สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
โลกเรา ณ ปัจจุบัน ถูกมรดกทางความคิดแบวิกตอเรียน เข้าครอบงำ จนแยกแทบจะไม่ออกว่าไปรับอิทธิพลมาจากไหน
น้ำหอม มันคือแฟชั่นสำหรับชนชั้นสูง ตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ ตกทอดและพัฒนาได้มากขึ้นหลังจากที่ทางตะวันตก ได้มีการติดต่อกับตะวันออกมากขึ้นตั้งแต่ยุคกลาง จนมาถึงศตวรรษที่ 17
บุรุษ ใส่กระโปรง ใส่ต้มหู ผลัดแป้ง ใส่วิก เป็นเรื่องปกติมาก ในยุค 300-400 ปีก่อน
น้ำหอมก็เช่นกัน ไม่มีการแบ่งเพศ
แต่ในโลกยุคปัจจบันศตวรรษที่ 20-21 การตลาดพัฒนาสินค้าให้ซับซ้อนและแบ่งย่อย เพื่อเพิ่มจุดขาย การแยกทวิลักษณ์แบบชาย-หญิง ซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาจากยุควิกตอเรียน ปลายศตวรรษที่ 19 เพื่อให้ควบคุมคนง่าย โดยให้มีคู่ต่างเพียงสอง หรือ คู่แย้งคู่ตรงข้าม ( binary opposition)
สิ่งนี้ทำให้มนุษย์มีอิสระน้อยลง ถูกตีกรอบมากขึ้น ทำอะไรๆๆๆๆๆ ตามแพ็ตเทิร์นแห่งเพศ (gender-orientated) ทำให้ แฟชั่นก็ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดนีไปด้วย ผู้ชาย ไม่กล้าใส่กระโปรง (แล้วผ้าถุง มันคือกระโปรงไหม สะโร่ง คือกระโปรงไหม) ตุ้มหู ก็เอากลับมาใส่ แต่ต้องเลือกลายและสีให้เรียบ เดี่ยวจะโดนหาว่าตุ้งติ้ง เสื้อผ้าก็มักไม่ค่อยเน้นสีฉูดฉาด
น้ำหอมแนว woody, spicy, green จึงกลายเป็นเทร็นด์น้ำหอมบุรุษ ส่วนแนว floral, gourmand, balmy ก็กลายเป็นน้ำหอมโทนสตรี
ทว่าหลังจากยุค 80 ที่ Calvin Klein ได้ทำลายกำแพงแห่งเพศ โดยรังสรรค์น้ำหอม CK One ขึ้นมาให้กลายเป็นโทน unisex หรือใช้ได้ทั้งสองเพศ
ก็มีน้ำหอมอีกหลายค่าย เดินตามแนวทางของดีไซเนอร์ชาวอเมริกัน ผู้นี้
ตัวเรา จมูกเรา บุคคลิกเา เป็นตัวตัดสินเองแหละว่า เราจะเป็นชาย หรือ หญิง ไม่ใช่น้ำหอม ที่ใช้ หรือเสื้อผ้าที่สวมใส่
น้ำหอม มันคือแฟชั่นสำหรับชนชั้นสูง ตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ ตกทอดและพัฒนาได้มากขึ้นหลังจากที่ทางตะวันตก ได้มีการติดต่อกับตะวันออกมากขึ้นตั้งแต่ยุคกลาง จนมาถึงศตวรรษที่ 17
บุรุษ ใส่กระโปรง ใส่ต้มหู ผลัดแป้ง ใส่วิก เป็นเรื่องปกติมาก ในยุค 300-400 ปีก่อน
น้ำหอมก็เช่นกัน ไม่มีการแบ่งเพศ
แต่ในโลกยุคปัจจบันศตวรรษที่ 20-21 การตลาดพัฒนาสินค้าให้ซับซ้อนและแบ่งย่อย เพื่อเพิ่มจุดขาย การแยกทวิลักษณ์แบบชาย-หญิง ซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาจากยุควิกตอเรียน ปลายศตวรรษที่ 19 เพื่อให้ควบคุมคนง่าย โดยให้มีคู่ต่างเพียงสอง หรือ คู่แย้งคู่ตรงข้าม ( binary opposition)
สิ่งนี้ทำให้มนุษย์มีอิสระน้อยลง ถูกตีกรอบมากขึ้น ทำอะไรๆๆๆๆๆ ตามแพ็ตเทิร์นแห่งเพศ (gender-orientated) ทำให้ แฟชั่นก็ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดนีไปด้วย ผู้ชาย ไม่กล้าใส่กระโปรง (แล้วผ้าถุง มันคือกระโปรงไหม สะโร่ง คือกระโปรงไหม) ตุ้มหู ก็เอากลับมาใส่ แต่ต้องเลือกลายและสีให้เรียบ เดี่ยวจะโดนหาว่าตุ้งติ้ง เสื้อผ้าก็มักไม่ค่อยเน้นสีฉูดฉาด
น้ำหอมแนว woody, spicy, green จึงกลายเป็นเทร็นด์น้ำหอมบุรุษ ส่วนแนว floral, gourmand, balmy ก็กลายเป็นน้ำหอมโทนสตรี
ทว่าหลังจากยุค 80 ที่ Calvin Klein ได้ทำลายกำแพงแห่งเพศ โดยรังสรรค์น้ำหอม CK One ขึ้นมาให้กลายเป็นโทน unisex หรือใช้ได้ทั้งสองเพศ
ก็มีน้ำหอมอีกหลายค่าย เดินตามแนวทางของดีไซเนอร์ชาวอเมริกัน ผู้นี้
ตัวเรา จมูกเรา บุคคลิกเา เป็นตัวตัดสินเองแหละว่า เราจะเป็นชาย หรือ หญิง ไม่ใช่น้ำหอม ที่ใช้ หรือเสื้อผ้าที่สวมใส่
แสดงความคิดเห็น
ผู้ชายแท้ๆ จะใช้น้ำหอม Dior Jadore กันไหมค่ะ
คือสงสัยค่ะ ผู้ชายที่เราชอบเค้าฉีด J'adore Eau De Parfum
และสำอางมากเกินไป เลยสงสัยว่า มีผู้ชายคนอื่นที่ฉีด J'adore Eau De Parfumอีกหรือเปล่าคะ