ผมค้ำประกันซื้อรถยนต์ให้คนรู้จัก 2 คน คนแรกทำสัญญากับธนาคารไทยพาณิชย์ คนที่สองทำสัญญากับธนาคารธนชาต ปรากฏว่าทั้ง 2 คน ไม่ยอมส่งงวดรถจนกระทั่งโดนยึดรถไป ธนาคารไทยพาณิชย์ติดต่อมาว่ามีส่วนต่างจากการขายรถทอดตลาดที่ผู้เช่าซื้อจะต้องจ่ายอยู่แสนกว่าบาท แต่ไม่สามารถติดต่อผู้เช่าซื้อได้ เลยติดต่อมาที่ผมซึ่งเป็นผู้ค้ำประกัน ด้วยความที่ไม่อยากให้ประวัติทางการเงินตัวเองเสีย บวกกับรู้ว่าผู้เช่าซื้อไม่มีความสามารถหาเงินแสนกว่าบาทมาจ่ายได้แน่นอน ผมจึงติดต่อกับธนาคารโดยตรงเพื่อขอลดหนี้ ต่อรองเหลือ 7 หมื่นกว่าบาท ผมก็ใช้เงินเก็บของตัวเองจ่ายไป ทั้ง ๆ ที่ตั้งแต่ซื้อรถมาจนกระทั่งโดนยึดไปผมไม่เคยเห็นรถคันนั้นเลย

แต่สิ่งที่ผมรู้สึกไม่พอใจบริการของธนาคารไทยพาณิชย์มากที่สุด คือการที่ผมซึ่งเป็นผู้ถือเงินสด 7 หมื่นกว่าบาทไปจ่าย พร้อมกับบอกให้ส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวกับการปลดหนี้ทั้งหมดมาที่ผม (ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกว่าต้องใช้เวลา 45 วันทำการ) จนเวลาผ่านไปประมาณ 1 เดือนผมโทรติดต่อไปธนาคารไทยพาณิชย์เพื่อที่จะตามเรื่องเอกสารว่าไปถึงไหนแล้ว เจ้าหน้าที่กลับบอกว่าผู้ที่สามารถขอข้อมูลได้มีเพียงผู้เช่าซื้อคนเดียวเท่านั้น ซึ่งผมก็ได้บอกไปแล้วว่าผู้เช่าซื้อเค้าปัดความรับผิดชอบ และไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น แต่ผมซึ่งเป็นผู้ที่เสียทั้งเงินทั้งเครดิต กลับไม่มีสิทธิ์จะรับรู้อะไรเลย แจ้งเรื่องนี้ไปผ่านอีเมล์ของธนาคาร ก็มีเมล์ตอบกลับมาว่าได้รับเรื่องแล้ว จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับไปอีกที ผ่านมาเป็นเดือนแล้วครับ ไม่มีเจ้าหน้าที่ของธนาคารติดต่อมาเลย ตอนนี้ผ่านมา 36 วันทำการแล้ว นับจากวันที่ผมถือเงิน 7 หมื่นไปจ่าย จะรอดูว่าเหลืออีก 9 วัน ผมจะได้รับเอกสารการปลดหนี้ไหม

ผมอยากฝากถึงธนาคารไทยพาณิชย์นะครับ ในเมื่อบอกว่าผู้ค้ำประกันถือว่าเป็นลูกหนี้ร่วม เวลาที่คุณทวงหนี้ คุณก็ส่งเอกสารมาที่ผู้ค้ำด้วย เวลาที่คุณติดต่อผู้เช่าซื้อไม่ได้ คุณก็มาตามที่ผู้ค้ำ แค่การให้ข้อมูลแก่ผู้ค้ำ คุณกลับบอกว่าไม่สามารถทำได้ ถ้าเป็นแบบนี้เวลาคุณทำสัญญาเช่าซื้อคุณก็ไม่ต้องใช้คนค้ำหรอกครับ ในเมื่อคนค้ำมีประโยชน์กับคุณตอนทวงหนี้จากผู้เช่าซื้อไม่ได้เท่านั้น

คุณลองไปดูธนาคารธนาชาตดูนะครับ ผมติดต่อไปเกี่ยวกับรถอีกคันที่โดนยึด ธนาคารธนาชาตยินดีให้ข้อมูลแก่ผู้ค้ำประกันเสมือนเป็นผู้เช่าซื้อ บอกข้อมูลครบถ้วนด้วย