ด้วยที่ตัว จขกท เองเป็นคนแข็งแรง
และไม่ค่อยได้เจ็บป่วยไข้อะไร อีกอย่าง
ก็คือ มีอาชีพรับราชการ แต่เมื่อเดือนที่แล้ว
ได้ตัดสินใจลาออก จากราชการเพื่อจะมาทำอาชีพส่วนตัว
ก็ปกติดีทุกอย่ง เมื่อวานปวดท้องอย่างหนัก
ไปที่โรงพยาบาล เขาแจ้งว่าเป็นนิ่วในกรวยไต
ในสิทธิ์ค่ารักษายังโชว์ในระบบ ว่า เบิกได้-กรมบัญชีกลาง
นั่นคือสถานะสุดท้ายของ จขกท คือให้จ่ายตังค์ก่อนแล้ว
ไปเบิกเอากับต้นสังกัด เมื่อก่อนสิทธืจะขึ้นว่า จ่ายตรง-กรมบัญชีกลาง
จขกท ก็เลยแจ้ง รพ.ไปว่า ได้ลาออกจากราชการแล้ว ทำไมสิทธิ์ยัง
ทับซ้อนหรือไม่ตัดขาดจากกัน และมีความประสงค์จะขึ้นทะเบียนบัตรทอง
30บาท รักษาทุกโรค จนท..ก็เร่งรับดำเนินการให้ และออกใบรับรอง
ใช้แทนสิทธิ์ใหม่ที่จะเกิด อีก 20 วัน หลังจากลงทะเบียนแล้ว และแจ้งว่า
ต่อไปนี้ต้องเสีย 30 บาท เพื่อเป็นค่าร่วมพัฒนาโครงการทุกครั้ง
ที่เจ็บป่วยไข้มารักษา รักษาได้ทุกโรคไม่ว่าค่าใช้จ่ายจะกี่หมื่นกี่แสน
กี่เสียแค่นั้น แล้ว จขกท ก็ไปนั่งรอตรวจ ปรากฏว่าหมอเอาไปเอ็กซเรย์
ตรวจเลือด ตรวจฉี่ และรอฟังผล เกือบทั้งวันเมื่อวานบอกว่าเป็นนิ่ว
ต้องนัดส่องกล้อง สลาย หรือผ่าตัดก็ว่ากันไป โดยนัดอีกครั้งในวันที่
8 มิถุนายน 2559 และได้ให้ยาแก้ปวด กลับมากิน
โดยได้ชำระค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 30 บาท รวมหมดทุกขั้นตอนของการรักษา
แต่เมื่อกลับมาถึงบ้าน จขกท ปวดท้องหนักขึ้นกว่าเดิมอีก และได้โทรถาม
โรงพยาบาลเอกชน (กรุงเทพจุรีเวช-ร้อยเอ็ด) ว่าค่ารักษา ผ่าตัดส่องกล้อง
หรือสลายนิ่ว ประมาณเท่าไหร่ ได้รับแจ้งไว้ว่า เตรียมไว้ประมาณ 35000-50000 บาท
แล้วบ้านอยูที่ใหน เด่ว โรงพยาบาลไปรับ จขกท เลยแจ้งไปว่าถามดูเฉย ๆพอดีมีญาติถามมา
เมื่อไม่ไหว ตอนหัวค่ำเมื่อวาน จขกท ก้เลยกลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง
แล้วแจ้งว่า ไม่ไหวแล้วครับ ปวดหนักยิ่งกว่าเดิมอีก แพทย์ได้พาเข้าห้องฉุกเฉิน
แล้วฉีดยาแก้ปวดให้ และให้ยาแก้ปวดชนิดรุนแรงกลับมากิน
และบอกว่า จะนัดให้เข้ามาไวกว่าเดิม เพราะเด่วก็จะต้องปวดอีก
คือนัดใหม่อีกครั้งเป็น วันที่ 3 มิถุนายน 2559 เพราะแพทย์แจ้งว่า
คนอืสานเป็นนิ่วเยอะ ต้องจองคิวผ่าตัด รักษายาวเลย เคสนี้หนัก
ถึงแทรกคิวเพิ่มมาให้
จขกท ก็ได้แต่นั่งนึก ขณะนั่งรอตรวจกับคนป่วยหลาย ๆคน
ทั้งปวดท้อง ปวดฟัน เป็นไข้ สาระพัดโรคที่ โรงพยาบาลรัฐ
ที่เข้ามาต่อคิวเข้าแถวเพื่อรับบริการเติม โรงพยาบาล พลันก็คิดขึ้นได้ว่า
"คนที่คิดจะยกเลิก 30 บาท จิตใจเขาทำด้วยอะไรอะไร"
ทำไมไม่มานั่งรอ นั่งดูความเจ็บปวด ที่คนทั้งยากส์จน และ ไม่ยากส์จน
ที่พวกเขารอคิวเข้ามารอคิว เพื่อจะใช้บริการด้วยความเจ็บปวด
ไม่มีใครที่ใหนอยากไปห่หมอ หรือเข้ารักษากับโรพยาบาลหรอก
ยิ่งเป็นคนบ้านนอกคอกนาด้วยแล้ว ถ้าพวกเขาไม่หนัก หรือถึงจั้น
จะตายขึ้นมาจริง ๆ ก็ไม่มีใครเสียเวลาทำมาหากินเพื่อไปพบแพทย์หรอก
ผมว่า แค่มีความคิดขึ้นมาในใจว่า "ไม่คุ้มทุน รัฐต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเยอะ"
แค่นี้คุณก็"บาป"แล้วครับ คือแค่คิดนะครับ ก็บาปกินใจคนที่คิดแล้วครับ
คิดได้อย่างไร หลักประกันสุขภาพ ของประชาฃน
ความเป็นอยูของคน คุณยังมองและคิดไป"กำไร-ขาดทุน"
นั้นแสดงว่า คุณสอบตก ตั้งแต่เป็นผู้นำแล้วครับ คุณภาพชีวิต
ที่ดีของประชากรในประเทศ นำมาซึ่งการพัฒนาและความมั่นคงของชาติ
ในแทบ ๆ ทุกด้าน .......
เงินรายได้หลักของประเทศก็มาจากเงินภาษีพวกเขา
ที่คุณเก็บไปบริหาร การจะใช้จ่ายอะไรสักอย่างเพื่อคนส่วนใหญ่
ที่ให้ข้าวแดงแกงร้อน ให้ได้เงินเพื่อการบริหารประเทศได้ และที่สำคัญ
เพื่อคนส่วนมาก เพื่อผู้ด้อยโอกาส เพื่อผู้ยากส์ไร้ คุณขาดทุนตรงใหนมิทราบครับ
เงินที่อุดหนุน 30 บาท ก็เงินจากภาษีของพวกเขา ของประชาชนทุก ๆคน
แล้วทำเพื่อคนส่วนมาก แบบนี้ ยิ่งเรื่องความเป็นความตาย และการเจ็บป่วยด้วยแล้ว
มันเป็นการขาดทุน ตรงใหน...................
ผมเบื่อจริง ๆ กับสลิ่มจอมอวด สลิ่มผู้มีอันจะกินที่ออกมาบอกว่า
ปชช ไม่ทำมาหากิน มีแต่จะแบมือขอกับรัฐอย่างเดียว จนติดเป็นนิสัย
ทำไมคนพวกนี้ ไม่คิด อย่างคนมีสมองมั่งว่า จริง ๆ แล้วรัฐนั่นแหละตัวดี
ไม่ใช่เป็นการแบมือขออย่างชาวบ้านเลย แต่แทบจะเรียกได้ว่า ปล้นเอาเลยก็ว่าได้
ในการออกกฏ เขียนกติกาต่าง ๆเพื่อบังคับใช้ กับการเก็บรายได้ต่าง ๆ โดยที่ประชาชน
จะยินยอมหรือไม่ก็ตาม เมื่อประกาศเป็นกฏหมาย ออกมาบังคับใช้ ทุกคนจะต้องถือปฏิบัติ
เหมือน ๆ กันจะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้ เมื่อไม่ทำหรือไม่ปฏิบัติตาม ก็มีบทลงโทษที่บัญญัติไว้ต่อไป
แล้วครั้งหน้า ผมจะมาเล่าเรื่อง จำนำข้าว ที่เป็นมหากาพย์แห่งการจับแพะให้ฟัง
ใครเสียหาย ใครได้ ประโยชน์ ใครเป็นแพะ และใครต้องการจะกำจัดศรัตรูด้วยเรื่องเท็จ ๆ
ปอลอ ..ต้องขอขอบคุณ ผู้คิดริเริ่มโครงการ จน รบ.ท่านทักษิณ นำมาใช้ และเชื่อว่านับตั้งแต่นำมาใช้
กว่า 10 ปีนี้มา ท่านได้ช่วยเชฟ ชีวิตเพื่อนมนุษย์กว่า สิบล้านคน กุศลผลบุญที่ท่านได้ทำไว้
กับเพื่อนมนุษย์ขอจงกลับสู่ท่านในทุก ๆ ด้าน ของให้มีความสุข ความเจริญ ด้วยปฏิภาณ ธนสารสมบัติด้วยเทอญ สาธุ
++++ ไม่เคยคิดว่า จะได้ใช้ 30 บาท ++++
และไม่ค่อยได้เจ็บป่วยไข้อะไร อีกอย่าง
ก็คือ มีอาชีพรับราชการ แต่เมื่อเดือนที่แล้ว
ได้ตัดสินใจลาออก จากราชการเพื่อจะมาทำอาชีพส่วนตัว
ก็ปกติดีทุกอย่ง เมื่อวานปวดท้องอย่างหนัก
ไปที่โรงพยาบาล เขาแจ้งว่าเป็นนิ่วในกรวยไต
ในสิทธิ์ค่ารักษายังโชว์ในระบบ ว่า เบิกได้-กรมบัญชีกลาง
นั่นคือสถานะสุดท้ายของ จขกท คือให้จ่ายตังค์ก่อนแล้ว
ไปเบิกเอากับต้นสังกัด เมื่อก่อนสิทธืจะขึ้นว่า จ่ายตรง-กรมบัญชีกลาง
จขกท ก็เลยแจ้ง รพ.ไปว่า ได้ลาออกจากราชการแล้ว ทำไมสิทธิ์ยัง
ทับซ้อนหรือไม่ตัดขาดจากกัน และมีความประสงค์จะขึ้นทะเบียนบัตรทอง
30บาท รักษาทุกโรค จนท..ก็เร่งรับดำเนินการให้ และออกใบรับรอง
ใช้แทนสิทธิ์ใหม่ที่จะเกิด อีก 20 วัน หลังจากลงทะเบียนแล้ว และแจ้งว่า
ต่อไปนี้ต้องเสีย 30 บาท เพื่อเป็นค่าร่วมพัฒนาโครงการทุกครั้ง
ที่เจ็บป่วยไข้มารักษา รักษาได้ทุกโรคไม่ว่าค่าใช้จ่ายจะกี่หมื่นกี่แสน
กี่เสียแค่นั้น แล้ว จขกท ก็ไปนั่งรอตรวจ ปรากฏว่าหมอเอาไปเอ็กซเรย์
ตรวจเลือด ตรวจฉี่ และรอฟังผล เกือบทั้งวันเมื่อวานบอกว่าเป็นนิ่ว
ต้องนัดส่องกล้อง สลาย หรือผ่าตัดก็ว่ากันไป โดยนัดอีกครั้งในวันที่
8 มิถุนายน 2559 และได้ให้ยาแก้ปวด กลับมากิน
โดยได้ชำระค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 30 บาท รวมหมดทุกขั้นตอนของการรักษา
แต่เมื่อกลับมาถึงบ้าน จขกท ปวดท้องหนักขึ้นกว่าเดิมอีก และได้โทรถาม
โรงพยาบาลเอกชน (กรุงเทพจุรีเวช-ร้อยเอ็ด) ว่าค่ารักษา ผ่าตัดส่องกล้อง
หรือสลายนิ่ว ประมาณเท่าไหร่ ได้รับแจ้งไว้ว่า เตรียมไว้ประมาณ 35000-50000 บาท
แล้วบ้านอยูที่ใหน เด่ว โรงพยาบาลไปรับ จขกท เลยแจ้งไปว่าถามดูเฉย ๆพอดีมีญาติถามมา
เมื่อไม่ไหว ตอนหัวค่ำเมื่อวาน จขกท ก้เลยกลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง
แล้วแจ้งว่า ไม่ไหวแล้วครับ ปวดหนักยิ่งกว่าเดิมอีก แพทย์ได้พาเข้าห้องฉุกเฉิน
แล้วฉีดยาแก้ปวดให้ และให้ยาแก้ปวดชนิดรุนแรงกลับมากิน
และบอกว่า จะนัดให้เข้ามาไวกว่าเดิม เพราะเด่วก็จะต้องปวดอีก
คือนัดใหม่อีกครั้งเป็น วันที่ 3 มิถุนายน 2559 เพราะแพทย์แจ้งว่า
คนอืสานเป็นนิ่วเยอะ ต้องจองคิวผ่าตัด รักษายาวเลย เคสนี้หนัก
ถึงแทรกคิวเพิ่มมาให้
จขกท ก็ได้แต่นั่งนึก ขณะนั่งรอตรวจกับคนป่วยหลาย ๆคน
ทั้งปวดท้อง ปวดฟัน เป็นไข้ สาระพัดโรคที่ โรงพยาบาลรัฐ
ที่เข้ามาต่อคิวเข้าแถวเพื่อรับบริการเติม โรงพยาบาล พลันก็คิดขึ้นได้ว่า
"คนที่คิดจะยกเลิก 30 บาท จิตใจเขาทำด้วยอะไรอะไร"
ทำไมไม่มานั่งรอ นั่งดูความเจ็บปวด ที่คนทั้งยากส์จน และ ไม่ยากส์จน
ที่พวกเขารอคิวเข้ามารอคิว เพื่อจะใช้บริการด้วยความเจ็บปวด
ไม่มีใครที่ใหนอยากไปห่หมอ หรือเข้ารักษากับโรพยาบาลหรอก
ยิ่งเป็นคนบ้านนอกคอกนาด้วยแล้ว ถ้าพวกเขาไม่หนัก หรือถึงจั้น
จะตายขึ้นมาจริง ๆ ก็ไม่มีใครเสียเวลาทำมาหากินเพื่อไปพบแพทย์หรอก
ผมว่า แค่มีความคิดขึ้นมาในใจว่า "ไม่คุ้มทุน รัฐต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเยอะ"
แค่นี้คุณก็"บาป"แล้วครับ คือแค่คิดนะครับ ก็บาปกินใจคนที่คิดแล้วครับ
คิดได้อย่างไร หลักประกันสุขภาพ ของประชาฃน
ความเป็นอยูของคน คุณยังมองและคิดไป"กำไร-ขาดทุน"
นั้นแสดงว่า คุณสอบตก ตั้งแต่เป็นผู้นำแล้วครับ คุณภาพชีวิต
ที่ดีของประชากรในประเทศ นำมาซึ่งการพัฒนาและความมั่นคงของชาติ
ในแทบ ๆ ทุกด้าน .......
เงินรายได้หลักของประเทศก็มาจากเงินภาษีพวกเขา
ที่คุณเก็บไปบริหาร การจะใช้จ่ายอะไรสักอย่างเพื่อคนส่วนใหญ่
ที่ให้ข้าวแดงแกงร้อน ให้ได้เงินเพื่อการบริหารประเทศได้ และที่สำคัญ
เพื่อคนส่วนมาก เพื่อผู้ด้อยโอกาส เพื่อผู้ยากส์ไร้ คุณขาดทุนตรงใหนมิทราบครับ
เงินที่อุดหนุน 30 บาท ก็เงินจากภาษีของพวกเขา ของประชาชนทุก ๆคน
แล้วทำเพื่อคนส่วนมาก แบบนี้ ยิ่งเรื่องความเป็นความตาย และการเจ็บป่วยด้วยแล้ว
มันเป็นการขาดทุน ตรงใหน...................
ผมเบื่อจริง ๆ กับสลิ่มจอมอวด สลิ่มผู้มีอันจะกินที่ออกมาบอกว่า
ปชช ไม่ทำมาหากิน มีแต่จะแบมือขอกับรัฐอย่างเดียว จนติดเป็นนิสัย
ทำไมคนพวกนี้ ไม่คิด อย่างคนมีสมองมั่งว่า จริง ๆ แล้วรัฐนั่นแหละตัวดี
ไม่ใช่เป็นการแบมือขออย่างชาวบ้านเลย แต่แทบจะเรียกได้ว่า ปล้นเอาเลยก็ว่าได้
ในการออกกฏ เขียนกติกาต่าง ๆเพื่อบังคับใช้ กับการเก็บรายได้ต่าง ๆ โดยที่ประชาชน
จะยินยอมหรือไม่ก็ตาม เมื่อประกาศเป็นกฏหมาย ออกมาบังคับใช้ ทุกคนจะต้องถือปฏิบัติ
เหมือน ๆ กันจะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้ เมื่อไม่ทำหรือไม่ปฏิบัติตาม ก็มีบทลงโทษที่บัญญัติไว้ต่อไป
แล้วครั้งหน้า ผมจะมาเล่าเรื่อง จำนำข้าว ที่เป็นมหากาพย์แห่งการจับแพะให้ฟัง
ใครเสียหาย ใครได้ ประโยชน์ ใครเป็นแพะ และใครต้องการจะกำจัดศรัตรูด้วยเรื่องเท็จ ๆ
ปอลอ ..ต้องขอขอบคุณ ผู้คิดริเริ่มโครงการ จน รบ.ท่านทักษิณ นำมาใช้ และเชื่อว่านับตั้งแต่นำมาใช้
กว่า 10 ปีนี้มา ท่านได้ช่วยเชฟ ชีวิตเพื่อนมนุษย์กว่า สิบล้านคน กุศลผลบุญที่ท่านได้ทำไว้
กับเพื่อนมนุษย์ขอจงกลับสู่ท่านในทุก ๆ ด้าน ของให้มีความสุข ความเจริญ ด้วยปฏิภาณ ธนสารสมบัติด้วยเทอญ สาธุ