ระบบการศึกษายุคนาซีเยอรมัน

นักประวัติศาสตร์สังคม Richard Grunberger ได้ทำการโต้แย้งในหนังสือ A Social History Of The Third Reich (1971) เอาไว้ว่า เมื่ออดอล์ฟ ฮิตเลอร์ได้เข้ามามีอำนาจในปี 1933 เขาก็ได้รับช่วงต่อในการพัฒนาระบบการศึกษาในลักษณะอนุรักษ์นิยม “อิทธิพลในระบบการศึกษาของประเทศเยอรมันเปรียบได้กับการรบที่วอเตอร์ลู ในห้องเรียนก็ได้มีการยกย่องสรรเสริญชัยชนะของ Bismarck ที่มีต่อ Danes, ชาวออสเตรียกับฝรั่งเศสและรัฐสภาเยอรมันที่บ้านเกิด”

ฮิตเลอร์เป็นคนที่ยึดมั่นกับความเห็นตัวเองอย่างแข็งกร้าวในเรื่องของระบบการศึกษา มีเพียงแค่คุณครูที่มีความเชื่อมโยงกับเขาก็คือ Leopold Potsch ซึ่งเป็นอาจารย์ทางด้านประวัติศาสตร์ เหมือนกับผู้คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในแถบตอนบนของออสเตรีย ซึ่งมักจะเป็นชาวเยอรมันที่มีแนวคิดชาตินิยม โดย Potsch ได้บอกกับฮิตเลอร์กับเพื่อนนักเรียนของเขาเกี่ยวกับชัยชนะของเยอรมันที่มีต่อประเทศฝรั่งเศสในปี 1870 กับ 1871 และการโจมตีชาวออสเตรียที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องชัยชนะ ซึ่ง Otto Von Bismarck ก็เป็นรัฐมนตรีคนแรกในยุคจักรวรรดิเยอรมัน และยังเป็นฮีโร่ในดวงใจของฮิตเลอร์อีกด้วย

ฮิตเลอร์ได้เขียนในหนังสือ Mein Kampf (1925) เอาไว้ว่า “Dr.Leopold Potsch … เป็นคนที่บ่มเพาะระบบการศึกษาแนวคิดความเป็นชาตินิยมของพวกเรา บ่อยครั้งพวกเราก็รู้สึกเป็นเกียรติ์กับแนวคิดความเป็นชาตินิยม เขาสามารถทำให้พวกเราอยู่ในกฎเกณฑ์วินัยโดยที่แทบไม่ต้องใช้กำลังกดขี่ จึงเป็นเรื่องง่ายมากที่นำแนวคิดนี้ไปปรับใช้กับคนอื่นๆ คุณครูคนนี้ทำให้ผมชอบศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ และจริงๆแล้วเขาเองก็ไม่ได้มีแนวคิดแบบนั้นจริงๆ จากนั้นผมก็เริ่มมีแนวคิดความเป็นนักปฎิวัติขึ้นมาบ้าง แล้วจะมีใครที่ศึกษาประวัติศาสตร์ชาวเยอรมันภายใต้การสอนของคุณครูโดยที่ไม่มีเรื่องรัฐอริราชศัตรูเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว ตลอดจนถึงกฎเกณฑ์การปกครอง การบิดเบือนอำนาจอิทธิพลของแต่ละชนชาติบ้าง? และจะมีใครบ้างที่มีความภักดีต่อจักรวรรดิทั้งในอดีตกับปัจจุบันที่ชาวเยอรมันมักจะถูกหลอกอยู่ซ้ำๆซากๆกับการรับผลประโยชน์ส่วนตัวอย่างไร้ยางอายบ้าง?


การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรการศึกษา

ฮิตเลอร์ได้ทำการปรับเปลี่ยนหลักสูตรการศึกษาอย่างรวดเร็ว เป็นหลักสูตรการศึกษาที่ “ตระหนักถึงเชื้อชาติ” โดยเริ่มหลักสูตรตั้งแต่โรงเรียนและเด็กเล็กก็เริ่มมีแนวคิดความเป็นเชื้อชาติไปจนถึง “สังคมชนชาติ” ทั้งมีการวางหลักสูตรเรื่องชีววิทยาควบคู่กับการศึกษาทางด้านการเมืองซึ่งเป็นวิชาภาคบังคับ เด็กเล็กก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเชื้อชาติที่ “มีคุณค่า” กับ “ด้อยคุณค่า” โดยได้เรียนรู้เกี่ยวกับพันธุกรรมกับเชื้อร้ายทางกรรมพันธุ์ “พวกเขามีใช้วิธีการประเมินโดยดูส่วนหัวพร้อมกับมีการบันทึกเทปเอาไว้ มีการตรวจสอบสีของดวงตากับลวดลายเส้นผมเมื่อเทียบกับเชื้ออารยันหรือนอร์ดิก  และโครงสร้างแผนผังครอบครัวไปจนถึงองค์ประกอบทางด้านชีววิทยา ไม่ได้เน้นเรื่องประวัติศาสตร์ เรื่องบรรพบุรุษ เช่นกันพวกเขาก็ได้อธิบายถึงปมด้อยเชื้อชาติของยิวด้วย”







นักเรียนเยอรมันเรียนวิชาเผ่าพันธุ์ศึกษา (ปี 1935)



ทางด้าน Louis L.Snyder ได้เน้นย้ำ “แนวคิดพื้นฐานในระบบการศึกษามีอยู่ 2 อย่างด้วยกันในความคิดของฮิตเลอร์ก็คือ อย่างแรกจะต้องทำการบ่มเพาะให้เด็กเยาวชนรับรู้ถึงความเป็นเชื้อชาติเข้าที่รากหัวใจกับสมอง อย่างที่สองก็คือ เยาวชนจะต้องพร้อมที่จะทำการสู้รบในสงคราม โดยทำการศึกษาเกี่ยวกับชัยชนะหรือความตาย เป้าหมายการศึกษาก็คือ จะต้องปลูกฝังจิตสำนึกพลเมืองให้รู้ถึงความเจริญรุ่งเรืองของประเทศและปลูกฝังความคลั่งไคล้ในเรื่องความเป็นชาตินิยม”

รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย  Wilhelm Frick ได้กล่าวว่า แนวคิดในการสอนวิชาประวัติศาสตร์มีเป้าหมายก็คือ จะต้องปลูกฝังแนวคิดความเป็นเสรีนิยมแบบผิดๆ “เป้าหมายของวิชาประวัติศาสตร์ก็คือ จะต้องสอนให้ผู้คนรู้ว่า ชีวิตคือการต่อสู้ดิ้นรนจากอิทธิพลการครอบงำ ทั้งความเป็นเชื้อชาติกับสายเลือดคือศูนย์กลางทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบันและอนาคต และความเป็นผู้นำจะต้องถูกชี้ชะตาโดยประชาชน ประเด็นสำคัญก็คือจะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการสอนใหม่ ซึ่งประกอบไปด้วยความกล้าหาญในการสู้รบ การเสียเลือดเนื้อ การได้รับยอมรับจากผู้นำและศัตรูที่ประเทศเยอรมันให้ความเกลียดชัง และก็ชาวยิว”







เยาวชนชาวเยอรมันในโรงเรียนประถม (ปี 1939)



ฮิตเลอร์ได้แต่งตั้งให้ผู้ภักดีอย่าง Bernhard Rust เป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ ในอดีต Rust ตกงานจากอาชีพครูในปี 1930 หลังจากถูกกล่าวหาว่า มีความสัมพันธ์ทางเพศกับนักเรียน เขาก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองกับเรื่องนี้ เนื่องจาก “เขาเห็นถึงความไม่แน่นอนในชีวิต” หน้าที่ของ Rust ก็คือ ทำการปรับเปลี่ยนระบบการศึกษาโดยค่อยๆทำให้แนวคิดฟาสซิสต์เป็นที่ได้รับการยอมรับมากขึ้น

ที่โรงเรียนนั้น นักเรียนแต่ละคนก็ถูกปลูกฝังให้รักและเคารพในตัวอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ “เมื่อคุณครูได้เข้าห้องเรียนแล้ว นักเรียนทุกๆคนจะต้องยืนตรงและยกแขนขวาขึ้นมา แล้วคุณครูก็กล่าวว่า เพื่อชัยชนะของผู้นำ และนักเรียนก็จะตอบกลับแบบประสานเสียงกันว่า ไฮล์ (Heil!) 3 ครั้ง ทุกๆห้องเรียนก็จะเริ่มร้องเพลง ซึ่งผู้นำจะมีการติดรูปภาพใหญ่เอาไว้ที่กำแพงด้านหน้าของพวกเรา บทเพลงต่างๆมีการแต่งบทเพลงด้วยถ้อยคำที่สวยสดงดงาม และมีการเรียบเรียงเนื้อเพลงที่ทำให้พวกเรารู้สึกดีใจกับประเทศที่พวกเราได้อาศัยอยู่”







ภาพหน้าปกตำราหนังสือเรียนยุคนาซี โดยด้านล่างเขียนเอาไว้ว่า “ใครต้องการที่จะมีชีวิตเพื่อที่จะต่อสู้และใครก็ตามที่ปฎิเสธการต่อสู้บนโลกที่มีความท้าทายไม่รู้จักจบสิ้นก็ไม่สมควรที่จะดำรงชีวิตอยู่ต่อไป” (ปี 1940)



ตำราเรียนทั้งหมดได้ถูกกำจัดทิ้งไปก่อนที่จะตีพิมพ์ตำราเรียนใหม่โดยสะท้อนให้เห็นถึงอุดมคติของนาซี เนื้อหาตำราเรียนก็จะมีการเพิ่มเติมโดยคุณครูที่มีแนวคิดนาซีที่มีหลากหลายองค์กรภายในประเทศ ในช่วงเดือนมกราคม ปี 1934 มีการควบคุมโรงเรียนทุกๆแห่งให้นักเรียนศึกษาวิชาภาคบังคับก็คือ “จิตวิญญาณของความเป็นชนชาติสังคมนิยม” โดยเด็กเล็กก็จะต้องสวมเครื่องแบบนักเรียนแบบยุวชนฮิตเลอร์กับแบบสตรีเยอรมัน ที่กระดาษประกาศที่โรงเรียนก็จะมีการติดโปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อของนาซีและบ่อยครั้งคุณครูจะต้องอ่านบทความต่างๆที่เขียนโดย Julius Streicher ซึ่งเป็นผู้ที่ต่อต้านชาวยิว

ตำราเรียนทุกๆเล่มจะต้องมีใบหน้าของฮิตเลอร์พร้อมกับประโยคคำพูดด้านหน้าปก ทางด้าน Tomi Ungerer ได้กล่าวว่า ตำราเรียนของเขาทุกๆหน้าจะต้องคำพูดของผู้นำก็คือ “เรียนรู้ที่จะเสียสละเพื่อแผ่นดินปิตุภูมิของคุณ พวกเราจะต้องเดินไปข้างหน้า ประเทศเยอรมันจะต้องอยู่ต่อไป เชื้อชาติของคุณเป็นเชื้อชาติที่แข็งแกร่ง คุณจะต้องทำในสิ่งที่ถูกต้อง คุณจะต้องมีความกล้าและใจป้ำและคนอื่นๆก็จะกลายเป็นสหายที่ดีและเป็นสหายที่พิเศษสำหรับคุณ”








ภาพประกอบในการศึกษาหัวข้อเกี่ยวกับชาวยิว (ปี 1937)



Marianne Gartner นั้น เมื่อได้เข้าโรงเรียนเอกชนที่ Potsdam และสังเกตว่ามีอะไรเปลี่ยนไปมากหลังจากที่ฮิตเลอร์มีอำนาจ “กระโปรงของฉันจะต้องจัดระเบียบมากขึ้น พฤติกรรมของผู้ชายเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นจากการพูดถึงหนังสือเล่มใหม่ ทั้งมีบทเพลงใหม่ หลักสูตรใหม่ กฎเกณฑ์ใหม่ๆหรือระเบียบใหม่ และเมื่อมีการนำนโยบายชนชาติสังคมนิยมมาใช้ในระบบการศึกษา จะต้องรับภาระใช้จ่ายมากขึ้นทั้งจากหลักสูตรเพิ่มเติมเกี่ยวกับศาสนาหรือหลักสูตรอื่นๆ และมีการยัดเหยียดเพิ่มหลักสูตรการศึกษามากขึ้น ทำให้พวกเราต้องเรียนรู้อย่างรอบคอบมากขึ้นและก็เร่งเรียนรู้ปรับตัวให้มากขึ้น”

ในอัตชีวประวัติของเขาในหนังสือ A Childhood Under The Nazis (1998) Tomi Ungerer ก็ได้ให้ความเห็นว่า ตำราเรียนเล่มหนึ่งที่เขาใช้คำพูดต่อต้านชาวยิวก็คือ The Jewish Question In Education ซึ่งเป็นตำราชี้นำบ่งบอกความเป็นชาวยิว ซึ่งเขียนโดย Fritz Fink พร้อมกับมีบทนำโดย Julius Streicher โดยจะมีข้อความตอนหนึ่งก็คือ “ยิวมีจมูก ใบหู ริมฝีปาก คางและใบหน้าที่แตกต่างไปจากชาวเยอรมันโดยสิ้นเชิง” และ “พวกเขามีท่าทางการเดินที่ต่างกัน มีเท้าแบนราบ แขนของพวกเขาจะยาวและพวกเขาจะมีสำเนียงการพูดที่ต่างกัน”


นักเรียนบางคนก็เริ่มมีการตั้งคำถามว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าชาวยิวอยู่ในห้องเรียนนี้ ต่อมาทางด้าน Inge Scholl ก็จำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่เดินทางพร้อมกับนักเรียนหญิงก็คือ “พวกเราต้องการเดินทางไปพร้อมกับสหายของพวกเรากับนักเรียนชายและต้องการที่จะขึ้นภูเขาเพื่อดูดินแดนใหม่ๆก็คือที่ Swabian Jura พวกเราได้พยายามอยู่บ้านของพวกเราด้วยกัน ไปจนถึงฟังและอ่านหนังสือ ร้องเพลง เล่นเกมหรือทำงานฝีมือ พวกเขาได้บอกกับพวกเราว่า พวกเราจะต้องอุทิศชีวิตเพื่อสิ่งที่ดีกว่า คืนหนึ่งพวกเราก็ได้ชมดวงดาวบนท้องฟ้าหลังจากที่เดินทัวร์มานาน เพื่อนผู้หญิงอายุ 15 ปีได้กล่าวอย่างเงียบๆและแสดงถึงความเศร้าใจว่า ทุกๆอย่างจะต้องโอเค แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวยิวมีอะไรบางอย่างที่ฉันไม่สามารถรับได้ ทางด้านหัวหน้าของพวกเราก็รับรองได้ว่า ฮิตเลอร์รู้ดีว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ และทำคุณประโยชน์ให้กับพวกเราจนเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับและยากที่พวกเราจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ แต่นักเรียนหญิงก็ไม่พอใจกับคำตอบที่ได้รับนี้ ส่วนคนอื่นๆก็มองเด็กผู้หญิงและก็แสดงให้เห็นถึงแนวคิดทัศนคติที่สะท้อนให้เห็นถึงการคบค้าสมาคม พวกเราได้ใช้เวลาพักผ่อนน้อยมากในเต้นท์ แต่หลังจากนั้นพวกเราก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าและวันต่อมาก็รู้สึกตื้นตันใจกับประสบการณ์ที่ได้รับใหม่นี้”


คุณครูในยุคนาซีเยอรมัน


ในปี 1933 คุณครูที่เป็นชาวยิวทุกคนถูกปลดออกจากตำแหน่งครูสอนหนังสือและตามมหาลัยต่างๆ ทางด้าน Bernhard Rust ได้อธิบายถึงเหตุผลในการตัดสินใจที่จะปลดคุณครูชาวยิวก็คือ “จากข้อสรุปโดยยึดหลักกฎหมายของ Nuremberg นั้น ทั้งคุณครูชาวยิวกับนักเรียนชาวยิวจะต้องออกจากโรงเรียนเยอรมัน และโรงเรียนของพวกเขาที่กำลังเรียนอยู่เท่าที่จะเป็นไปได้ ในแนวทางนี้ สัญชาตญาณของเด็กชายกับเด็กหญิงชาวเยอรมันเริ่มที่จะตระหนักถึงความเป็นเชื้อชาติตัวเองโดยธรรมชาติมากขึ้น และคนหนุ่มสาวก็เริ่มตระหนักถึงหน้าที่ที่จะต้องทำให้เชื้อชาติตัวเองบริสุทธิ์ผุดผ่องขึ้นมาและเป็นมรดกตกทอดให้กับคนรุ่นหลัง”

วันแรกที่เข้าเรียน Elsbeth Emmerich ก็ได้ให้ดอกไม้กับคุณครูของเธอ อย่างไรก็ตามคุณครูของเธอ Frau Brosig ก็ไม่รู้สึกประทับใจ “… เอาดอกไม้พวกนี้ไปทิ้งขยะไปซะ สิ่งหนึ่งที่เธอทำได้ก็คือ ทำไฮล์ ฮิตเลอร์! ทุกๆวันพวกเราจะต้องทักทายแบบนี้กับเธอ และคนอื่นๆที่โตกว่าก็จะต้องทักทายแบบนี้ ฉันเองก็เคยทักทายแบบนี้ แต่มันเป็นเรื่องที่ฉันอับอายมาก วันหนึ่งตอนที่ฉันอยู่ในโรงเรียน ฉันก็กำลังยุ่งอยู่กับการซื้อของที่ร้านค้าโดยที่ไม่ได้ทำการทักทาย คิดว่าจะไม่มีใครสังเกต แต่ทางด้านผู้ช่วยที่ดูแลร้านก็ได้เข้าหาฉันทันที แล้วก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่โกรธว่า “นี่เธอไม่รู้เหรอว่าคนเยอรมันเขาทักทายกันยังไง? เธอเดินออกไปและก็ลองกลับเข้ามาที่ร้านใหม่อีกทีนึงซิ แล้วก็ทำการทักทายให้ถูกระเบียบหน่อย ฉันรู้สึกอับอายขายหน้ามากกับเรื่องที่ฉันจะต้องยกแขนและกล่าวคำว่า ไฮล์ ฮิตเลอร์! ด้วยน้ำเสียงอันดัง จากนั้นเธอก็เริ่มบอกกับคนอื่นให้รับรู้ด้วยน้ำเสียงอันดังเกี่ยวกับพฤติกรรมแย่ๆของเด็กทุกวันนี้”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่