เตียงผี...
ราสส์ กิโลหก
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะรู้สึกปวดร้าวบริเวณหน้าอก หลังจากนอนหลับสนิทมาตั้งแต่หัวค่ำ คงเป็นสาเหตุจากโรคเก่าที่กำเริบขึ้นมา อาการมันเจ็บจี๊ดที่หน้าอก จนหายใจไม่สะดวก มันเหมือนมีใครเอาเท้ามาเหยียบตรงหน้าอก เอาภูเขาทั้งลูกยัดเข้าไปด้วย จุกเสียด อึดอัดจนใจจะขาด เรี่ยวแรงหดหายไปแขนและขาใช้งานได้น้อยกว่าเดิม หยิบนาฬิกาที่หัวเตียงมาดูเวลา เกือบตีหนึ่ง ทำไงดี ผมอยู่คนเดียว ไม่มีทางอื่นนอกจากโทรเรียกรถฉุกเฉิน คว้าโทรศัพท์กดเบอร์ฉุกเฉินของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง...บอกตำแหน่งของบ้านให้ใกล้เคียงที่สุด
พยายามลุกขึ้นเดินไปที่ประตูหน้าบ้านเปิดประตูด้วยความยากลำบาก เหยียดตัวนอนที่หน้าประตูเพราะ เพื่อต้องการให้รถพยาบาลได้แลเห็น นอนได้แล้วแต่อาการยังไม่ดีขึ้น ยิ่งหนักขึ้นกว่าเดิมจนทำอะไรไม่ถูก มองดูอะไรดูก็ไม่ชัด ตาลายท้องใส้ปั่นป่วน สิ่งที่อยู่ในกระเพาะ กำลังจะดันออกมาทางปาก ก่อนสติจะดับวูบไป..
“คนไข้รายนี้ หัวใจเต้นเร็วมาก เกือบสองร้อย คุณฉีดยา..............ให้คนไข้ทางเส้นเลือด หัวใจจะได้เต้นช้าลง....”
“ค่ะๆๆๆหมอ” เสียงของผู้หญิงรับคำ
“อาการยังต้องเฝ้าระวัง เพราะหัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจหัวใจวายเมื่อไหร่ก็ได้ ส่งไปห้อง ไอ ซี ยู นะ”
“ค่ะๆๆๆ หมอ “ เสียงรับคำเหมือนเดิม
ผมฟื้นขึ้นมา นี่ผมคงมาถึงโรงพยาบาลแล้วซินะ ได้ยินเสียงคนพูดกัน คงเป็นหมอกับพยาบาล บรรยากาศรอบตัวเงียบมากไม่มีสรรพเสียงอื่นๆเลย จึงได้ยินเสียงคุยกันได้ชัดเจน
สักพักมีคนมาขยับที่แขนตรงข้อพับ และรู้สึกเจ็บจี๊ดๆที่ข้อพับ พยาบาลมาฉีดยาให้นั่นเอง หลังฉีดยาไปไม่นาน ผมรู้สึกตัวชาไปทั้งตัวเหมือนร่างกายตกลงมาจากที่สูง หัวใจที่เต้นโครมครามจนอกแทบแตก บัดนี้ ค่อยดีขึ้นกว่าเดิมมาจากฤทธิ์ของยา แต่อาการเพลียยังคงอยู่เพราะร่างกายมันร้าวเจ็บระบมมานาน เหมือนรอการปรับตัว มันเหมือนยกภูเขาออกจากอกจริงๆๆ
พยาบาลพูดว่า
“ อนันต์ เข็นคนไข้ไปห้อง ไอ ซี ยู เตียงริมนะ พี่แจ้งห้องไอ ซี ยู ไว้แล้ว”
“ครับ พี่” คนเข็นเตียงรับคำ
แสดงว่าผมนอนอยู่บนเตียงรถเข็น ตายังหลับ แต่รู้สึกได้ว่า รถเข็นมีการเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ คนเข็นรถ ฮัมเพลงเบาๆ ดูเขามีความสุขกับงานที่ทำ ผมเดาๆเอาว่าขณะนี้คงดึกมาก เพราะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ในโรงพยาบาลคงต้องการความเงียบเพื่อสุขภาพของคนไข้ เสียงรองเท้าคนเข็นเตียงดังกังวานในความเงียบ รถเข็นเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาวิ่งหลายเลี้ยว จนไม่นานรถก็หยุดนิ่งลง ในที่แห่งหนึ่ง
เสียงเปิดประตูดังเอี๊ยดๆเบาๆ...
เตียงถูกเข็นเข้าไป
ผมลืมตาขึ้นมอง ร่างกายสัมผัสอากาศที่เย็นจนหนาว นี่หรือ ห้อง ไอ ซี ยู กวาดสายตาไปรอบๆ คนเข็นรถ เข็นเข้าไปยังประตูห้องหนึ่ง ด้านหน้าห้องมีเคาน์เตอร์ตั้งอยู่ พยาบาลชุดขาวหน้าแก่ๆอายุราวคุณป้าคุณยาย นั่งถักไหมพรมอยู่เงียบๆ คนเข็นรถ ละจากรถเข็นเดินเข้าไปหาพยาบาลหน้าแก่ ยื่นแฟ้มหนังสือให้ หล่อนเงยหน้ามองมายังเตียงที่ผมนอนอยู่ สายตาเย็นชาไม่ตื่นเต้นอะไร คงชินกับเหตุการณ์ความเป็นความตาย ซึ่งมีให้เห็นทุกเมื่อเชื่อวัน จากนั้นหล่อนเดินมาเปิดประตูห้องเพื่อให้รถเข็นเข้าไปด้านใน
รถเข็นไปจอดเทียบที่เตียงหนึ่งด้านริมห้อง จากนั้นทั้งสองคน คนหนึ่งไปที่ปลายเท้าผม อีกคนไปที่ด้านหัว ทั้งสองเอามือขยำผ้าปูเตียงแล้วยกขึ้นพร้อมกัน โดยตัวผมอยู่บนผ้า พวกเขายกด้วยความชำนาญ จนวางตัวผมที่เตียงเหล็กเรียบร้อย นี่คงเป็นเตียงริม ผมจำคำพูดจากพยาบาลคนแรกที่สั่งกับคนเข็นเตียง
ขณะที่สองสองกำลังกลับออกไป หูผมได้ยินพยาบาลแก่พูดกับคนเข็นรถเป็นเชิงบ่น...
“คงไปเที่ยวผู้หญิงหากิน จนโรคหัวใจกำเริบ น่าจะตายคาอกไปเลย แก่จะเข้าโรงอยู่แล้วยังหมกมุ่น”
อ้าว เฮ้ย ! ผมนึกในใจ พูดอย่างนี้ได้ไง แต่ผมก็หุบปาก เพราะที่หล่อนพูดมีเหตุผล มีผู้เสียชีวิตจากโรคคาอก หลายรายที่เดียว อีกอย่างผมยังต้องอยู่กับหล่อน หากทำโมโหถกเถียงไป เดี๋ยวเกิดหล่อนมีน้ำโหขึ้นมา อาจจะเอาอะไรมาอุดปากผมก็เป็นได้
สักพักหล่อนเดินเขามา เอาสายอะไรต่อมิอะไร มาใส่ให้ ตรงจมูก และมีอะไรมาหนีบที่นิ้วชี้ ตรงหน้าอก มีบางสิ่งหลายอัน มากดที่หน้าอก จนติดคาอยู่ หล่อนทำด้วยความชำนาญ ใช้เวลาไม่นานก็เรียบร้อย ตลอดเวลาหล่อนไม่ปริปากพูดอะไรเลย คงเป็นเพราะผมไม่พูดและหลับตาตลอดเวลา แต่ผมคิดว่าอย่างน้อยหล่อนควร เอ่ยปาก ทักทายผมบ้าง แต่ก็ช่างเถอะ อาจเป็นเพราะหุ่นหล่อนไม่ค่อยเตะตาผมเท่าไหร่.....
หลังจากพยาบาลหน้าแก่ออกไปแล้ว ตอนนี้ร่างกายผมดีขึ้นมาก จนเหมือนว่าหายเป็นปกติ ไม่มีอาการเจ็บปวดใดๆมารบกวนเลย โรคหัวใจก็เป็นแบบนี้ คงเป็นเหมือนรถยนต์แบตเตอรี่หมด พอได้ไฟก็เครื่องติดไปต่อได้ เพราะไม่มีเชื้อไม่ติดเชื้อ มันเป็นความผิดปกติจากการทำงานของหัวใจ
นอนคิดอะไรเพลินๆ พลัน หูเสียงคนครางด้วยความเจ็บปวด จากเตียงด้านใน ..
พอหันไปมอง อุแม่เจ้า ! ผมอุทานด้วยความตกใจ สภาพคนไข้ตามเตียงต่างๆช่างน่า อดสูยิ่งนัก แต่ละคนอยู่ในสภาพน่าเวทนา โดยเฉพาะเจ้าของเสียงที่ครางออกมา เขาอยู่ห่างจากผมไม่มาก ที่หัวพันด้วยผ้าสีขาว แขนสองข้างมีเฝือกหุ้มอยู่ หน้าตาบวมปูดจนจำเค้าเดิมไม่ได้ ...
เสียงเขาร้องดังขึ้นอีก จนมีพยาบาลเข้ามาดู
“ตามหมอเร็ว” เสียงพยาบาลคนหนึ่งดังขึ้น..
มีเสียงคนหลายคนเข้ามาในห้อง รอบเตียงของเขามีการเอาผ้าม่านมาปิดล้อมไว้ พยาบาลและหมอเดินเข้าออกหลายเที่ยว
การได้เข้ามาอยู่ในห้อง ไอ ซี ยู เป็นครั้งแรกในชีวิต ผมคิดว่าห้องนี้เหมือนแดนนรก ทุกคนเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน บางคนหลับบางคนครางบางคนเอะอะโวยวายเป็นพักๆ กว่าครึ่งในห้องนี้เหมือนนอนรอความตาย ผมคิดว่าคนที่ป่วยไข้หรือจะต้องตาย น่าจะตายไปทันทีหรือหลับตายไปเลยดีกว่า ดีกว่ามานอนทรมานแบบนี้ เคยดูสารคดีเกี่ยวกับชีวิตสัตว์ ฝูงสิงโตวิ่งล่าควายป่า พอตะครุบได้ บางตัวกัดที่คอบางตัวกัดที่หลัง พอควายล้มลง พวกที่อยู่ด้านหลังเริ่มกัดกินเนื้อควาย ใช้ลิ้นเลียเลือดสดๆ ที่ไหลออกมาจากบาดแผล ยังใช้เขี้ยวกระชากเนื้อควายออกมากิน คนถ่ายเจ้ากรรมดันถ่ายบริเวณใบหน้าควาย ควายยังไม่ตาย ตายังลืมยังมีเสียงครางอีกด้วย พวกกัดกินก็กัดกินกันไปอร่อยปาก ยังไม่รู้ว่าควายจะสิ้นใจตอนไหน มันคงเจ็บปวดทรมานจนกว่าจะตาย
คงเหมือนโรคบางชนิด เมื่อคนเป็นแล้ว เหมือนควายที่สิงโตจับได้ เชื้อโรคจะค่อยๆกัดกินไป จนตายในที่สุด ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานคงไม่ต้องพูดถึง...
โรคภัยไข้เจ็บสาเหตุมาจากตัวเราเองทั้งนั้น ใช้ชีวิตไม่เป็น กินไม่เลือก ประมาท คึกคะนอง ดื้อรั้น กว่าจะรู้ตัวว่าพลาดพลั้ง ก็ต่อเมื่อได้รับผลกระทบ จนแก้ไขไม่ได้แล้ว ดาราผู้มีชื่อเสียงบางคน ตอนไม่เป็นอะไร สวย หล่อ แต่เมื่อประสบเคราะห์ไม่ว่าเป็นอุบัติเหตุหรือป่วยไข้โรคร้ายแรง สภาพหน้าตาร่างกาย จำเค้าเดิมแทบไม่ได้ ..
“คนไข้ตายแล้ว”
เสียงใครคนหนึ่งพูดทำให้ผมตื่นจากภวังค์
“ถ้าไม่ตายก็ไม่ใช่คนแล้ว โดนซะยับเยินแบบนั้น ตับแตก ม้ามก็แตก อยู่มาได้เป็นวัน ทนเป็นแรดจริงๆ”
เสียงคนคุยกัน
ความตายเป็นเรื่องธรรมชาติจริงๆๆ
***************************************
เวลานี้คงเลยเที่ยงคืนไปหลายชั่วโมง ผมหลับตาและหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย...
“ช่วยด้วยๆๆๆผีหลอกๆๆๆๆว๊ายๆๆๆๆๆ ฮือๆๆๆ”
เสียงดังลั่นจนผมต้องขยับตัวลุกขึ้น มองเห็น ผู้หญิงคนหนึ่ง ในชุดคนไข้ ที่แขนยังมีสายน้ำเกลือ บนหัวมีผ้าพันแผลโพกหัวอยู่ หล่อนวิ่งปุเลงๆๆพร้อมตะโกนคำเดิมๆๆ
ตามองไปที่นาฬิกาบริเวณฝาห้องด้วยความเคยชิน เข็มบ่งชี้ว่า เป็นเวลา ตีสอง
“ผีที่ไหน วะ” พูดกับตัวเองเบาๆ..
มีพยาบาลหน้าแก่คนเดิม เดินเข้ามา หล่อนถือธูปที่จุดแล้ว 1 ดอกเข้ามาด้วย
“ลุง ๆตายไปแล้วอย่ามารบกวนคนอื่นเลย สงสารคนไข้บ้าง และลุงทำไมต้องมาตอนหนูอยู่เวรด้วยนะ เวลาเดิมทุกที” เสียงพยาบาลหน้าแก่บ่นดังๆๆพร้อมเอาธูปไปปักที่แก้วตรงหัวเตียง ที่แก้วมีก้านธูปเก่าปักอยู่หลายอัน มีพวงมาลัยด้วย
ที่สำคัญแกเดินผ่านตัวผมไป โดยที่ผมไม่รู้สึกว่ามีการสัมผัสกับตัวแกเลย...
เตียงผี
ราสส์ กิโลหก
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะรู้สึกปวดร้าวบริเวณหน้าอก หลังจากนอนหลับสนิทมาตั้งแต่หัวค่ำ คงเป็นสาเหตุจากโรคเก่าที่กำเริบขึ้นมา อาการมันเจ็บจี๊ดที่หน้าอก จนหายใจไม่สะดวก มันเหมือนมีใครเอาเท้ามาเหยียบตรงหน้าอก เอาภูเขาทั้งลูกยัดเข้าไปด้วย จุกเสียด อึดอัดจนใจจะขาด เรี่ยวแรงหดหายไปแขนและขาใช้งานได้น้อยกว่าเดิม หยิบนาฬิกาที่หัวเตียงมาดูเวลา เกือบตีหนึ่ง ทำไงดี ผมอยู่คนเดียว ไม่มีทางอื่นนอกจากโทรเรียกรถฉุกเฉิน คว้าโทรศัพท์กดเบอร์ฉุกเฉินของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง...บอกตำแหน่งของบ้านให้ใกล้เคียงที่สุด
พยายามลุกขึ้นเดินไปที่ประตูหน้าบ้านเปิดประตูด้วยความยากลำบาก เหยียดตัวนอนที่หน้าประตูเพราะ เพื่อต้องการให้รถพยาบาลได้แลเห็น นอนได้แล้วแต่อาการยังไม่ดีขึ้น ยิ่งหนักขึ้นกว่าเดิมจนทำอะไรไม่ถูก มองดูอะไรดูก็ไม่ชัด ตาลายท้องใส้ปั่นป่วน สิ่งที่อยู่ในกระเพาะ กำลังจะดันออกมาทางปาก ก่อนสติจะดับวูบไป..
“คนไข้รายนี้ หัวใจเต้นเร็วมาก เกือบสองร้อย คุณฉีดยา..............ให้คนไข้ทางเส้นเลือด หัวใจจะได้เต้นช้าลง....”
“ค่ะๆๆๆหมอ” เสียงของผู้หญิงรับคำ
“อาการยังต้องเฝ้าระวัง เพราะหัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจหัวใจวายเมื่อไหร่ก็ได้ ส่งไปห้อง ไอ ซี ยู นะ”
“ค่ะๆๆๆ หมอ “ เสียงรับคำเหมือนเดิม
ผมฟื้นขึ้นมา นี่ผมคงมาถึงโรงพยาบาลแล้วซินะ ได้ยินเสียงคนพูดกัน คงเป็นหมอกับพยาบาล บรรยากาศรอบตัวเงียบมากไม่มีสรรพเสียงอื่นๆเลย จึงได้ยินเสียงคุยกันได้ชัดเจน
สักพักมีคนมาขยับที่แขนตรงข้อพับ และรู้สึกเจ็บจี๊ดๆที่ข้อพับ พยาบาลมาฉีดยาให้นั่นเอง หลังฉีดยาไปไม่นาน ผมรู้สึกตัวชาไปทั้งตัวเหมือนร่างกายตกลงมาจากที่สูง หัวใจที่เต้นโครมครามจนอกแทบแตก บัดนี้ ค่อยดีขึ้นกว่าเดิมมาจากฤทธิ์ของยา แต่อาการเพลียยังคงอยู่เพราะร่างกายมันร้าวเจ็บระบมมานาน เหมือนรอการปรับตัว มันเหมือนยกภูเขาออกจากอกจริงๆๆ
พยาบาลพูดว่า
“ อนันต์ เข็นคนไข้ไปห้อง ไอ ซี ยู เตียงริมนะ พี่แจ้งห้องไอ ซี ยู ไว้แล้ว”
“ครับ พี่” คนเข็นเตียงรับคำ
แสดงว่าผมนอนอยู่บนเตียงรถเข็น ตายังหลับ แต่รู้สึกได้ว่า รถเข็นมีการเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ คนเข็นรถ ฮัมเพลงเบาๆ ดูเขามีความสุขกับงานที่ทำ ผมเดาๆเอาว่าขณะนี้คงดึกมาก เพราะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ในโรงพยาบาลคงต้องการความเงียบเพื่อสุขภาพของคนไข้ เสียงรองเท้าคนเข็นเตียงดังกังวานในความเงียบ รถเข็นเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาวิ่งหลายเลี้ยว จนไม่นานรถก็หยุดนิ่งลง ในที่แห่งหนึ่ง
เสียงเปิดประตูดังเอี๊ยดๆเบาๆ...
เตียงถูกเข็นเข้าไป
ผมลืมตาขึ้นมอง ร่างกายสัมผัสอากาศที่เย็นจนหนาว นี่หรือ ห้อง ไอ ซี ยู กวาดสายตาไปรอบๆ คนเข็นรถ เข็นเข้าไปยังประตูห้องหนึ่ง ด้านหน้าห้องมีเคาน์เตอร์ตั้งอยู่ พยาบาลชุดขาวหน้าแก่ๆอายุราวคุณป้าคุณยาย นั่งถักไหมพรมอยู่เงียบๆ คนเข็นรถ ละจากรถเข็นเดินเข้าไปหาพยาบาลหน้าแก่ ยื่นแฟ้มหนังสือให้ หล่อนเงยหน้ามองมายังเตียงที่ผมนอนอยู่ สายตาเย็นชาไม่ตื่นเต้นอะไร คงชินกับเหตุการณ์ความเป็นความตาย ซึ่งมีให้เห็นทุกเมื่อเชื่อวัน จากนั้นหล่อนเดินมาเปิดประตูห้องเพื่อให้รถเข็นเข้าไปด้านใน
รถเข็นไปจอดเทียบที่เตียงหนึ่งด้านริมห้อง จากนั้นทั้งสองคน คนหนึ่งไปที่ปลายเท้าผม อีกคนไปที่ด้านหัว ทั้งสองเอามือขยำผ้าปูเตียงแล้วยกขึ้นพร้อมกัน โดยตัวผมอยู่บนผ้า พวกเขายกด้วยความชำนาญ จนวางตัวผมที่เตียงเหล็กเรียบร้อย นี่คงเป็นเตียงริม ผมจำคำพูดจากพยาบาลคนแรกที่สั่งกับคนเข็นเตียง
ขณะที่สองสองกำลังกลับออกไป หูผมได้ยินพยาบาลแก่พูดกับคนเข็นรถเป็นเชิงบ่น...
“คงไปเที่ยวผู้หญิงหากิน จนโรคหัวใจกำเริบ น่าจะตายคาอกไปเลย แก่จะเข้าโรงอยู่แล้วยังหมกมุ่น”
อ้าว เฮ้ย ! ผมนึกในใจ พูดอย่างนี้ได้ไง แต่ผมก็หุบปาก เพราะที่หล่อนพูดมีเหตุผล มีผู้เสียชีวิตจากโรคคาอก หลายรายที่เดียว อีกอย่างผมยังต้องอยู่กับหล่อน หากทำโมโหถกเถียงไป เดี๋ยวเกิดหล่อนมีน้ำโหขึ้นมา อาจจะเอาอะไรมาอุดปากผมก็เป็นได้
สักพักหล่อนเดินเขามา เอาสายอะไรต่อมิอะไร มาใส่ให้ ตรงจมูก และมีอะไรมาหนีบที่นิ้วชี้ ตรงหน้าอก มีบางสิ่งหลายอัน มากดที่หน้าอก จนติดคาอยู่ หล่อนทำด้วยความชำนาญ ใช้เวลาไม่นานก็เรียบร้อย ตลอดเวลาหล่อนไม่ปริปากพูดอะไรเลย คงเป็นเพราะผมไม่พูดและหลับตาตลอดเวลา แต่ผมคิดว่าอย่างน้อยหล่อนควร เอ่ยปาก ทักทายผมบ้าง แต่ก็ช่างเถอะ อาจเป็นเพราะหุ่นหล่อนไม่ค่อยเตะตาผมเท่าไหร่.....
หลังจากพยาบาลหน้าแก่ออกไปแล้ว ตอนนี้ร่างกายผมดีขึ้นมาก จนเหมือนว่าหายเป็นปกติ ไม่มีอาการเจ็บปวดใดๆมารบกวนเลย โรคหัวใจก็เป็นแบบนี้ คงเป็นเหมือนรถยนต์แบตเตอรี่หมด พอได้ไฟก็เครื่องติดไปต่อได้ เพราะไม่มีเชื้อไม่ติดเชื้อ มันเป็นความผิดปกติจากการทำงานของหัวใจ
นอนคิดอะไรเพลินๆ พลัน หูเสียงคนครางด้วยความเจ็บปวด จากเตียงด้านใน ..
พอหันไปมอง อุแม่เจ้า ! ผมอุทานด้วยความตกใจ สภาพคนไข้ตามเตียงต่างๆช่างน่า อดสูยิ่งนัก แต่ละคนอยู่ในสภาพน่าเวทนา โดยเฉพาะเจ้าของเสียงที่ครางออกมา เขาอยู่ห่างจากผมไม่มาก ที่หัวพันด้วยผ้าสีขาว แขนสองข้างมีเฝือกหุ้มอยู่ หน้าตาบวมปูดจนจำเค้าเดิมไม่ได้ ...
เสียงเขาร้องดังขึ้นอีก จนมีพยาบาลเข้ามาดู
“ตามหมอเร็ว” เสียงพยาบาลคนหนึ่งดังขึ้น..
มีเสียงคนหลายคนเข้ามาในห้อง รอบเตียงของเขามีการเอาผ้าม่านมาปิดล้อมไว้ พยาบาลและหมอเดินเข้าออกหลายเที่ยว
การได้เข้ามาอยู่ในห้อง ไอ ซี ยู เป็นครั้งแรกในชีวิต ผมคิดว่าห้องนี้เหมือนแดนนรก ทุกคนเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน บางคนหลับบางคนครางบางคนเอะอะโวยวายเป็นพักๆ กว่าครึ่งในห้องนี้เหมือนนอนรอความตาย ผมคิดว่าคนที่ป่วยไข้หรือจะต้องตาย น่าจะตายไปทันทีหรือหลับตายไปเลยดีกว่า ดีกว่ามานอนทรมานแบบนี้ เคยดูสารคดีเกี่ยวกับชีวิตสัตว์ ฝูงสิงโตวิ่งล่าควายป่า พอตะครุบได้ บางตัวกัดที่คอบางตัวกัดที่หลัง พอควายล้มลง พวกที่อยู่ด้านหลังเริ่มกัดกินเนื้อควาย ใช้ลิ้นเลียเลือดสดๆ ที่ไหลออกมาจากบาดแผล ยังใช้เขี้ยวกระชากเนื้อควายออกมากิน คนถ่ายเจ้ากรรมดันถ่ายบริเวณใบหน้าควาย ควายยังไม่ตาย ตายังลืมยังมีเสียงครางอีกด้วย พวกกัดกินก็กัดกินกันไปอร่อยปาก ยังไม่รู้ว่าควายจะสิ้นใจตอนไหน มันคงเจ็บปวดทรมานจนกว่าจะตาย
คงเหมือนโรคบางชนิด เมื่อคนเป็นแล้ว เหมือนควายที่สิงโตจับได้ เชื้อโรคจะค่อยๆกัดกินไป จนตายในที่สุด ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานคงไม่ต้องพูดถึง...
โรคภัยไข้เจ็บสาเหตุมาจากตัวเราเองทั้งนั้น ใช้ชีวิตไม่เป็น กินไม่เลือก ประมาท คึกคะนอง ดื้อรั้น กว่าจะรู้ตัวว่าพลาดพลั้ง ก็ต่อเมื่อได้รับผลกระทบ จนแก้ไขไม่ได้แล้ว ดาราผู้มีชื่อเสียงบางคน ตอนไม่เป็นอะไร สวย หล่อ แต่เมื่อประสบเคราะห์ไม่ว่าเป็นอุบัติเหตุหรือป่วยไข้โรคร้ายแรง สภาพหน้าตาร่างกาย จำเค้าเดิมแทบไม่ได้ ..
“คนไข้ตายแล้ว”
เสียงใครคนหนึ่งพูดทำให้ผมตื่นจากภวังค์
“ถ้าไม่ตายก็ไม่ใช่คนแล้ว โดนซะยับเยินแบบนั้น ตับแตก ม้ามก็แตก อยู่มาได้เป็นวัน ทนเป็นแรดจริงๆ”
เสียงคนคุยกัน
ความตายเป็นเรื่องธรรมชาติจริงๆๆ
***************************************
เวลานี้คงเลยเที่ยงคืนไปหลายชั่วโมง ผมหลับตาและหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย...
“ช่วยด้วยๆๆๆผีหลอกๆๆๆๆว๊ายๆๆๆๆๆ ฮือๆๆๆ”
เสียงดังลั่นจนผมต้องขยับตัวลุกขึ้น มองเห็น ผู้หญิงคนหนึ่ง ในชุดคนไข้ ที่แขนยังมีสายน้ำเกลือ บนหัวมีผ้าพันแผลโพกหัวอยู่ หล่อนวิ่งปุเลงๆๆพร้อมตะโกนคำเดิมๆๆ
ตามองไปที่นาฬิกาบริเวณฝาห้องด้วยความเคยชิน เข็มบ่งชี้ว่า เป็นเวลา ตีสอง
“ผีที่ไหน วะ” พูดกับตัวเองเบาๆ..
มีพยาบาลหน้าแก่คนเดิม เดินเข้ามา หล่อนถือธูปที่จุดแล้ว 1 ดอกเข้ามาด้วย
“ลุง ๆตายไปแล้วอย่ามารบกวนคนอื่นเลย สงสารคนไข้บ้าง และลุงทำไมต้องมาตอนหนูอยู่เวรด้วยนะ เวลาเดิมทุกที” เสียงพยาบาลหน้าแก่บ่นดังๆๆพร้อมเอาธูปไปปักที่แก้วตรงหัวเตียง ที่แก้วมีก้านธูปเก่าปักอยู่หลายอัน มีพวงมาลัยด้วย
ที่สำคัญแกเดินผ่านตัวผมไป โดยที่ผมไม่รู้สึกว่ามีการสัมผัสกับตัวแกเลย...