนุศนิยาคลอนแคลนลงไปเมื่อศตวรรษเข้าไปพัวพันกับโสมมิกาบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นรูป เป็นเหตุการณ์ที่พบเจอด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่คนใกล้ตัวมาบอกมาฟ้อง ทำไมเขาปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาใกล้ชิดได้อีก ทำไมเขาถึงใจอ่อน  สิ่งเหล่านั้นทำให้อนุศนิยาผู้หญิงแกร่งถึงกับมีน้ำตา และ ถึงกับกรีดร้องโวยวาย ถึงแม้เหตุการณ์นั้นจะเป็นที่เคลียร์กันได้หากก็เพียงเบื้องต้น เพราะเมล็ดพันธุ์แห่งความไม่ไว้วางใจได้ถูกปลูกฝังลงไป และ เสียงนกเสียงการอบข้างก็ทำให้มันงอกงาม ญาติสนิทที่ช่วยกันสุมไฟ ฝ่ายตรงข้ามที่พยายามยิ่งกว่าพยายามที่จะเลื่อยขาเตียง ผู้ชายข้างตัวกับนิสัยสุภาพจริงใจนุ่มนวลอ่อนโยนในแบบที่เธอรักหนักหนา กลับกลายเป็นปัญหาหนักหน่วงที่ทำให้เธอหน้าคะมำล้มคว่ำลง

ผิดหรือที่เธอจะเจ็บปวด
ผิดหรือที่เธอจะหมดสิ้นซึ่งความศรัทธา
ผิดหรือที่เธอจะเชื่อในสิ่งที่เธอเห็นและได้ยิน
ผิดหรือที่เธอจะเชื่อคนอื่นมากกว่า "เชื่อเขา"


ประสบการณ์มากมายที่เอ่ยอ้างว่าผ่านมาด้วยกัน
ในเวลานี้กลับ "ไร้ซึ่งความหมาย"


ถ้าถามว่าอนุศนิยาผิดหรือ ? ไม่เลย ไม่ผิด เป็นไปได้ว่าเธอกำลังเวทนาตัวเอง ฉันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ผู้หญิงที่ตีโพยตีพายยื้อแย่งผู้ชายกับคนอื่นเช่นนั้นหรือ ? จากความวทนาก็กลายเป็นความโกรธ โกรธที่เธอรักเขาจนกระทั่งตัวเองเป็นอย่างนี้ ดังนั้นเธอมีสิทธิที่จะเลือก และ ทางที่เลือกจะมีผลเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ได้เท่ากับตัวของอนุศนิยาเอง หากถึงกระนั้นชีวิตคู่ไม่ใช่การตัดสินธุรกิจอย่างที่อนุศนิยาเคยชิน ความผูกพันไม่ใช่เรื่องที่ฟันฉับแล้วให้ขาดลงไม่เหลือเยื่อใย

และชีวิตคู่ยิ่งไม่ใช่ขาวและดำ
ชีวิตคู่คงรอดยากถ้าต้องแยกชั้น
หากคนสองคนคือสีที่แตกต่าง
การพบกันคนละครึ่งทางคงเป็นคำตอบที่สมเหตุผล


ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจอะไรลงไปควรตั้งคำถาม "ใคร" "ทำอะไร" "ที่ไหน" "อย่างไร" แล้วทำไมถึงเป็นอย่างนั้น มันประจวบเหมาะไปไหม ? บังเอิญไปหรือไม่ ?  การตัดฉับทุกสิ่งอย่างในทางธุรกิจถือว่าเด็ดขาด แต่การตัดฉับในความสัมพันธ์ทั้งที่คำถามยังคงคาใจ ยังไม่ได้เสาะหาข้อเท็จจริงให้กระจ่างชัด มันคือความ "กลัว" กลัวความเจ็บปวด กลัวว่าตัวเองจะไปไม่สุดทางจึงขอพอแค่นี้ ทั้งที่บางทีอะไร ๆ มันยังพอซ่อมแซม และ อาจจะเป็นการ break up to make up ไม่ได้รุนแรงร้ายกาจมากเท่าที่คิดที่เป็น

เมื่อแต่งงานเขาถึงให้คู่บ่าวสาวถือฟักและถือครกหินเข้าบ้านใหม่
นัยว่าให้ "เย็น" เหมือนฟัก "หนัก" เหมือนหิน
นับเป็นคำสอนที่แยบคายแบบไทย ๆ ในพิธีแต่งงานครั้งโบราณนานมา


หากปัดความโกรธเสียใจและแค้นเคืองเหลือแต่ความจริง
อนุศนิยาจะไม่ใช่แค่มองแต่จะเห็น
จะไม่ใช่แค่ได้ยินแต่จะได้ฟัง
จะไม่ใช่แค่รับรู้แต่เข้าใจความหมาย
คนที่รู้จักศตวรรษดีกว่าใคร ... ก็เธอนี่เองไม่ใช่หรือ


ส่วน "เขา" ก็ตามประสาคนที่อยู่ในวิชาชีพที่ช่วยชีวิตคน ความมารยาสาไถของคนบางคนมันก็เหมือนจริงเสียจนต้องทึ่ง และ ความเอาแต่ได้เอาแต่ใจความอยากเอาชนะของคนบางคนก็ไปไกลเสียจนคนปกตินึกไม่ถึงนึกไม่ออกว่าจะทำได้อย่างนั้นด้วย โสมมิการู้มาตลอดว่าจุดอ่อนของศตวรรษอยู่ที่ไหน ? เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตคนที่อยู่ใต้คำสาบานก็ปล่อยให้ชีวิตคน ๆ หนึ่งเสียไปเพียงเพราะคิดว่า "ไม่ใช่เรื่องจริง" หรือ เพราะ "ความชัง" มันขัดต่อความเชื่อและจรรยาของคนเป็นแพทย์อย่างร้ายแรง

หากความดีเหล่านั้นบางครั้งควรต้องมากับความเฉลียวใจ
อะไรที่ "เกินไป" มักนำมาสู่ปัญหา แม้แต่สิ่งที่เรียกว่า "ความดี"


ในครั้งนี้ "ความดี" ของหมอที่เคยเป็นอาวุธป้องกันภยันตรายทั้งปวง กลายเป็นหอกดาบที่พุ่งเข้าทิ่มแทง ภาระที่โอบไว้เต็มอ้อม ไม่เคยบอกใครเพราะเป็น "คนดี" ปัญหาที่มีไม่อยากจะทำให้ใครไม่สบายใจก็ไม่บอกลงมือแก้เองเพราะเป็น "คนดี" เพราะความที่ "ดี" เกินไปทุกสิ่งอย่างเลยกลับเป็น "ร้าย" โดยที่ไม่มีใครเข้าใจ "ความดี" ที่ทำให้คนอื่นกลายเป็นหนามแหลมทิ่มแทงใจใครอีกคนที่สำคัญ สิ่งที่ศตวรรษจะต้องถามใจ อะไร คือ priority อะไร คือ ความสำคัญ อะไร คือ ความสมดุล ?

ไม่มีใครที่จะสามารถทำให้ทุกคน "พอใจ" ได้
ไม่มีใครที่จะแก้ไขปัญหา "ทุกปัญหา" ได้
ประเด็นคือว่าตอนไหน "ควรปล่อย"


อนุศนิยา และ ศตวรรษ วิเคราะห์แล้ว ไม่ได้มีปัญหาเรื่อง "ความรัก" แต่มีความขลุกขลักใน "ศิลปะ" ของการอยู่อย่าง "ชีวิตคู่" บางครั้งการตัดฉับไม่ใช่ชัยชนะหากมันคือความกลัว บางครั้งอาจมองแต่ไม่เห็น ได้ยินแต่ไม่ได้ฟัง หรือ รับรู้แต่ไม่เข้าใจ บางครั้งอะไรที่เกินไปแม้แต่ความดีก็อาจกลาpเป็นร้าย บางครั้งการที่พยายามแก้ทุกปัญหากลับก่อให้เกิดปัญหาเสียเอง

แล้วสิ่งเหล่านั้นเองจึงย้อนกลับมาทำลาย "ความรัก" ให้พังภิณทุ์ไปได้อย่างน่าเสียดาย


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


What have I got to do to make you want me,
What have I got to do to be heard,
What do I say when it's all over?
And sorry seems to be the hardest word


และกว่าจะนึกได้ .... ก็อาจทำได้เพียง "เสียใจ"
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่