Infernal Affairs สองคนสองคม (2002) (★★★1/2)
เอามาดูกี่ครั้งกี่หนก็สัมผัสได้เสมอ ถึงการแสดงเข้มๆ กับเนื้อเรื่องข้นๆ ^_^
มันเป็นหนังที่อุดมไปด้วยของดีตลอดทั้งเรื่องน่ะครับ ทุกฉากต้องมีของดี ไม่การแสดงก็เนื้อเรื่อง ไม่เนื้อเรื่องก็อารมณ์ ไม่อารมณ์ก็การเฉือนคม ไม่การเฉือนคมก็การหักมุม
ความที่หนังยาวแค่ 100 นาทีทำให้จังหวะของหนังมันพอเหมาะ การเดินเรื่องไม่ได้เร่งจนเกินไป แต่ก็ไม่มีช่วงไหนที่เรียกว่าอืดเลยครับ มันเป็นอะไรที่พอดีมากๆ
ยอมรับว่าสำหรับผมแล้ว ความรู้สึกที่มีต่อหนังแนวเจ้าพ่อ แนวตำรวจ หรือแนวแก๊งสเตอร์ของฮ่องกงส่วนใหญ่ จะรู้สึกว่ามันหนักมือเกินจนหนังไม่สมดุล บางเรื่องหนักความโหด บางเรื่องหนักความรุนแรง บางเรื่องก็เด่นเพียงการแสดงแต่เนื้อหาเบาหวิว หรือบางเรื่องหนักนมไปเลยก็มี
แต่กับ Infernal Affairs นี่ทุกอย่างมันได้ที่ โหดเหมือนกัน (แต่ไม่เกินความจำเป็น) รุนแรงเหมือนกัน (แต่พอเหมาะกับทิศทางและคอนเซปต์) การแสดงก็ดีอย่างยิ่ง ส่วนเรื่องเรตๆ นมๆ ก็ไม่มีใส่เข้ามาให้หนังหลงทางเลย
ชอบหลายฉากมาก ที่แน่ๆ คือทุกฉากที่ตัวละครเฉือนคมแก้เกมกัน (ซึ่งก็เกือบทั้งเรื่อง) อย่างตอนสารวัตรหว่อง (หวงซิวเซิน) พยายามวางแผนจับแซม (เจิ้งจื่อเหว่ย) ในวันนัดหมายส่งสินค้า แต่ละนาทีประหนึ่งการเดินหมากที่หากใครพลาดก็อาจถึงตายได้ มันเลยอุดมด้วยความลุ้นและความน่าติดตามทุกอึดใจ
หลิวเต๋อหัว, เหลียงเฉาเหว่ย, หวงซิวเซิน และ เจิ้งจื่อเหว่ย แต่ละคนไม่มีใครยอมใครเลยครับ เล่นได้เต็มขีดสุดยอด แต่ที่น่าชื่นชมกว่าคือ แม้ทุกคนจะแสดงพลังแบบเต็มพิกัด แต่เป็นการแสดงพลังแบบเสริมซึ่งกันและกัน ไม่มีการแย่งความเด่นแต่อย่างใด
ไหนจะยังมีตู้เหวินเจ๋อที่แม้จะออกแนวบทสมทบ แต่ก็เป็นบทสมทบที่น่าจดจำ ฉากขับรถนี่พี่แกเล่นอารมณ์มาเต็มจริงๆ
ผลที่ได้มันเลยออกมาเป็นความสุดยอดอย่างที่เห็น เพราะนักแสดงก็เยี่ยม เนื้อเรื่องก็เข้มข้นเต็มไปด้วยชั้นเชิง
แง่เนื้อหาก็ถือว่าเด็ดครับ จริงที่โดยหลักมันคือเรื่องตำรวจจับผู้ร้ายแบบคลาสสิก แต่หนังทำออกมาในแบบที่ไม่ใช่สูตรสำเร็จธรรมะกับอธรรมแบบเดิมๆ
หนังถ่ายทอดให้เราเห็นโลกของตำรวจและมาเฟียอย่างที่มันเป็น คือมันมีทั้งด้านสวยและด้านหม่น อย่างโลกของตำรวจเองก็มีการแย่งผลงานหรือฉกฉวยโอกาสกันและกัน หาใช่มีแต่ความสัตย์ซื่อตรงไปตรงมา
หรือโลกของมาเฟียก็มีมุมแบบคนธรรมดาสามัญ ที่อยากใช้ชีวิตง่ายๆ อยากพูดเล่นคุยเล่นกับเพื่อนโดยไม่ต้องเอาปืนผาหน้าไม้มาถือในมือ
จะตำรวจหรือมาเฟียก็คือคน จะโลกไหนก็ล้วนเป็นโลกมนุษย์ด้วยกันทั้งนั้น มีดีมีเสีย มีด้านมืดด้านสว่างปนๆ กันทั้งนั้น
เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของหนังก็คือการนำเสนอแบบสมจริง จริงจัง แต่ไม่ได้จริงเกินจนล้น แล้วก็ไม่พยายามเล่นแสงสีจนเกินไป อารมณ์มันเลยกำลังดี กำลังเหมาะ เหมาะในทุกส่วนทีเดียว
สรุปง่ายๆ ว่าของเขาดีจริง ถึงเครื่องจริง คลาสสิกจริง
Infernal Affairs 2 ต้นฉบับสองคนสองคม (2003) (★★★)
เป็นภาคต่อที่หันไปจับเรื่องราวก่อนหน้าภาคแรกมาบอกเล่าครับ
ภาคนี้เราได้รู้ว่าเส้นทางการแฝงตัวไปเป็นสายของ เหยิน (หยูเหวินเล่อ) เป็นเช่นไร ซึ่งมันจะมีอะไรมากกว่าที่เรารู้ในภาคแรกครับ เช่นปูมหลังของครอบครัวเหยินที่มีความเกี่ยวพันกับมาเฟีย ในขณะที่เรื่องของ หมิง (เฉินกวานซี) ก็เล่าย้อนให้เรารู้ว่าก่อนเขาจะเป็นสายให้ แซม (เจิ้งจื่อเหว่ย) เขาเคยทำงานให้ใครมาก่อน
ภาคนี้อาจดร็อปลงจากภาคแรกบ้าง ซึ่งก็อาจเป็นในแง่ของการแสดง ที่คนปล่อยของหลักๆ คือเหล่าดารารุ่นใหญ่อย่างหวงซิวเซิน, เจิ้งจื่อเหว่ย, หลิวเจียหลิง (ภรรยาของแซม) และ อู๋เจิ้นหวี่ (อาเห่า ผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าพ่อ) โดยเฉพาะรายหลังนี่ถือว่าเล่นได้เข้มและน่าจดจำมาก
ในขณะที่ดาราตัวละครรุ่นเยาว์ ก็อาจไม่เด่นเท่าคราวก่อน ส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องบทด้วยครับ ที่โฟกัสไปที่โลกของมาเฟียช่วงยุค 90 ทำให้ความเด่นไปอยู่ที่เหล่าตำรวจและมาเฟียที่คอยขับเคี่ยวกันมากกว่า ส่วนหมิงกับเหยินตอนเป็นหนุ่มจะออกแนวบทสมทบที่คอยรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากกว่า
แต่ถ้าว่ากันในแง่เนื้อเรื่อง ก็ถือว่าเข้มเลยล่ะครับ ไม่รู้ผมรู้สึกไปคนเดียวไหม แต่ด้วยโทนหนัง เนื้อเรื่อง (ที่เน้นไปที่เรื่องของการดำเนินธุรกิจของมาเฟีย) อีกทั้งดนตรีประกอบ มันทำให้ผมนึกถึง The Godfather ขึ้นมาเลย
อารมณ์มันประมาณนั้นจริงๆ ครับ เรื่องการบริหารงานของตระกูลมาเฟีย การหักหลัง การวางแผนตลบหลังกัน หรือการกำจัดคู่แข่งหรือคนที่ทรยศ อารมณ์มันคุกรุ่นแบบเดียวกับ The Godfather จริงๆ แม้มันจะไม่เด็ดขนาดนั้น แต่ก็ถือว่าเด็ดมากเมื่อเทียบกับหนังแนวมาเฟียด้วยกัน ไม่ว่าจะของฮ่องกงหรืออเมริกาก็ตาม
โดยส่วนตัวผมชอบภาคนี้ครับ จุดที่ชอบมากคือได้เห็นพัฒนาการการไต่สู่อำนาจของแซม คือมันเป็นแบบฉบับคลาสสิกเลยนะ แซมเป็นเพียงนักเลงระดับรองๆ ที่ชะตานำพาไปสู่วังวนแห่งอำนาจ ยอมรับเลยว่าเฮียเจิ้งเล่นได้ยอดมากๆ ในหลายๆ ฉาก (โดยเฉพาะซีนท้ายๆ ตอนวันงานฮ่องกงคืนสู่จีนน่ะครับ)
และผมชอบความสัมพันธ์ระหว่างแซมกับสารวัตรหว่องที่เป็นมิตรแบบเส้นขนานต่อกันในภาคนี้ คือจริงๆ มีอะไรหลายอย่างเหมือนกัน แต่เพราะเส้นทางชีวิตที่ต่าง เลยมีจุดลงเอยที่ต่างกัน ดูแล้วก็อดสะเทือนใจไม่ได้
ปฏเิสธไม่ได้ครับว่ารายละเอียดบางอย่างในหนังภาคนี้ เราอาจรู้สึกขัดเล็กๆ เมื่อเอาไปโยงกับภาคแรก แต่โดยรวมแล้วถือว่าเป็นภาคต่อสไตล์ภาคก่อนหน้าที่ทำออกมาได้ดีไม่น้อยหน้าภาคแรก
Infernal Affairs 3 ปิดตำนานสองคนสองคม (2003) (★★1/2)
ภาคแรกถือว่ายอด ภาค 2 ก็ยังถือว่าเยี่ยม ในขณะที่ภาค 3 นี้ก็ถือว่าไม่เลวครับ เพียงแต่ดีกรีความเด็ดยังไม่เท่า 2 ภาคแรก
ว่าตามจริงภาคนี้ไม่ทำออกมาก็ได้ครับ เพราะดูแค่ภาค 1 และ 2 มันก็จบสมบูรณ์เต็มอิ่มไปแล้ว กระนั้นทำออกมาแล้วก็ขอตามดู ซึ่งภาคนี้เป็นทั้งภาคก่อนและภาคต่อครับ มีการดำเนินเหตุการณ์ก่อนภาคแรก และเหตุการณ์ต่อจากภาคแรกให้เราได้รับรู้กัน
ก็คงว่าไม่ยาวครับสำหรับภาคนี้ จริงๆ พล็อตน่าสนใจนะ ถือเป็นการต่อยอดจากเรื่องเดิมที่ไม่เลว แต่การเดินเรื่องยังไม่ลงตัวนัก อย่างบางจังหวะก็อืดช้าไปหน่อย อย่างเรื่องระหว่างหมิง (หลิวเต๋อหัว) กับคุณหมอสาว (เฉินฮุ่ยหลิน) ที่หลายช่วงช้ามากจนเหมือนหนังนิ่งไปเลย
ขณะที่จังหวะการทิ้งปมคลายปมก็อาจทำให้หลายคนงง บางอย่างช้า บางอย่างก็เร็วไป ทั้งที่จริงๆ เรื่องมันไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้นน่ะครับ แต่เหมือนหนังไม่มีทิศทางที่ชัดเจน ไม่เหมือนภาคแรกที่โฟกัสชัดเลยว่าเกี่ยวกับ 2 คนที่อยู่คนละขั้ว ภาคสองก็เน้นเรื่องโลกของเจ้าพ่อแบบเต็มที่
ในขณะที่ภาคนี้การเดินเรื่องค่อนข้างกระจาย จับทิศไม่ถูกนักระหว่างดู บางช่วงก็เหมือนจะเป็นหนังสืบสวน บางจังหวะก็เป็นดราม่า บางเวลาก็กลายเป็นโรแมนซ์ คือมันดูไม่เป็นเนื้อเดียวกันแบบภาคก่อนๆ ที่มีแกนหลักชัดๆ หนึ่งอย่าง จะดราม่าทริลเลอร์ก็ดราม่าทริลเลอร์ จะชีวิตเจ้าพ่อก็ชีวิตเจ้าพ่อ ในขณะที่เรื่องอื่นๆ (เช่นการสืบสวน, โรแมนซ์, แอ็กชัน) ถูกนำเสนอรองลงมา
ความกลมกล่อมภาคนี้เลยไม่มากครับ ทั้งๆ ที่จริงๆ พล็อตน่าสนใจ เพราะเราก็อยากรู้เหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วหมิงจะลงเอยอย่างไร และการมาของหยาง (หลี่หมิง) ก็ถือเป็นไพ่อีกใบที่ดูลึกลับ ชวนให้เราอยากรู้ว่าเขาจะมีส่วนกับบทสรุปในเรื่องราวอย่างไร แต่น่าเสียดายที่หนังไปไม่ถึงจุดกลมกล่อมครับ
จริงๆ บทของหลี่หมิงมีความน่าสนใจมาก แต่เหมือนตัวบทจะสื่อรายละเอียดของบทนี้ไม่ลงล็อคนัก เพราะพี่แกดูมีหลายเฉด จนไปๆ มาๆ คนดูเองก็ไม่สามารถเข้าใจบทนี้ได้แบบลึกซึ้ง ทั้งที่จริงๆ หากเล่าดีๆ ผมว่าบทนี้จะเป็นอีกหนึ่งคาแรคเตอร์ที่เด่นไม่แพ้ 2 ตัวเอกเลยทีเดียว
ในขณะที่เฉินเต้าหมิงก็ถือว่าโอเค อาจเพราะบทของเขาชัด มีเฉดเดียว ก่อนจะเฉลยปมให้ตอนท้าย เราเลยเข้าใจบทนี้ได้ง่ายหน่อย
ครับ ถือเป็นภาคที่มีข้อดีหลายประการ แต่ก็มีจุดอ่อนหลายประการเช่นกัน ทำให้หนังก้ำกึ่ง จัดว่าดีในระดับหนึ่ง อย่างน้อยดาราก็แท็กทีมกันมาช่วยทำให้หนังดูได้เรื่อยๆ แต่ยังถือว่าดีได้อีกครับ
ไปๆ มาๆ ฉากที่ผมชอบสุด คือฉากสุดท้ายของหนังครับ อย่างน้อยมันส่งอารมณ์เราต่อไปถึงเรื่องราวในภาคแรกได้อย่างยอดเยี่ยม
Cr.
https://web.facebook.com/10000tip/?fref=ts
[หมื่นทิพReview] Infernal Affairs ไตรภาค สองคนสองคม
Infernal Affairs สองคนสองคม (2002) (★★★1/2)
เอามาดูกี่ครั้งกี่หนก็สัมผัสได้เสมอ ถึงการแสดงเข้มๆ กับเนื้อเรื่องข้นๆ ^_^
มันเป็นหนังที่อุดมไปด้วยของดีตลอดทั้งเรื่องน่ะครับ ทุกฉากต้องมีของดี ไม่การแสดงก็เนื้อเรื่อง ไม่เนื้อเรื่องก็อารมณ์ ไม่อารมณ์ก็การเฉือนคม ไม่การเฉือนคมก็การหักมุม
ความที่หนังยาวแค่ 100 นาทีทำให้จังหวะของหนังมันพอเหมาะ การเดินเรื่องไม่ได้เร่งจนเกินไป แต่ก็ไม่มีช่วงไหนที่เรียกว่าอืดเลยครับ มันเป็นอะไรที่พอดีมากๆ
ยอมรับว่าสำหรับผมแล้ว ความรู้สึกที่มีต่อหนังแนวเจ้าพ่อ แนวตำรวจ หรือแนวแก๊งสเตอร์ของฮ่องกงส่วนใหญ่ จะรู้สึกว่ามันหนักมือเกินจนหนังไม่สมดุล บางเรื่องหนักความโหด บางเรื่องหนักความรุนแรง บางเรื่องก็เด่นเพียงการแสดงแต่เนื้อหาเบาหวิว หรือบางเรื่องหนักนมไปเลยก็มี
แต่กับ Infernal Affairs นี่ทุกอย่างมันได้ที่ โหดเหมือนกัน (แต่ไม่เกินความจำเป็น) รุนแรงเหมือนกัน (แต่พอเหมาะกับทิศทางและคอนเซปต์) การแสดงก็ดีอย่างยิ่ง ส่วนเรื่องเรตๆ นมๆ ก็ไม่มีใส่เข้ามาให้หนังหลงทางเลย
ชอบหลายฉากมาก ที่แน่ๆ คือทุกฉากที่ตัวละครเฉือนคมแก้เกมกัน (ซึ่งก็เกือบทั้งเรื่อง) อย่างตอนสารวัตรหว่อง (หวงซิวเซิน) พยายามวางแผนจับแซม (เจิ้งจื่อเหว่ย) ในวันนัดหมายส่งสินค้า แต่ละนาทีประหนึ่งการเดินหมากที่หากใครพลาดก็อาจถึงตายได้ มันเลยอุดมด้วยความลุ้นและความน่าติดตามทุกอึดใจ
หลิวเต๋อหัว, เหลียงเฉาเหว่ย, หวงซิวเซิน และ เจิ้งจื่อเหว่ย แต่ละคนไม่มีใครยอมใครเลยครับ เล่นได้เต็มขีดสุดยอด แต่ที่น่าชื่นชมกว่าคือ แม้ทุกคนจะแสดงพลังแบบเต็มพิกัด แต่เป็นการแสดงพลังแบบเสริมซึ่งกันและกัน ไม่มีการแย่งความเด่นแต่อย่างใด
ไหนจะยังมีตู้เหวินเจ๋อที่แม้จะออกแนวบทสมทบ แต่ก็เป็นบทสมทบที่น่าจดจำ ฉากขับรถนี่พี่แกเล่นอารมณ์มาเต็มจริงๆ
ผลที่ได้มันเลยออกมาเป็นความสุดยอดอย่างที่เห็น เพราะนักแสดงก็เยี่ยม เนื้อเรื่องก็เข้มข้นเต็มไปด้วยชั้นเชิง
แง่เนื้อหาก็ถือว่าเด็ดครับ จริงที่โดยหลักมันคือเรื่องตำรวจจับผู้ร้ายแบบคลาสสิก แต่หนังทำออกมาในแบบที่ไม่ใช่สูตรสำเร็จธรรมะกับอธรรมแบบเดิมๆ
หนังถ่ายทอดให้เราเห็นโลกของตำรวจและมาเฟียอย่างที่มันเป็น คือมันมีทั้งด้านสวยและด้านหม่น อย่างโลกของตำรวจเองก็มีการแย่งผลงานหรือฉกฉวยโอกาสกันและกัน หาใช่มีแต่ความสัตย์ซื่อตรงไปตรงมา
หรือโลกของมาเฟียก็มีมุมแบบคนธรรมดาสามัญ ที่อยากใช้ชีวิตง่ายๆ อยากพูดเล่นคุยเล่นกับเพื่อนโดยไม่ต้องเอาปืนผาหน้าไม้มาถือในมือ
จะตำรวจหรือมาเฟียก็คือคน จะโลกไหนก็ล้วนเป็นโลกมนุษย์ด้วยกันทั้งนั้น มีดีมีเสีย มีด้านมืดด้านสว่างปนๆ กันทั้งนั้น
เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของหนังก็คือการนำเสนอแบบสมจริง จริงจัง แต่ไม่ได้จริงเกินจนล้น แล้วก็ไม่พยายามเล่นแสงสีจนเกินไป อารมณ์มันเลยกำลังดี กำลังเหมาะ เหมาะในทุกส่วนทีเดียว
สรุปง่ายๆ ว่าของเขาดีจริง ถึงเครื่องจริง คลาสสิกจริง
Infernal Affairs 2 ต้นฉบับสองคนสองคม (2003) (★★★)
เป็นภาคต่อที่หันไปจับเรื่องราวก่อนหน้าภาคแรกมาบอกเล่าครับ
ภาคนี้เราได้รู้ว่าเส้นทางการแฝงตัวไปเป็นสายของ เหยิน (หยูเหวินเล่อ) เป็นเช่นไร ซึ่งมันจะมีอะไรมากกว่าที่เรารู้ในภาคแรกครับ เช่นปูมหลังของครอบครัวเหยินที่มีความเกี่ยวพันกับมาเฟีย ในขณะที่เรื่องของ หมิง (เฉินกวานซี) ก็เล่าย้อนให้เรารู้ว่าก่อนเขาจะเป็นสายให้ แซม (เจิ้งจื่อเหว่ย) เขาเคยทำงานให้ใครมาก่อน
ภาคนี้อาจดร็อปลงจากภาคแรกบ้าง ซึ่งก็อาจเป็นในแง่ของการแสดง ที่คนปล่อยของหลักๆ คือเหล่าดารารุ่นใหญ่อย่างหวงซิวเซิน, เจิ้งจื่อเหว่ย, หลิวเจียหลิง (ภรรยาของแซม) และ อู๋เจิ้นหวี่ (อาเห่า ผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าพ่อ) โดยเฉพาะรายหลังนี่ถือว่าเล่นได้เข้มและน่าจดจำมาก
ในขณะที่ดาราตัวละครรุ่นเยาว์ ก็อาจไม่เด่นเท่าคราวก่อน ส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องบทด้วยครับ ที่โฟกัสไปที่โลกของมาเฟียช่วงยุค 90 ทำให้ความเด่นไปอยู่ที่เหล่าตำรวจและมาเฟียที่คอยขับเคี่ยวกันมากกว่า ส่วนหมิงกับเหยินตอนเป็นหนุ่มจะออกแนวบทสมทบที่คอยรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากกว่า
แต่ถ้าว่ากันในแง่เนื้อเรื่อง ก็ถือว่าเข้มเลยล่ะครับ ไม่รู้ผมรู้สึกไปคนเดียวไหม แต่ด้วยโทนหนัง เนื้อเรื่อง (ที่เน้นไปที่เรื่องของการดำเนินธุรกิจของมาเฟีย) อีกทั้งดนตรีประกอบ มันทำให้ผมนึกถึง The Godfather ขึ้นมาเลย
อารมณ์มันประมาณนั้นจริงๆ ครับ เรื่องการบริหารงานของตระกูลมาเฟีย การหักหลัง การวางแผนตลบหลังกัน หรือการกำจัดคู่แข่งหรือคนที่ทรยศ อารมณ์มันคุกรุ่นแบบเดียวกับ The Godfather จริงๆ แม้มันจะไม่เด็ดขนาดนั้น แต่ก็ถือว่าเด็ดมากเมื่อเทียบกับหนังแนวมาเฟียด้วยกัน ไม่ว่าจะของฮ่องกงหรืออเมริกาก็ตาม
โดยส่วนตัวผมชอบภาคนี้ครับ จุดที่ชอบมากคือได้เห็นพัฒนาการการไต่สู่อำนาจของแซม คือมันเป็นแบบฉบับคลาสสิกเลยนะ แซมเป็นเพียงนักเลงระดับรองๆ ที่ชะตานำพาไปสู่วังวนแห่งอำนาจ ยอมรับเลยว่าเฮียเจิ้งเล่นได้ยอดมากๆ ในหลายๆ ฉาก (โดยเฉพาะซีนท้ายๆ ตอนวันงานฮ่องกงคืนสู่จีนน่ะครับ)
และผมชอบความสัมพันธ์ระหว่างแซมกับสารวัตรหว่องที่เป็นมิตรแบบเส้นขนานต่อกันในภาคนี้ คือจริงๆ มีอะไรหลายอย่างเหมือนกัน แต่เพราะเส้นทางชีวิตที่ต่าง เลยมีจุดลงเอยที่ต่างกัน ดูแล้วก็อดสะเทือนใจไม่ได้
ปฏเิสธไม่ได้ครับว่ารายละเอียดบางอย่างในหนังภาคนี้ เราอาจรู้สึกขัดเล็กๆ เมื่อเอาไปโยงกับภาคแรก แต่โดยรวมแล้วถือว่าเป็นภาคต่อสไตล์ภาคก่อนหน้าที่ทำออกมาได้ดีไม่น้อยหน้าภาคแรก
Infernal Affairs 3 ปิดตำนานสองคนสองคม (2003) (★★1/2)
ภาคแรกถือว่ายอด ภาค 2 ก็ยังถือว่าเยี่ยม ในขณะที่ภาค 3 นี้ก็ถือว่าไม่เลวครับ เพียงแต่ดีกรีความเด็ดยังไม่เท่า 2 ภาคแรก
ว่าตามจริงภาคนี้ไม่ทำออกมาก็ได้ครับ เพราะดูแค่ภาค 1 และ 2 มันก็จบสมบูรณ์เต็มอิ่มไปแล้ว กระนั้นทำออกมาแล้วก็ขอตามดู ซึ่งภาคนี้เป็นทั้งภาคก่อนและภาคต่อครับ มีการดำเนินเหตุการณ์ก่อนภาคแรก และเหตุการณ์ต่อจากภาคแรกให้เราได้รับรู้กัน
ก็คงว่าไม่ยาวครับสำหรับภาคนี้ จริงๆ พล็อตน่าสนใจนะ ถือเป็นการต่อยอดจากเรื่องเดิมที่ไม่เลว แต่การเดินเรื่องยังไม่ลงตัวนัก อย่างบางจังหวะก็อืดช้าไปหน่อย อย่างเรื่องระหว่างหมิง (หลิวเต๋อหัว) กับคุณหมอสาว (เฉินฮุ่ยหลิน) ที่หลายช่วงช้ามากจนเหมือนหนังนิ่งไปเลย
ขณะที่จังหวะการทิ้งปมคลายปมก็อาจทำให้หลายคนงง บางอย่างช้า บางอย่างก็เร็วไป ทั้งที่จริงๆ เรื่องมันไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้นน่ะครับ แต่เหมือนหนังไม่มีทิศทางที่ชัดเจน ไม่เหมือนภาคแรกที่โฟกัสชัดเลยว่าเกี่ยวกับ 2 คนที่อยู่คนละขั้ว ภาคสองก็เน้นเรื่องโลกของเจ้าพ่อแบบเต็มที่
ในขณะที่ภาคนี้การเดินเรื่องค่อนข้างกระจาย จับทิศไม่ถูกนักระหว่างดู บางช่วงก็เหมือนจะเป็นหนังสืบสวน บางจังหวะก็เป็นดราม่า บางเวลาก็กลายเป็นโรแมนซ์ คือมันดูไม่เป็นเนื้อเดียวกันแบบภาคก่อนๆ ที่มีแกนหลักชัดๆ หนึ่งอย่าง จะดราม่าทริลเลอร์ก็ดราม่าทริลเลอร์ จะชีวิตเจ้าพ่อก็ชีวิตเจ้าพ่อ ในขณะที่เรื่องอื่นๆ (เช่นการสืบสวน, โรแมนซ์, แอ็กชัน) ถูกนำเสนอรองลงมา
ความกลมกล่อมภาคนี้เลยไม่มากครับ ทั้งๆ ที่จริงๆ พล็อตน่าสนใจ เพราะเราก็อยากรู้เหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วหมิงจะลงเอยอย่างไร และการมาของหยาง (หลี่หมิง) ก็ถือเป็นไพ่อีกใบที่ดูลึกลับ ชวนให้เราอยากรู้ว่าเขาจะมีส่วนกับบทสรุปในเรื่องราวอย่างไร แต่น่าเสียดายที่หนังไปไม่ถึงจุดกลมกล่อมครับ
จริงๆ บทของหลี่หมิงมีความน่าสนใจมาก แต่เหมือนตัวบทจะสื่อรายละเอียดของบทนี้ไม่ลงล็อคนัก เพราะพี่แกดูมีหลายเฉด จนไปๆ มาๆ คนดูเองก็ไม่สามารถเข้าใจบทนี้ได้แบบลึกซึ้ง ทั้งที่จริงๆ หากเล่าดีๆ ผมว่าบทนี้จะเป็นอีกหนึ่งคาแรคเตอร์ที่เด่นไม่แพ้ 2 ตัวเอกเลยทีเดียว
ในขณะที่เฉินเต้าหมิงก็ถือว่าโอเค อาจเพราะบทของเขาชัด มีเฉดเดียว ก่อนจะเฉลยปมให้ตอนท้าย เราเลยเข้าใจบทนี้ได้ง่ายหน่อย
ครับ ถือเป็นภาคที่มีข้อดีหลายประการ แต่ก็มีจุดอ่อนหลายประการเช่นกัน ทำให้หนังก้ำกึ่ง จัดว่าดีในระดับหนึ่ง อย่างน้อยดาราก็แท็กทีมกันมาช่วยทำให้หนังดูได้เรื่อยๆ แต่ยังถือว่าดีได้อีกครับ
ไปๆ มาๆ ฉากที่ผมชอบสุด คือฉากสุดท้ายของหนังครับ อย่างน้อยมันส่งอารมณ์เราต่อไปถึงเรื่องราวในภาคแรกได้อย่างยอดเยี่ยม
Cr.https://web.facebook.com/10000tip/?fref=ts