ฤกษ์งามยามดี มีประชุมที่ Barcelona เนื่องจากไม่มีไฟลท์บินตรง เลยต้องแวะเปลี่ยนเครื่องที่Frankfurt จึงได้ตัดสินใจ Stop Over ที่ Frankfurt สัก 3วันก่อนจะไปธุระที่ Barcelona รอบนี้ถือเป็นการเดินทางคนเดียวรอบแรกก็ว่าได้ ถ้าไม่นับการไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนสมัยยังเด็ก
ช่วงเตรียมตัวต้องบอกว่าทำการบ้านนานพอควร ประมาณ1เดือนก่อนเดินทาง ทำการจองโรงแรม จองตั๋วรถไฟ ICE ซึ่งทำให้ได้ตั๋วราคาถูก ว่าแล้วก็กางแผนที่ (Google Map) ลากเส้นว่าเราจะไปไหนบ้าง Cologne เมืองหนึ่งที่สะดุดตาขึ้นมา ตั้งใจว่าเป็นที่ที่ผมต้องไปให้ได้ และอยู่ไม่ไกลจาก Frankfurt หลังจากนั้น ก็ได้คำแนะนำจากเพื่อนที่เคยไปศึกษาที่เยอรมัน ทำให้ได้เส้นทางดังนี้
Cologne --> Bruhl -->Bonn -->Konigswinter-->Koblenz--> Hiedelberg
หลังจากนั้นก็มานั่งดูว่าเราควรจะนอนที่ไหนดี พอดูๆแล้วก็เลือกนอน ที่ Konigswinter, Heidelberg และFrankfurt เพื่อที่จะต่อเครื่องในวัดถัดไป สำหรับที่นอนผมเลือกไม่แชร์กับใคร ยอมรับว่าไปคนเดียวค่อนข้างกลัวของหาย ขอไม่เสี่ยงทำให้ทริปนี้ค่าใช้จายเยอะไปสักนิด แต่ก็ไม่ได้เลือกที่พักที่ดีมาก ขอแค่ซุกหัวนอนพอ
นั่งดูโรงแรม วางแผนเที่ยว เพื่อนแนะนำให้ผมนั่งเรือล่องตามแม่น้ำไรน์(Rhine)ลงมาเรื่อยๆ เพื่อนที่เป็นไกด์บอกว่าส่วนที่สวยและน่าเที่ยวสุดของแม่น้ำ Rhine คือบริเวณSt.Goar ถึงBacharach แถมแผนการเดินทางผมยังถือว่านั่งเรือUpstream ทำให้ต้องใช้เวลาค่อนข้างมากบนเรือ ตัดสินใจยังไม่จองตั๋ว ไปคิดเอาดาบหน้าแทน โดยอาจเที่ยวเมืองKoblenz แทนแล้วชดเชยด้วยการนั่งรถไฟย้อนเรียบแม่น้ำดีกว่า แม้ไม่สวยเท่าการมองจากในแม่น้ำแต่ก็ย่นเวลาไปได้พอควร
ก่อนไปสิ่งที่ช่วยผมได้เยอะและอยากให้เพื่อนๆ บางคนมีติดตัวไว้ คือ
โทรศัพท์มือถือ พร้อมโปรแกรม
MapMe หรือ
CityMap2Goโดยโหลดแผนที่ออฟไลน์เก็บไว้และอีกอันที่สำคัญ คือ
Google translateครับ ถ้าเป็นAndroid จะสามารถโหลดภาษาเก็บไว้ได้ด้วย แต่สิ่งที่ผมชอบมากคือ มันสามารถเอากล้องอ่านแล้วแปลได้เลย โดยไม่ต้องใช้เนต(แค่บางคำเท่านั้นนะครับ) และโปรแกรมสุดท้ายที่ควรมี DB Bahn เพื่อเช็ครอบรถเมื่อมีเนตครับ ผมเลือกที่พักพร้อมไวไฟฟรี เพื่อใช้เนตสำหรับการวางแผนในวันต่อไป
จากนั้นเริ่มจองตั๋ว โชคดีมีโปรโมชั่นของรถไฟด่วนICE ทำให้จองได้ในราคา 19ยูโรเท่านั้น
ผมนั่งเครื่องบินมาลง Frankfurt ตั้งแต่เช้า6.20 น. หัวใจจะวายเพราะจองตั๋ว ICE 7.09ไว้ จริงๆตามเวลาต้องลง 6.00น. แต่เครื่องดันดีเลย์ นั่งใจตุ้มๆต่อมบนเครื่อง หลับบ้างตื่นบ้าง
พอถึงสนามบินแฟรงเฟิร์ต ต้องบอกว่าตม.ที่นี่ทำงานเร็วมาก ผมผ่านตม.ไปไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ มาใจหายตอนรอกระเป๋า ผมใช้เวลาเกินครึ่งชม.กว่ากระเป๋าจะมา จากนั้นก็รีบเดินข้ามไปยังรถไฟICE ไม่รู้บุญกรรมแต่ปางใด รถไฟก็มาดีเลย์ไปเกือบชม.นึง มีเวลานั่งถอนหายใจเบาๆบนรถไฟ
เนื่องจากเป็นรถไฟความเร็วสูงจึงใช้เวลาเพียง ชั่วโมงเดียวเท่านั้นในการเดินทาง เมื่อรถไฟจอดที่เมืองBonn ผมตัดสินใจกระโดดลงก่อนถึงCologne โดยเปลี่ยนจากที่จะไปเที่ยว โคโลญก่อนแล้วฝากกระเป่าไว้โคโลญ มาฝากกระเป๋าที่ Bonnแทน เพราะวางแผนกลับมาBonnก่อนไป Konigswinter
เมื่อถึงBonn ใช้เวลาฝากกระเป๋าค่าเสียหาย4ยูโร ต่อ 24ชั่วโมงครับ ถ้ากระเป๋าเล็กหน่อยก็ 3 ยูโร แต่ผมเองเอากระเป๋าใบใหญ่มาด้วยเพราะต้องเผื่องานที่สเปน บอกเลยครับลำบากเพราะจำนวนล๊อกเกอร์ใหญ่สำหรับกระเป๋าใหญ่นั้นหายากกว่าเยอะ
หลังฝากกระเป๋าเสร็จผมตัดสินใจซื้อตั่วNRW ตั๋ววันสำหรับรัฐ North Rhine-Westphalia ซึ่งสามารถเดินทางโดยพาหนะใดก็ได้ยกเว้น ICE ค่าเสียหาย 29ยูโรครับ แต่เดี๋ยวก่อน!!! ถ้าท่าเดินทางเพิ่มอีก 1 คน ราคาจะเพิ่มเพียง4 ยูโรเท่านั้น ได้จนถึง 5 คนเลยครับ ถ้ามา 2 คนขึ้นถือว่าประหยัดกว่าเยอะมาก
จากนั้นผมเลือกนั่ง Regional Bahn ไปยังBruhl
Bruhl เป็นเมืองเล็กอยู่ทางด้านใต้ของโคโลญจน์ ถ้านั่งรถไฟหวานเย็นลงมาก็ใช้เวลาได้ 17 นาทีเท่านั้น สำหรับเมืองนี้ผมแนะนำนะครับ เพื่อนผมบอกให้มาให้ได้และแนะนำให้เข้าชมในพระราชวังด้วย
โดยพระราชวัง Augustusburg ได้รับยกย่องเป็นมรดกโลก โดยUNESCO ในปี1984. ในพระราชวังมีสวนขนาดใหญ่เชื่อมโยงระหว่างต้นไม้และสวนได้เป็นอย่างสวยงาม ถ้ามองจากด้านนอกก็เหมือนแค่ตึกเหลี่ยมๆ ไม่ได้มีอะไรมากมาย แต่ถ้ามาดูภายในนั้นสวยงามแปลกตา ภายในบันไดขึ้นประดับด้วยหินอ่อนสีเขียวเนื่องจากถือว่าบันไดรับแขกค่อนข้างเล็กสถาปนิกจึงได้ยกเพดานสูงเพื่อให้ดูยิ่งใหญ่และสวยงาม
พระราชวังนี้ถูกสร้างเพื่อเป็นพระราชวังฤดูร้อนสำหรับการล่าสัตว์โดย Falcony คือฝึกนึกให้ล่าสัตว์ แต่อย่างไรก็ตามมีเตาผิงอยู่ภายในห้องเพื่อแสดงว่ายังมีการใช้พระราชวังนี้ในฤดูอื่นๆด้วยเช่นกัน
รูปผมขอใช้รูปจากเนต หรือจากโปสการ์ดนะครับเนื่องจากภายในไม่สามารถถ่ายรูปได้ แต่ก็แนะนำให้เข้าชม
พระราชวังนี้สร้างในสมัยสตวรรษที่ 18 โดย Clemens August of Bavaria
ซึ่งเป็น Archbishopแห่ง Cologne และให้น้องชายมาอยู่ รวมถึงตระกูลWittelsbach พระราชวังได้รับการออกแบบโดย สถาปนิกนามJohann Conrad Schlaun และFrançois de Cuvilliés ตัวสวนนั้นสวยออกแบบเป็นทรงเหลี่ยม แม้ไม่ได้กว้างใหญ่หรือยิ่งใหญ่ แต่เมื่อเข้าไปกลับรู้สึกหลงใหล เช่นเดียวกับ นโปเลียนที่เคยอ้างถึงพระราชวังนี้ว่า น่าจะมีล้อจะได้ลากกลับฝรั่งเศสไปด้วย
พระราชวังAugustusburg สร้างเป็นรูปตัวU และมี3ชั้นwith โดยมีบันไดรับแขกที่สวยงามออกแบบโดย Johann Balthasar Neumann. ในส่วนของสวนออกแบบโดย Dominique Girard
เที่ยวกันพอสังเขป เราก็นั่งรถไฟหวานเย็นเพื่อมายังเมืองที่ผมตั้งใจมากนั่นคือ
Cologne
Cologne เป็นเมืองที่ใหญ่อันดับ 4 ในเยอรมัน เป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของเยอรมัน
ที่เที่ยวสำคัญ คือมหาวิหารโคโลญ (Kölner Dom) ซึ่งเป็นโบสถ์ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกที่มีชื่อเสียง มหาวิทยาลัยโคโลญ (Universität zu Köln) เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในทวีปยุโรป และเป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ
บริเวณยอดฮิตคงไม่พ้น Hohenzollern Bridge สะดานรถไฟขนาดใหญ่ที่พาดผ่านแม่น้ำ Rhine จากบริเวณ Cologne cathedral นอกจากนี้เมืองโคญยังเป็นที่กำเนิดน้ำหอมเก่าแก่ชื่อดัง คื อ “4711” ซึ่งผมเองไม่รู้จักแต่พอถามแม่บอกใครไม่รู้จักก็แย่ละ
หลังจากเสร็จความต้องาการที่โคโลญแล้ว เราก็เดินทางกลับมายังเมือง Bonn
Bonn เป็นเมืองใหญ่ อยู่ด้านล่างของโคโลญ ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชม. Bonnเป็นเมืองหลวงเก่าของเยอรมันตะวันตก เท่าที่ดูถือว่ามีความเจริญค่อนข้างมากคือ เดินจากสถานีรถ ก็เป็นแหล่งช๊อปเลย แบรนด์เนมมากมายแต่ไม่เหมาะกับการเดินทางของผม
สำหรับที่ๆผมตั้งใจจะแวะมานั่นก็คือบ้านเกิดของบีโธเฟนนั่นเอง
บ้านเกิดบีโธเฟน คือตึกแถวสีชมพู บ้านเลขที่ 20 ภายในจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ของใช้และผลงานของบีโธเฟนที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีดนตรีสดให้ฟังบรรเลงโดยนักเปียนโนสาว แต่วันที่ไปเค้านั่งหน้าบูดไปนิดคงเล่นมาทั้งวันผมเอง ก็นั่งฟังอยู่คนเดียวคนอื่นๆไม่เห็นเข้ามาฟัง
นึกภาพตัวเองอยู่ในบ้านบีโธเฟน หลับตาฟังดนตรีแล้วก็เคลิ้มไป เพลงช่างมีเสน่น่าหลงใหล ยิ่งมารู้ว่าช่วงหลังBeethoven มีปัญหาเรื่องการได้ยิน แต่ก็ยังแต่งเพลงโดยใช้ภาษาใบ้ ยิ่งน่าทึ่งครับ
หลังจากนั้นก็มาถึงเมืองที่ผมจะมาพัก นั่นก็คือ Konigswinter
Konigswinter เป็นเมืองเล็กๆ เลียบแม่น้ำไรน์ เมืองที่มีเสน่ ผมมาเดินเล่น แล้วก็ขึ้นกระเช้าไป Drachenburg และDrachenfel
แต่ผมมาค่อนข้างช้า ปราสาทDrachenburg ปิดเวลา18.00 ทำให้อดเข้าต้องรอเช้าวันถัดมาแทน
Drachenfel หมายถึงหินมังกร ซึ่งเป็นเนินเขาสูงเกิดจากแมกม่าจากภูเขาไฟ นอกจากนี้ยังมีซากปรักหักพังของปราสาทBurg Drachenfels บนยอดเขา ซึ่งสร้างโดย ArchbishopArnold I แห่งโคโลญเป็นหนึ่งใน7 ปราสาทที่ถูกสร้างขึ้นห้อมล้อมเมือง โคโลญเพื่อเผยแผ่ศาสนา และปกป้องเมืองโคโลญ ถูกสร้างในปี 1138 และ 1167
ภายหลังมีสงคราม ทำให้ปราสาทเสียหายเหลือเพียงซากปรักหักพัง แต่การนั่งรถรางมาชมนั้นมีเสน่อย่างประหลาด เมื่อมองจากปราสาท Drachenfel สามารถมองเห็นโค้งแม่น้ำ Rhine รวมถึง Bod Godesberg ที่เหลือเพียงซากฝั่งตรงกันข้ามได้เช่นกัน
เมื่อลงจากจุดชมวิว ผมเดินเล่นในเมืองKonigswinterเมืองเล็กๆ ที่สงบมีร้านกาแฟ ร้านอาหารน่ารักๆตกแต่งอย่างมีเอกลักษณ์ เมื่อเดินมาถึงริมแม่น้ำไรน์ ก็มีร้านกาแฟหรือจะเลือกนั่งชมอาทิตย์ตกดิน มันช่างสวยและสงบได้อย่างไม่น่าเชื่อ บางคนจ๊อกกิ้ง ปั่นจักรยาน นอกจากนี้ยังมีท่าเรือสำหรับนั่งเรือล่องตามแม่น้ำไรน์ ซึ่งมีอยู่หลายเจ้าเลยครับ
5ทุ่ม ผมตัดสินใจนั่งรถกลับไปเก็บเสน่ห์ยามค่ำคืนของเมืองโคโลญจน์อีกรอบเนื่อง่จากยังสามารถใช้บัตรNRW ได้จนถึงตี3 ใช้เวลาเดินทางเพียง50 นาที อ้อ ลืมบอกไปว่าช่วงที่ผมไป มืดช้ามากครับ พระอาทิตย์ตกก็ 3ทุ่มละครับ
ตบท้ายวันนี้ด้วยภาพสวยๆ จาก เมืองโคโลญ ยามค่ำคืนกันนะครับ
Alone In German : Day1 Bruhl -Cologne-Bonn-Konigswinter
ช่วงเตรียมตัวต้องบอกว่าทำการบ้านนานพอควร ประมาณ1เดือนก่อนเดินทาง ทำการจองโรงแรม จองตั๋วรถไฟ ICE ซึ่งทำให้ได้ตั๋วราคาถูก ว่าแล้วก็กางแผนที่ (Google Map) ลากเส้นว่าเราจะไปไหนบ้าง Cologne เมืองหนึ่งที่สะดุดตาขึ้นมา ตั้งใจว่าเป็นที่ที่ผมต้องไปให้ได้ และอยู่ไม่ไกลจาก Frankfurt หลังจากนั้น ก็ได้คำแนะนำจากเพื่อนที่เคยไปศึกษาที่เยอรมัน ทำให้ได้เส้นทางดังนี้
Cologne --> Bruhl -->Bonn -->Konigswinter-->Koblenz--> Hiedelberg
หลังจากนั้นก็มานั่งดูว่าเราควรจะนอนที่ไหนดี พอดูๆแล้วก็เลือกนอน ที่ Konigswinter, Heidelberg และFrankfurt เพื่อที่จะต่อเครื่องในวัดถัดไป สำหรับที่นอนผมเลือกไม่แชร์กับใคร ยอมรับว่าไปคนเดียวค่อนข้างกลัวของหาย ขอไม่เสี่ยงทำให้ทริปนี้ค่าใช้จายเยอะไปสักนิด แต่ก็ไม่ได้เลือกที่พักที่ดีมาก ขอแค่ซุกหัวนอนพอ
นั่งดูโรงแรม วางแผนเที่ยว เพื่อนแนะนำให้ผมนั่งเรือล่องตามแม่น้ำไรน์(Rhine)ลงมาเรื่อยๆ เพื่อนที่เป็นไกด์บอกว่าส่วนที่สวยและน่าเที่ยวสุดของแม่น้ำ Rhine คือบริเวณSt.Goar ถึงBacharach แถมแผนการเดินทางผมยังถือว่านั่งเรือUpstream ทำให้ต้องใช้เวลาค่อนข้างมากบนเรือ ตัดสินใจยังไม่จองตั๋ว ไปคิดเอาดาบหน้าแทน โดยอาจเที่ยวเมืองKoblenz แทนแล้วชดเชยด้วยการนั่งรถไฟย้อนเรียบแม่น้ำดีกว่า แม้ไม่สวยเท่าการมองจากในแม่น้ำแต่ก็ย่นเวลาไปได้พอควร
ก่อนไปสิ่งที่ช่วยผมได้เยอะและอยากให้เพื่อนๆ บางคนมีติดตัวไว้ คือโทรศัพท์มือถือ พร้อมโปรแกรม MapMe หรือ CityMap2Goโดยโหลดแผนที่ออฟไลน์เก็บไว้และอีกอันที่สำคัญ คือ Google translateครับ ถ้าเป็นAndroid จะสามารถโหลดภาษาเก็บไว้ได้ด้วย แต่สิ่งที่ผมชอบมากคือ มันสามารถเอากล้องอ่านแล้วแปลได้เลย โดยไม่ต้องใช้เนต(แค่บางคำเท่านั้นนะครับ) และโปรแกรมสุดท้ายที่ควรมี DB Bahn เพื่อเช็ครอบรถเมื่อมีเนตครับ ผมเลือกที่พักพร้อมไวไฟฟรี เพื่อใช้เนตสำหรับการวางแผนในวันต่อไป
จากนั้นเริ่มจองตั๋ว โชคดีมีโปรโมชั่นของรถไฟด่วนICE ทำให้จองได้ในราคา 19ยูโรเท่านั้น
ผมนั่งเครื่องบินมาลง Frankfurt ตั้งแต่เช้า6.20 น. หัวใจจะวายเพราะจองตั๋ว ICE 7.09ไว้ จริงๆตามเวลาต้องลง 6.00น. แต่เครื่องดันดีเลย์ นั่งใจตุ้มๆต่อมบนเครื่อง หลับบ้างตื่นบ้าง
พอถึงสนามบินแฟรงเฟิร์ต ต้องบอกว่าตม.ที่นี่ทำงานเร็วมาก ผมผ่านตม.ไปไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ มาใจหายตอนรอกระเป๋า ผมใช้เวลาเกินครึ่งชม.กว่ากระเป๋าจะมา จากนั้นก็รีบเดินข้ามไปยังรถไฟICE ไม่รู้บุญกรรมแต่ปางใด รถไฟก็มาดีเลย์ไปเกือบชม.นึง มีเวลานั่งถอนหายใจเบาๆบนรถไฟ
เนื่องจากเป็นรถไฟความเร็วสูงจึงใช้เวลาเพียง ชั่วโมงเดียวเท่านั้นในการเดินทาง เมื่อรถไฟจอดที่เมืองBonn ผมตัดสินใจกระโดดลงก่อนถึงCologne โดยเปลี่ยนจากที่จะไปเที่ยว โคโลญก่อนแล้วฝากกระเป่าไว้โคโลญ มาฝากกระเป๋าที่ Bonnแทน เพราะวางแผนกลับมาBonnก่อนไป Konigswinter
เมื่อถึงBonn ใช้เวลาฝากกระเป๋าค่าเสียหาย4ยูโร ต่อ 24ชั่วโมงครับ ถ้ากระเป๋าเล็กหน่อยก็ 3 ยูโร แต่ผมเองเอากระเป๋าใบใหญ่มาด้วยเพราะต้องเผื่องานที่สเปน บอกเลยครับลำบากเพราะจำนวนล๊อกเกอร์ใหญ่สำหรับกระเป๋าใหญ่นั้นหายากกว่าเยอะ
หลังฝากกระเป๋าเสร็จผมตัดสินใจซื้อตั่วNRW ตั๋ววันสำหรับรัฐ North Rhine-Westphalia ซึ่งสามารถเดินทางโดยพาหนะใดก็ได้ยกเว้น ICE ค่าเสียหาย 29ยูโรครับ แต่เดี๋ยวก่อน!!! ถ้าท่าเดินทางเพิ่มอีก 1 คน ราคาจะเพิ่มเพียง4 ยูโรเท่านั้น ได้จนถึง 5 คนเลยครับ ถ้ามา 2 คนขึ้นถือว่าประหยัดกว่าเยอะมาก
จากนั้นผมเลือกนั่ง Regional Bahn ไปยังBruhl
Bruhl เป็นเมืองเล็กอยู่ทางด้านใต้ของโคโลญจน์ ถ้านั่งรถไฟหวานเย็นลงมาก็ใช้เวลาได้ 17 นาทีเท่านั้น สำหรับเมืองนี้ผมแนะนำนะครับ เพื่อนผมบอกให้มาให้ได้และแนะนำให้เข้าชมในพระราชวังด้วย
โดยพระราชวัง Augustusburg ได้รับยกย่องเป็นมรดกโลก โดยUNESCO ในปี1984. ในพระราชวังมีสวนขนาดใหญ่เชื่อมโยงระหว่างต้นไม้และสวนได้เป็นอย่างสวยงาม ถ้ามองจากด้านนอกก็เหมือนแค่ตึกเหลี่ยมๆ ไม่ได้มีอะไรมากมาย แต่ถ้ามาดูภายในนั้นสวยงามแปลกตา ภายในบันไดขึ้นประดับด้วยหินอ่อนสีเขียวเนื่องจากถือว่าบันไดรับแขกค่อนข้างเล็กสถาปนิกจึงได้ยกเพดานสูงเพื่อให้ดูยิ่งใหญ่และสวยงาม
พระราชวังนี้ถูกสร้างเพื่อเป็นพระราชวังฤดูร้อนสำหรับการล่าสัตว์โดย Falcony คือฝึกนึกให้ล่าสัตว์ แต่อย่างไรก็ตามมีเตาผิงอยู่ภายในห้องเพื่อแสดงว่ายังมีการใช้พระราชวังนี้ในฤดูอื่นๆด้วยเช่นกัน
รูปผมขอใช้รูปจากเนต หรือจากโปสการ์ดนะครับเนื่องจากภายในไม่สามารถถ่ายรูปได้ แต่ก็แนะนำให้เข้าชม
พระราชวังนี้สร้างในสมัยสตวรรษที่ 18 โดย Clemens August of Bavaria
ซึ่งเป็น Archbishopแห่ง Cologne และให้น้องชายมาอยู่ รวมถึงตระกูลWittelsbach พระราชวังได้รับการออกแบบโดย สถาปนิกนามJohann Conrad Schlaun และFrançois de Cuvilliés ตัวสวนนั้นสวยออกแบบเป็นทรงเหลี่ยม แม้ไม่ได้กว้างใหญ่หรือยิ่งใหญ่ แต่เมื่อเข้าไปกลับรู้สึกหลงใหล เช่นเดียวกับ นโปเลียนที่เคยอ้างถึงพระราชวังนี้ว่า น่าจะมีล้อจะได้ลากกลับฝรั่งเศสไปด้วย
พระราชวังAugustusburg สร้างเป็นรูปตัวU และมี3ชั้นwith โดยมีบันไดรับแขกที่สวยงามออกแบบโดย Johann Balthasar Neumann. ในส่วนของสวนออกแบบโดย Dominique Girard
เที่ยวกันพอสังเขป เราก็นั่งรถไฟหวานเย็นเพื่อมายังเมืองที่ผมตั้งใจมากนั่นคือ Cologne
Cologne เป็นเมืองที่ใหญ่อันดับ 4 ในเยอรมัน เป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของเยอรมัน
ที่เที่ยวสำคัญ คือมหาวิหารโคโลญ (Kölner Dom) ซึ่งเป็นโบสถ์ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกที่มีชื่อเสียง มหาวิทยาลัยโคโลญ (Universität zu Köln) เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในทวีปยุโรป และเป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ
บริเวณยอดฮิตคงไม่พ้น Hohenzollern Bridge สะดานรถไฟขนาดใหญ่ที่พาดผ่านแม่น้ำ Rhine จากบริเวณ Cologne cathedral นอกจากนี้เมืองโคญยังเป็นที่กำเนิดน้ำหอมเก่าแก่ชื่อดัง คื อ “4711” ซึ่งผมเองไม่รู้จักแต่พอถามแม่บอกใครไม่รู้จักก็แย่ละ
หลังจากเสร็จความต้องาการที่โคโลญแล้ว เราก็เดินทางกลับมายังเมือง Bonn
Bonn เป็นเมืองใหญ่ อยู่ด้านล่างของโคโลญ ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชม. Bonnเป็นเมืองหลวงเก่าของเยอรมันตะวันตก เท่าที่ดูถือว่ามีความเจริญค่อนข้างมากคือ เดินจากสถานีรถ ก็เป็นแหล่งช๊อปเลย แบรนด์เนมมากมายแต่ไม่เหมาะกับการเดินทางของผม
สำหรับที่ๆผมตั้งใจจะแวะมานั่นก็คือบ้านเกิดของบีโธเฟนนั่นเอง
บ้านเกิดบีโธเฟน คือตึกแถวสีชมพู บ้านเลขที่ 20 ภายในจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ของใช้และผลงานของบีโธเฟนที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีดนตรีสดให้ฟังบรรเลงโดยนักเปียนโนสาว แต่วันที่ไปเค้านั่งหน้าบูดไปนิดคงเล่นมาทั้งวันผมเอง ก็นั่งฟังอยู่คนเดียวคนอื่นๆไม่เห็นเข้ามาฟัง
นึกภาพตัวเองอยู่ในบ้านบีโธเฟน หลับตาฟังดนตรีแล้วก็เคลิ้มไป เพลงช่างมีเสน่น่าหลงใหล ยิ่งมารู้ว่าช่วงหลังBeethoven มีปัญหาเรื่องการได้ยิน แต่ก็ยังแต่งเพลงโดยใช้ภาษาใบ้ ยิ่งน่าทึ่งครับ
หลังจากนั้นก็มาถึงเมืองที่ผมจะมาพัก นั่นก็คือ Konigswinter
Konigswinter เป็นเมืองเล็กๆ เลียบแม่น้ำไรน์ เมืองที่มีเสน่ ผมมาเดินเล่น แล้วก็ขึ้นกระเช้าไป Drachenburg และDrachenfel
แต่ผมมาค่อนข้างช้า ปราสาทDrachenburg ปิดเวลา18.00 ทำให้อดเข้าต้องรอเช้าวันถัดมาแทน
Drachenfel หมายถึงหินมังกร ซึ่งเป็นเนินเขาสูงเกิดจากแมกม่าจากภูเขาไฟ นอกจากนี้ยังมีซากปรักหักพังของปราสาทBurg Drachenfels บนยอดเขา ซึ่งสร้างโดย ArchbishopArnold I แห่งโคโลญเป็นหนึ่งใน7 ปราสาทที่ถูกสร้างขึ้นห้อมล้อมเมือง โคโลญเพื่อเผยแผ่ศาสนา และปกป้องเมืองโคโลญ ถูกสร้างในปี 1138 และ 1167
ภายหลังมีสงคราม ทำให้ปราสาทเสียหายเหลือเพียงซากปรักหักพัง แต่การนั่งรถรางมาชมนั้นมีเสน่อย่างประหลาด เมื่อมองจากปราสาท Drachenfel สามารถมองเห็นโค้งแม่น้ำ Rhine รวมถึง Bod Godesberg ที่เหลือเพียงซากฝั่งตรงกันข้ามได้เช่นกัน
เมื่อลงจากจุดชมวิว ผมเดินเล่นในเมืองKonigswinterเมืองเล็กๆ ที่สงบมีร้านกาแฟ ร้านอาหารน่ารักๆตกแต่งอย่างมีเอกลักษณ์ เมื่อเดินมาถึงริมแม่น้ำไรน์ ก็มีร้านกาแฟหรือจะเลือกนั่งชมอาทิตย์ตกดิน มันช่างสวยและสงบได้อย่างไม่น่าเชื่อ บางคนจ๊อกกิ้ง ปั่นจักรยาน นอกจากนี้ยังมีท่าเรือสำหรับนั่งเรือล่องตามแม่น้ำไรน์ ซึ่งมีอยู่หลายเจ้าเลยครับ
5ทุ่ม ผมตัดสินใจนั่งรถกลับไปเก็บเสน่ห์ยามค่ำคืนของเมืองโคโลญจน์อีกรอบเนื่อง่จากยังสามารถใช้บัตรNRW ได้จนถึงตี3 ใช้เวลาเดินทางเพียง50 นาที อ้อ ลืมบอกไปว่าช่วงที่ผมไป มืดช้ามากครับ พระอาทิตย์ตกก็ 3ทุ่มละครับ
ตบท้ายวันนี้ด้วยภาพสวยๆ จาก เมืองโคโลญ ยามค่ำคืนกันนะครับ