สวัสดีค่ะ ทุกๆคนล้วนมีความฝัน ความฝันของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป แต่ของเราคือฝันที่จะออกไปพบเจอกับโลกในมุมมองที่แตกต่างไปจากเดิม เรียนรู้สิ่งใหม่ๆในสถานที่ใหม่ๆเพื่อเปิดโลกที่เคยแคบให้กว้างยิ่งกว่าเดิม เราอยากไปเที่ยวในสถานที่ต่างๆมากมายแต่ด้วยว่ายังเรียนไม่จบและไม่อยากรบกวนพ่อแม่เลยพยายามทำงานเก็บเงินด้วยตัวเองไปเรื่อยๆตลอดหลายปีที่ผ่านมาจนในที่สุดความฝันอย่างแรกก็กลายเป็นจริงคือ ได้ไปเที่ยวสิงคโปร์นั่นเอง
ก่อนอื่นเลยรูปภาพอาจจะไม่ค่อยสวยมากนะคะ มือใหม่หัดถ่าย
ทริปนี้ออกเดินทางกันวันที่ 26-29 พ.ค. 2559 หลังจากสอบfinalเสร็จและเหนื่อยมาทั้งเทอม เราก็แพ็คกระเป๋า ไปตะลุยสิงคโปร์กันเลยย
เดินทางกับสายการบิน Aisasia ทั้งไปและกลับ ซื้อตั๋วตอนลดราคาเลยค่ะ ถูกกว่าเยอะ55555
จองที่พักไว้ที่ Backpacker's Inn ย่านchinatown โฮสเทลนี้มีสองสาขาคือที่ถนน MosQue และ Upp cross ซึ่งอยุ่ถัดจากChinatown มานิดเดียว
อุณหภูมิที่สิงคโปร์จะเฉลี่ย 30-34 องศา ก็คือร้อนน้อยกว่าเมืองไทยนั่นเองเพราะที่สิงคโปร์มีต้นไม้เยอะมากกกเลยช่วยบรรเทาอากาศร้อนไปได้เยอะ
สิงคโปร์จะมีแค่สองฤดูคือ ฤดูร้อนและฝน แนะนำให้พกหมวก ร่มหรือเสื้อกันฝนไปด้วย ส่วนจะเจอฝนตกหรือเปล่าก็แล้วแต่ดวงนะคะ
เวลาที่สิงคโปร์จะเร็วกว่าบ้านเรา 1 ชั่วโมงนะคะ ฟ้าจะสว่างตอน 7.00 น. ฟ้าจะมืดสนิทประมาณ 19.30 น.ค่ะ
ออกเดินทางจากประเทศไทย 7.05 น. ถึงสิงคโปร์ตอน 10.35 น.(เวลาท้องถิ่นสิงคโปร์) ด้วยความที่ว่านั่งเครื่องบินครั้งแรกเลยกลัวๆ นู่นนี่นั่น แต่ก็รอดชีวิตมาได้ค่ะ5555
อันนี้ถ่ายมาได้ตอนอยุ่บนเครื่องหมอกเยอะมากกกก
จากนั้นเราก็ถึงสนามบินชางงี สนามบินที่น่านอนที่สุดในโลกกกก(ต้องมาสัมผัสด้วยตัวเองจริงๆค่ะ แล้วจะรู้ว่าน่านอนยังไง)
แค่ลงเกทมาเจอพื้นพรม มีเก้าอี้นั่งยาวๆ น่านอนมากค่ะ
เราลงที่Terminal1 จากนั้นเราก็เดินตามทางเพื่อไปตรงตม.นั่นเอง (เดินตาป้าย Arrival ไปเลยค่ะ)
ระหว่างทางเดินมาจะมีจุดให้ใช้อินเทอร์เน็ตฟรีด้วยนะคะ เห็นได้ง่ายมากเลย จากนั้นเราก้จะเจอบันไดเลื่อนยาวๆค่ะก้ไปตามทางนั้นเลย แล้วเราก็ลงบันไดเลื่อนมาก็จะเจอตม.แล้วค่ะ
อย่างต่อมาที่กลัวไม่แพ้ขึ้นเครื่องบินนั่นก็คือ ตม.ของที่นี่นั่นเอง ได้ยินกิตติศักดิ์ของที่นี่มามากมายจากในพันทิปว่าโหดมากโดนเข้าห้องเย็น โดนสัมภาษณ์ต่างๆนานา ด้วยความว่าค่อนข้างอ่อนด้อยในภาษาอังกฤษของตัวเราเอง เราเลยกลัวมาก จนมาถึงตม. โดนค่ะ โดนเข้าห้องเย็น ช็อคคค แต่เราไม่ได้โดนคนเดียวค่ะ เพื่อนก็โดนด้วยเลยอุ่นใจไปนิดนึง แต่เรากับเพื่อนโดนไม่เยอะอาจเป็นเพราะว่ามีหลักฐานว่าพักที่ไหน กลับวันไหน เอาเงินมาเท่าไหร่เลยรอด ไปต้องเข้าไปในห้องสัมภาษณ์ อยุ่ในนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง เป็นครึ่งชั่วโมงที่ยาวนานมากกก เพื่อนเราก็ถามเขาค่ะว่ามีปัญหาอะไรถึงต้องมาอยู่ในนี้ เขาก็บอกว่าไม่มีอะไรเลยแค่อยากเก็บข้อมูลเฉยๆ(แล้วทำไมต้องทำหน้าโหดเบอร์นั้นนน)
หลังจากรอดชีวิตมาจาก ตม.แล้ว เราก็ออกเดินทางต่อเพื่อไปเช็คอินที่พักย่าน chinatown กันค่ะ ก่อนอื่นเพื่อให้มีชีวิตรอดจากการลงแดงจากการขาดโซเชียล เลยต้องรีบหาซื้อซิมของที่นี่มาใช้ค่ะ เราซื้อที่ Terminal1 หลังจากออกตม.มา ใกล้ๆที่รับสัมภาระจะมีธนาคารที่รับแลกเงินเยอะๆเลยค่ะ ตามธนาคารนั้นจะขายซิมด้วย ที่เราซื้อซิมของSingtel ราคา 15 SGD มีอายุการใช้งาน 5 วัน อินเตอร์เน็ต 4 GB โทรกลับไทยได้ 30 นาที โทรภายในสิงคโปร์ได้ 500 นาที แนะนำให้เปลี่ยนซิมตรงนั้นเลยนะคะ ถ้ามีปัญหาให้เจ้าหน้าที่ที่ขายช่วยดูได้ เผื่อว่าเครื่องอาจใช้ไม่ได้หรือเราทำไม่เป็น
พอจัดการกับซิมเรียบร้อยแล้ว เราต้องไปขึ้น skytrain เพื่อไปที่ Terminal2 เนื่องจาก MRT ที่จะเข้าไปในเมืองจะเริ่มที่Terminal2ค่ะ เมื่อถึงTerminal2แล้วจะมีป้ายบอกทางให้ไปMRTเป็นระยะๆ ทางลงไป MRT จะอยุ่หลังร้าน Burger King ลองมองหาดูก็ได้ค่ะ จะได้หาง่ายๆ
จากนั้นเราก็ต้องไปที่ Ticket Officeเพื่อซื้อ EZ-link ไปขึ้น MRT นั่นเอง
ก่อนอื่นเลยบัตรที่จะสามารถใช้ขึ้น MRT ได้จะมีอยู่สองแบบด้วยกันค่ะคือ EZ-link และ Singapore Tourist Pass
โดย EZ-link จะราคา 12 SGD เป็นราคาบัตรเปล่า 5 SGD และค่าโดยสาร 7 SGD สามารถเติมเงินได้ครั้งละ 10 SGD ในทุกๆสถานี มีอายุ 5 ปี
Singapore Tourist Pass จะเป็นบัตรราคาเหมาต่อวัน โดยเมื่อซื้อต้องมัดจำค่าบัตร 10 SGD เมื่อนำบัตรมาคืนก็จะได้เงินคืนค่ะ
ส่วนเราเลือกที่จะซื้อ EZ-link เพราะเราอยากเก็บบัตรค่ะ ไม่มีเหตุผลอะไรมากกว่านี้555555
ต่อแถวเรียบร้อยค่ะ ก็ได้มาแล้ววววว ลายกัปตันนี้ถูกใจมากค่ะพูดเลยย
จากนั้นเราก็ไปต่อกันเลยค่ะ จะช้าอยู่ทำไมไปรอ MRT กันเลยดีกว่าค่ะ ครั้งแรกที่เห็นสถานีMRTก็ร้องโว้วววววเลยค่ะ อลังการงานสร้างมากกก
สายของ MRT หลักๆนะคะ
สายสีเขียว จะแบ่งเป็นสองสายค่ะ คือ East West Line(EW) จะเป็นสายหลักค่ะ
และ Changi Line(CG) ซึ่งจะเป็นสายที่ตรงไปยังสนามบิน ต้องมาเปลียนขึ้นที่สถานี Tanah Merah
สายสีม่วง North East Line(NE) สายนี้จะไปถึง Chinatown และ Harbourfront(ข้ามไปเกาะเซนโตซ่า)
สายสีเหลือง Circle Line สายนี้สามารถไป Marina Bay ได้
สายสีแดง North south Line(์NS) สามารถไป Marina Bay ได้เช่นกัน
สายสีน้ำเงิน Downtown Line(DT) สามารถไป Chinatownและ Bugis ได้
กลับมาในการเดินทางของเราต่อดีกว่า
ในสถานีนี้สามารถขึ้นMRTได้ทั้งสองฝั่งนะคะ ไปลงที่สถานีเดียวกันคือ Tanah Merah
เมื่อถึง Tanah Merah แล้วให้เปลี่ยนขบวนเพื่อไปลง Outram Park ก็เหมือน MRTหรือBTS บ้านเราค่ะ สถานีที่ขึ้นจะบอกแค่สถานีปลายทางสุดท้าย ต้องระวังนะคะต้องดูให้แน่ใจว่าสถานีที่เราจะไป สถานีอะไรอยู่ปลายทางสุดท้ายเพราะทำให้หลงกันมาเยอะแล้ว
ขบวนที่เราจะขึ้นต้องไปทาง Joo Koon ค่ะ เมื่อไปถึง outram Park ให้เปลี่ยนสายไปเป็นสายสีม่วงปลายทาง Punggol เพื่อไปยัง Chinatown ค่ะ
เอ่ออ คนอ่านไม่เข้าใจเดี๋ยวเราจะใช้สัญลักษณ์ช่วยดีกว่า ตัวขึ้นต้นจะเป็นชื่อสถานี ในวงเล็บจะเป็นสถานีปลายทางหรนะคะจะได้ง่ายดี
สีเขียว Ghangi Airport(ต้นทาง) >> สีเขียว Tanah Merah(เปลี่ยนสายเป็นไป Joo Koon ) >> ลงสีเขียว Outram Park(เปลี่ยนสายเป็นสีม่วงไป Pungoll) >> ลง Chinatown
ไม่ต้องกังวลนะคะ ทุกๆสถานีจะมีแผนที่ให้ดู ถ้าไม่มั่นใจให้ไปดูแผนที่ก่อน ไม่ต้องรีบร้อน รถไฟมาบ่อยและตรงเวลามากค่ะ
จากนั้นเราก็มาถึงแล้ววววว Chinatown ขึ้นจาก MRT มาออกทางประตู E นะคะ หรือถนน Pagoda ก็ได้ค่ะ ทางเดียวกัน
ขึ้นมาเจอหน้าตาแบบนี้ ไม่หลงชัวร์ๆ
เหนือสิ่งอื่นใด ตอนนั้นมันก็บ่ายโมงกว่าๆแล้วว หิวข้าวมากกกก เลยหันซ้ายหันขวาหาร้านที่ไม่ค่อยแพงมากเลยหันไปเจอร้านนี้ค่ะ
หาไม่ยากขึ้นจากสถานีหันขวาเจอเลย มีตู้ผลไม้อยู่ข้างหน้า
ที่สั่งมาคล้ายๆข้าวหมูแดงนะคะ หมูแดงอร่อยมากกกกก อยู่ไทยยังไม่เคยกินหมูแดงอร่อยขนาดนี้ พูดเลยยย ค่าเสียหาย 6 SGD ข้าวนึงจาน น้ำหนึ่งขวด
พอกินเสร็จแล้วก้ไปเช็คอินโฮสเทลกันเลยยย ที่พักในย่านนี้มีเยอะมากเลยค่ะ แนะนำจองมาก่อนอย่างน้อยก็เอาไว้ใช้ตอนผ่านตม.ได้ ถ้าเจอจังหวะดีๆ จะได้ราคาที่ถูกมากๆๆ ที่เราพักคือ Backpacker'Inn เหมือนที่บอกไปข้างบนนะคะ ถ้าเดินไปหาไม่เจอ google Map ช่วยท่านได้
หลังจากเช็คอินเรียบร้อย เก็บข้าวของ พักให้หายเหนื่อยแล้ว เราก็ออกเที่ยวกันเลยย
ที่แรกที่เราจะไปกันนะคะคือ Sri Mariamman Temple คนไทยจะเรียกง่ายๆว่าวัดแขกนั่นเอง หาไม่ยากเลยค่ะ อยู่ท้ายซอย PagodaหรือChinatown นั่นเอง แต่เราไม่ได้เข้านะคะ ถ่ายรูปแค่ข้างหน้าอย่างเดียว เรากลัวเพราะไม่คุ้นชินกับศาสนานี้ กลัวไปหน้าแตกหรือไปทำอะไรหมิ่นเขาเลยไม่เสี่ยงดีกว่าค่ะ
จากวัดแขกเดินตรงมาเรื่อยๆ ผ่านถนน Smith จะเจอถนน Sago เราก็จะเจอ Buddha Tooth Relic Temple หรือวัดพระเขี้ยวแก้ว อยู่หน้าถนนเลยค่ะ
ด้านในสามารถเข้าไปไหว้ได้ แต่ว่า ห้ามนุ่งสั้น แขนกุดนะคะ ถ้าใส่ไปต้องไปยืมผ้าของทางวัดมานุ่งค่ะ
วัดพระเขี้ยวแก้วมี 4 ชั้น แต่ชั้นสี่ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพได้ค่ะ ภาพนี้จากชั้น 1 ที่ถ่ายจากชั้น 2 ค่ะ เพราะวันนั้นไปทางวัดกำลังมีพิธีอะไรซักอย่างคนเลยเยอะมาก เดินเข้าไปถ่ายรูปตรงๆไม่ได้ ติดหัวคนเต็มไปหมด
หลังจากที่ไหว้พระเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินไปต่อกันที่ People'Park Centre เพื่อซื้อตั๋วที่ Sea Wheel travel จะได้ราคาที่ถูกกว่าไปซื้อหน้างาน
ซื้อเสร็จเริ่มหิวอีกแล้ว เลยลงหาอะไรที่กินที่ศูนย์อาหารชั้นล่าง มีอะไรแปลกๆเต็มเลยค่ะ ที่แปลกคือบ้านเราไม่มีค่ะ55555
ไปเจอร้านนี้ค่ะ
มันเด็ดตรงเราสามารถเลือกท็อปปิ้งเองได้ค่ะเลือกได้ 7 อย่าง ค่าเสียหาย 4 SGD อร่อยค่ะ คล้ายๆสุกี้ แต่เครื่องจัดเต็มจนกินไม่หมด
หลังจากกินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ เราก็เดินกันต่อค่ะ เราจะไป Clarke Quay กันนนน ทางไปก็ไม่ยากเลย แค่ออกจากห้างแล้วเลี้ยวซ้ายเดินตรงมาเรื่อยๆ จะเจอแม่น้ำ ก็เจอ Clarke Quay ค่ะ อ่านให้ถูกนะคะ คลาก คีย์ ไม่ใช่ คลาก ค..ย นะคะ ยอมรับว่าเคยอ่านผิด
ที่นี่มีกิจกรรมให้ทำคือ เดินเล่น ล่องเรือหรือนั่งดื่มด่ำบรรยากาศตามร้านอาหารในClarke Quay เราเลือกเดินเล่นค่ะ ไม่เสียเงินดีแต่เสียดายที่ไม่ได้ล่องเรือค่ะ เพราะเรือจะพาออกไปถึง Marina Bay เลยค่ะ
จากที่นี่จะเห็น Marina Bay Sand ด้วยค่ะ
จากรูปสุดท้ายเห็นมั้ยคะ น้ำเป็นสีรุ้ง อยากรู้ต้นตอค่ะและพอดีกับการอิ่มเอมไปกับบรรยากาศเรียบร้อย เวลาก็ใกล้จะสี่ทุ่มแล้วเลยจะเดินกลับโฮสเทลแบบชิวๆ ไปตามทางที่ไม่ได้คิดไว้ก่อนเลยค่ะคือไปจะไปตามแสงสีรุ้งนั้น เดินๆไปเจออุโมงค์ลอดสะพานนี้ค่ะ จัดว่าเหมาะกับการถ่ายรูปมาก
แล้วพอเราออกจากอุโมงค์ เราก็เจอต้นตอของแสงสีรุ้งค่ะ มันคือสะพานนั่นเองงงง
ในเมื่อเราหายข้องใจแล้ว ก็ได้เวลาที่เราต้องกลับไปนอนเก็บแรงกันซักทีเพราะวันพรุ่งนี้ทริปใหญ่กำลังรอเราอยู่ค่ะ ไปเที่ยว S.E.A Equarium บนเกาะเซนโตซ่านั่นเองงง
ปล.เราชอบเข้าพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำมากค่ะ เราอยู่ม.แถวบางแสน เราเข้าบ่อยจนเพื่อนถามว่ามันมีอะไรไปบ่อยเกิ้นนน
[Backpack] THE FIRST TRIP : Singapore Around Me
สวัสดีค่ะ ทุกๆคนล้วนมีความฝัน ความฝันของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป แต่ของเราคือฝันที่จะออกไปพบเจอกับโลกในมุมมองที่แตกต่างไปจากเดิม เรียนรู้สิ่งใหม่ๆในสถานที่ใหม่ๆเพื่อเปิดโลกที่เคยแคบให้กว้างยิ่งกว่าเดิม เราอยากไปเที่ยวในสถานที่ต่างๆมากมายแต่ด้วยว่ายังเรียนไม่จบและไม่อยากรบกวนพ่อแม่เลยพยายามทำงานเก็บเงินด้วยตัวเองไปเรื่อยๆตลอดหลายปีที่ผ่านมาจนในที่สุดความฝันอย่างแรกก็กลายเป็นจริงคือ ได้ไปเที่ยวสิงคโปร์นั่นเอง
ก่อนอื่นเลยรูปภาพอาจจะไม่ค่อยสวยมากนะคะ มือใหม่หัดถ่าย
ทริปนี้ออกเดินทางกันวันที่ 26-29 พ.ค. 2559 หลังจากสอบfinalเสร็จและเหนื่อยมาทั้งเทอม เราก็แพ็คกระเป๋า ไปตะลุยสิงคโปร์กันเลยย
เดินทางกับสายการบิน Aisasia ทั้งไปและกลับ ซื้อตั๋วตอนลดราคาเลยค่ะ ถูกกว่าเยอะ55555
จองที่พักไว้ที่ Backpacker's Inn ย่านchinatown โฮสเทลนี้มีสองสาขาคือที่ถนน MosQue และ Upp cross ซึ่งอยุ่ถัดจากChinatown มานิดเดียว
อุณหภูมิที่สิงคโปร์จะเฉลี่ย 30-34 องศา ก็คือร้อนน้อยกว่าเมืองไทยนั่นเองเพราะที่สิงคโปร์มีต้นไม้เยอะมากกกเลยช่วยบรรเทาอากาศร้อนไปได้เยอะ
สิงคโปร์จะมีแค่สองฤดูคือ ฤดูร้อนและฝน แนะนำให้พกหมวก ร่มหรือเสื้อกันฝนไปด้วย ส่วนจะเจอฝนตกหรือเปล่าก็แล้วแต่ดวงนะคะ
เวลาที่สิงคโปร์จะเร็วกว่าบ้านเรา 1 ชั่วโมงนะคะ ฟ้าจะสว่างตอน 7.00 น. ฟ้าจะมืดสนิทประมาณ 19.30 น.ค่ะ
ออกเดินทางจากประเทศไทย 7.05 น. ถึงสิงคโปร์ตอน 10.35 น.(เวลาท้องถิ่นสิงคโปร์) ด้วยความที่ว่านั่งเครื่องบินครั้งแรกเลยกลัวๆ นู่นนี่นั่น แต่ก็รอดชีวิตมาได้ค่ะ5555
อันนี้ถ่ายมาได้ตอนอยุ่บนเครื่องหมอกเยอะมากกกก
จากนั้นเราก็ถึงสนามบินชางงี สนามบินที่น่านอนที่สุดในโลกกกก(ต้องมาสัมผัสด้วยตัวเองจริงๆค่ะ แล้วจะรู้ว่าน่านอนยังไง)
แค่ลงเกทมาเจอพื้นพรม มีเก้าอี้นั่งยาวๆ น่านอนมากค่ะ
เราลงที่Terminal1 จากนั้นเราก็เดินตามทางเพื่อไปตรงตม.นั่นเอง (เดินตาป้าย Arrival ไปเลยค่ะ)
ระหว่างทางเดินมาจะมีจุดให้ใช้อินเทอร์เน็ตฟรีด้วยนะคะ เห็นได้ง่ายมากเลย จากนั้นเราก้จะเจอบันไดเลื่อนยาวๆค่ะก้ไปตามทางนั้นเลย แล้วเราก็ลงบันไดเลื่อนมาก็จะเจอตม.แล้วค่ะ
อย่างต่อมาที่กลัวไม่แพ้ขึ้นเครื่องบินนั่นก็คือ ตม.ของที่นี่นั่นเอง ได้ยินกิตติศักดิ์ของที่นี่มามากมายจากในพันทิปว่าโหดมากโดนเข้าห้องเย็น โดนสัมภาษณ์ต่างๆนานา ด้วยความว่าค่อนข้างอ่อนด้อยในภาษาอังกฤษของตัวเราเอง เราเลยกลัวมาก จนมาถึงตม. โดนค่ะ โดนเข้าห้องเย็น ช็อคคค แต่เราไม่ได้โดนคนเดียวค่ะ เพื่อนก็โดนด้วยเลยอุ่นใจไปนิดนึง แต่เรากับเพื่อนโดนไม่เยอะอาจเป็นเพราะว่ามีหลักฐานว่าพักที่ไหน กลับวันไหน เอาเงินมาเท่าไหร่เลยรอด ไปต้องเข้าไปในห้องสัมภาษณ์ อยุ่ในนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง เป็นครึ่งชั่วโมงที่ยาวนานมากกก เพื่อนเราก็ถามเขาค่ะว่ามีปัญหาอะไรถึงต้องมาอยู่ในนี้ เขาก็บอกว่าไม่มีอะไรเลยแค่อยากเก็บข้อมูลเฉยๆ(แล้วทำไมต้องทำหน้าโหดเบอร์นั้นนน)
หลังจากรอดชีวิตมาจาก ตม.แล้ว เราก็ออกเดินทางต่อเพื่อไปเช็คอินที่พักย่าน chinatown กันค่ะ ก่อนอื่นเพื่อให้มีชีวิตรอดจากการลงแดงจากการขาดโซเชียล เลยต้องรีบหาซื้อซิมของที่นี่มาใช้ค่ะ เราซื้อที่ Terminal1 หลังจากออกตม.มา ใกล้ๆที่รับสัมภาระจะมีธนาคารที่รับแลกเงินเยอะๆเลยค่ะ ตามธนาคารนั้นจะขายซิมด้วย ที่เราซื้อซิมของSingtel ราคา 15 SGD มีอายุการใช้งาน 5 วัน อินเตอร์เน็ต 4 GB โทรกลับไทยได้ 30 นาที โทรภายในสิงคโปร์ได้ 500 นาที แนะนำให้เปลี่ยนซิมตรงนั้นเลยนะคะ ถ้ามีปัญหาให้เจ้าหน้าที่ที่ขายช่วยดูได้ เผื่อว่าเครื่องอาจใช้ไม่ได้หรือเราทำไม่เป็น
พอจัดการกับซิมเรียบร้อยแล้ว เราต้องไปขึ้น skytrain เพื่อไปที่ Terminal2 เนื่องจาก MRT ที่จะเข้าไปในเมืองจะเริ่มที่Terminal2ค่ะ เมื่อถึงTerminal2แล้วจะมีป้ายบอกทางให้ไปMRTเป็นระยะๆ ทางลงไป MRT จะอยุ่หลังร้าน Burger King ลองมองหาดูก็ได้ค่ะ จะได้หาง่ายๆ
จากนั้นเราก็ต้องไปที่ Ticket Officeเพื่อซื้อ EZ-link ไปขึ้น MRT นั่นเอง
ก่อนอื่นเลยบัตรที่จะสามารถใช้ขึ้น MRT ได้จะมีอยู่สองแบบด้วยกันค่ะคือ EZ-link และ Singapore Tourist Pass
โดย EZ-link จะราคา 12 SGD เป็นราคาบัตรเปล่า 5 SGD และค่าโดยสาร 7 SGD สามารถเติมเงินได้ครั้งละ 10 SGD ในทุกๆสถานี มีอายุ 5 ปี
Singapore Tourist Pass จะเป็นบัตรราคาเหมาต่อวัน โดยเมื่อซื้อต้องมัดจำค่าบัตร 10 SGD เมื่อนำบัตรมาคืนก็จะได้เงินคืนค่ะ
ส่วนเราเลือกที่จะซื้อ EZ-link เพราะเราอยากเก็บบัตรค่ะ ไม่มีเหตุผลอะไรมากกว่านี้555555
ต่อแถวเรียบร้อยค่ะ ก็ได้มาแล้ววววว ลายกัปตันนี้ถูกใจมากค่ะพูดเลยย
จากนั้นเราก็ไปต่อกันเลยค่ะ จะช้าอยู่ทำไมไปรอ MRT กันเลยดีกว่าค่ะ ครั้งแรกที่เห็นสถานีMRTก็ร้องโว้วววววเลยค่ะ อลังการงานสร้างมากกก
สายของ MRT หลักๆนะคะ
สายสีเขียว จะแบ่งเป็นสองสายค่ะ คือ East West Line(EW) จะเป็นสายหลักค่ะ
และ Changi Line(CG) ซึ่งจะเป็นสายที่ตรงไปยังสนามบิน ต้องมาเปลียนขึ้นที่สถานี Tanah Merah
สายสีม่วง North East Line(NE) สายนี้จะไปถึง Chinatown และ Harbourfront(ข้ามไปเกาะเซนโตซ่า)
สายสีเหลือง Circle Line สายนี้สามารถไป Marina Bay ได้
สายสีแดง North south Line(์NS) สามารถไป Marina Bay ได้เช่นกัน
สายสีน้ำเงิน Downtown Line(DT) สามารถไป Chinatownและ Bugis ได้
กลับมาในการเดินทางของเราต่อดีกว่า
ในสถานีนี้สามารถขึ้นMRTได้ทั้งสองฝั่งนะคะ ไปลงที่สถานีเดียวกันคือ Tanah Merah
เมื่อถึง Tanah Merah แล้วให้เปลี่ยนขบวนเพื่อไปลง Outram Park ก็เหมือน MRTหรือBTS บ้านเราค่ะ สถานีที่ขึ้นจะบอกแค่สถานีปลายทางสุดท้าย ต้องระวังนะคะต้องดูให้แน่ใจว่าสถานีที่เราจะไป สถานีอะไรอยู่ปลายทางสุดท้ายเพราะทำให้หลงกันมาเยอะแล้ว
ขบวนที่เราจะขึ้นต้องไปทาง Joo Koon ค่ะ เมื่อไปถึง outram Park ให้เปลี่ยนสายไปเป็นสายสีม่วงปลายทาง Punggol เพื่อไปยัง Chinatown ค่ะ
เอ่ออ คนอ่านไม่เข้าใจเดี๋ยวเราจะใช้สัญลักษณ์ช่วยดีกว่า ตัวขึ้นต้นจะเป็นชื่อสถานี ในวงเล็บจะเป็นสถานีปลายทางหรนะคะจะได้ง่ายดี
สีเขียว Ghangi Airport(ต้นทาง) >> สีเขียว Tanah Merah(เปลี่ยนสายเป็นไป Joo Koon ) >> ลงสีเขียว Outram Park(เปลี่ยนสายเป็นสีม่วงไป Pungoll) >> ลง Chinatown
ไม่ต้องกังวลนะคะ ทุกๆสถานีจะมีแผนที่ให้ดู ถ้าไม่มั่นใจให้ไปดูแผนที่ก่อน ไม่ต้องรีบร้อน รถไฟมาบ่อยและตรงเวลามากค่ะ
จากนั้นเราก็มาถึงแล้ววววว Chinatown ขึ้นจาก MRT มาออกทางประตู E นะคะ หรือถนน Pagoda ก็ได้ค่ะ ทางเดียวกัน
ขึ้นมาเจอหน้าตาแบบนี้ ไม่หลงชัวร์ๆ
เหนือสิ่งอื่นใด ตอนนั้นมันก็บ่ายโมงกว่าๆแล้วว หิวข้าวมากกกก เลยหันซ้ายหันขวาหาร้านที่ไม่ค่อยแพงมากเลยหันไปเจอร้านนี้ค่ะ
หาไม่ยากขึ้นจากสถานีหันขวาเจอเลย มีตู้ผลไม้อยู่ข้างหน้า
ที่สั่งมาคล้ายๆข้าวหมูแดงนะคะ หมูแดงอร่อยมากกกกก อยู่ไทยยังไม่เคยกินหมูแดงอร่อยขนาดนี้ พูดเลยยย ค่าเสียหาย 6 SGD ข้าวนึงจาน น้ำหนึ่งขวด
พอกินเสร็จแล้วก้ไปเช็คอินโฮสเทลกันเลยยย ที่พักในย่านนี้มีเยอะมากเลยค่ะ แนะนำจองมาก่อนอย่างน้อยก็เอาไว้ใช้ตอนผ่านตม.ได้ ถ้าเจอจังหวะดีๆ จะได้ราคาที่ถูกมากๆๆ ที่เราพักคือ Backpacker'Inn เหมือนที่บอกไปข้างบนนะคะ ถ้าเดินไปหาไม่เจอ google Map ช่วยท่านได้
หลังจากเช็คอินเรียบร้อย เก็บข้าวของ พักให้หายเหนื่อยแล้ว เราก็ออกเที่ยวกันเลยย
ที่แรกที่เราจะไปกันนะคะคือ Sri Mariamman Temple คนไทยจะเรียกง่ายๆว่าวัดแขกนั่นเอง หาไม่ยากเลยค่ะ อยู่ท้ายซอย PagodaหรือChinatown นั่นเอง แต่เราไม่ได้เข้านะคะ ถ่ายรูปแค่ข้างหน้าอย่างเดียว เรากลัวเพราะไม่คุ้นชินกับศาสนานี้ กลัวไปหน้าแตกหรือไปทำอะไรหมิ่นเขาเลยไม่เสี่ยงดีกว่าค่ะ
จากวัดแขกเดินตรงมาเรื่อยๆ ผ่านถนน Smith จะเจอถนน Sago เราก็จะเจอ Buddha Tooth Relic Temple หรือวัดพระเขี้ยวแก้ว อยู่หน้าถนนเลยค่ะ
ด้านในสามารถเข้าไปไหว้ได้ แต่ว่า ห้ามนุ่งสั้น แขนกุดนะคะ ถ้าใส่ไปต้องไปยืมผ้าของทางวัดมานุ่งค่ะ
วัดพระเขี้ยวแก้วมี 4 ชั้น แต่ชั้นสี่ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพได้ค่ะ ภาพนี้จากชั้น 1 ที่ถ่ายจากชั้น 2 ค่ะ เพราะวันนั้นไปทางวัดกำลังมีพิธีอะไรซักอย่างคนเลยเยอะมาก เดินเข้าไปถ่ายรูปตรงๆไม่ได้ ติดหัวคนเต็มไปหมด
หลังจากที่ไหว้พระเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินไปต่อกันที่ People'Park Centre เพื่อซื้อตั๋วที่ Sea Wheel travel จะได้ราคาที่ถูกกว่าไปซื้อหน้างาน
ซื้อเสร็จเริ่มหิวอีกแล้ว เลยลงหาอะไรที่กินที่ศูนย์อาหารชั้นล่าง มีอะไรแปลกๆเต็มเลยค่ะ ที่แปลกคือบ้านเราไม่มีค่ะ55555
ไปเจอร้านนี้ค่ะ
มันเด็ดตรงเราสามารถเลือกท็อปปิ้งเองได้ค่ะเลือกได้ 7 อย่าง ค่าเสียหาย 4 SGD อร่อยค่ะ คล้ายๆสุกี้ แต่เครื่องจัดเต็มจนกินไม่หมด
หลังจากกินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ เราก็เดินกันต่อค่ะ เราจะไป Clarke Quay กันนนน ทางไปก็ไม่ยากเลย แค่ออกจากห้างแล้วเลี้ยวซ้ายเดินตรงมาเรื่อยๆ จะเจอแม่น้ำ ก็เจอ Clarke Quay ค่ะ อ่านให้ถูกนะคะ คลาก คีย์ ไม่ใช่ คลาก ค..ย นะคะ ยอมรับว่าเคยอ่านผิด
ที่นี่มีกิจกรรมให้ทำคือ เดินเล่น ล่องเรือหรือนั่งดื่มด่ำบรรยากาศตามร้านอาหารในClarke Quay เราเลือกเดินเล่นค่ะ ไม่เสียเงินดีแต่เสียดายที่ไม่ได้ล่องเรือค่ะ เพราะเรือจะพาออกไปถึง Marina Bay เลยค่ะ
จากที่นี่จะเห็น Marina Bay Sand ด้วยค่ะ
จากรูปสุดท้ายเห็นมั้ยคะ น้ำเป็นสีรุ้ง อยากรู้ต้นตอค่ะและพอดีกับการอิ่มเอมไปกับบรรยากาศเรียบร้อย เวลาก็ใกล้จะสี่ทุ่มแล้วเลยจะเดินกลับโฮสเทลแบบชิวๆ ไปตามทางที่ไม่ได้คิดไว้ก่อนเลยค่ะคือไปจะไปตามแสงสีรุ้งนั้น เดินๆไปเจออุโมงค์ลอดสะพานนี้ค่ะ จัดว่าเหมาะกับการถ่ายรูปมาก
แล้วพอเราออกจากอุโมงค์ เราก็เจอต้นตอของแสงสีรุ้งค่ะ มันคือสะพานนั่นเองงงง
ในเมื่อเราหายข้องใจแล้ว ก็ได้เวลาที่เราต้องกลับไปนอนเก็บแรงกันซักทีเพราะวันพรุ่งนี้ทริปใหญ่กำลังรอเราอยู่ค่ะ ไปเที่ยว S.E.A Equarium บนเกาะเซนโตซ่านั่นเองงง
ปล.เราชอบเข้าพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำมากค่ะ เราอยู่ม.แถวบางแสน เราเข้าบ่อยจนเพื่อนถามว่ามันมีอะไรไปบ่อยเกิ้นนน