ตามหัวข้อกระทู้เลยนะครับ
คือหลังจากเรียนเรื่องวิวัฒนาการมาแล้วเนี่ย เมื่อเร็วๆนี้ผมกับเพื่อนก็ได้มานั่งถกกันเรื่องแนวคิดสองอย่างนี้กันอีกครั้ง (ระลึกความหลัง 5555)
อันแรกก็คือ
Law of use & disuse ของ Lamarck
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ แนวคิดของลามาร์กประเด็นแรกกล่าวว่า สิ่งมีชีวิตมีแนวโน้มที่จะพัฒนาไปมีความซับซ้อนมากขึ้นและสิ่งมีชีวิตมีความพยายามที่จะอยู่รอดในธรรมชาติซึ่งจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงด้านสรีระไปในทิศทางนั้น “หากอวัยวะใดที่มีการใช้งานมากในการดำรงชีวิตจะมีขนาดใหญ่ ส่วนอวัยวะใดที่ไม่ใช้จะค่อยๆลดขนาดและอ่อนแอลง และเสื่อมไปในที่สุด”
แนวคิดดังกล่าวนี้ เรียกว่า กฎการใช้และไม่ใช้ (Law of use and disuse)
ประเด็นที่สองมีความเกี่ยวเนื่องต่อจากประเด็นแรกที่ว่า “การเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นจากการใช้และไม่ใช้นั้นจะคงอยู่ได้ และสิ่งมีชีวิตสามารถถ่ายทอดลักษณะที่เกิดใหม่นี้ไปสู่รุ่นลูกได้” แนวคิดดังกล่าว เรียกว่า กฎแห่งการถ่ายทอดลักษณะที่ได้มาขณะมีชีวิตอยู่ (Law of inheritance of acquired characteristic)
(*ทฤษฎีที่ 2 ผิด เพราะพิสูจน์แล้วว่าลักษณะทางพันธุกรรมถ่ายทอดทางเซลล์สืบพันธุ์ไม่ใช่เซลล์ร่างกาย)
***เพราะงั้นในหัวข้อนี้ผมจะขอพูดถึงแค่ Law of use & disuse นะครับ
และ
Natural selection ของ Darwin
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ 1. สิ่งมีชีวิตย่อมมีลักษณะที่แตกต่างกันบ้างเล็กน้อยในสปีชีส์เดียวกัน เรียกความแตกต่างนี้ว่า การแปรผัน (variation)
2. สิ่งมีชีวิตมีจำนวนประชากรแต่ละสปีชีส์ในแต่ละรุ่นจำนวนเกือบคงที่ เพราะมีสิ่งมีชีวิตจำนวนหนึ่งตายไป
3. สิ่งมีชีวิตต้องมีการต่อสู้เพื่อความอยู่รอด หากลักษณะที่แปรผันของสิ่งมีชีวิตนั้นเหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม สิ่งมีชีวิตนั้นจะสามารถดำรงชีวิตอยู่และถ่ายทอดลักษณะดังกล่าวไปยังลูกหลาน
4. สิ่งมีชีวิตตัวที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่สุดจะอยู่รอด และสามารถดำรงเผ่าพันธุ์ไว้ ทำให้เกิดความแตกต่างไปจากสปีชีส์เดิมมากขึ้นจนในที่สุดเกิดสิ่งมีชีวิตสปีชีส์ใหม่
โดยเขาบอกว่า ปัจจุบันทฤษฎีของ Lamarck ไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่า N.s. ของ Darwin
https://paocmc.files.wordpress.com/2011/12/22543_484791300112_419219510112_11302828_931935_n.jpg
(โทษทีครับแนบรูปไม่ได้ 555)
สำหรับรูปนี้จะเป็นการอธิบายความแตกต่างของสองทฤษฎีนี้โดยใช้กรณีของยีราฟนะครับ
โดยตามที่ผมเข้าใจนะครับ (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะถูกรึเปล่า 5555) ก็คือ
Lamarck: มียีราฟแบบเดียวตั้งแต่แรก >>> พยายามยืดคอเพื่อกินอาหาร >>> ยีราฟคอยาว
Darwin: ยีราฟมีหลายแบบตามการแปรผันทางพันธุกรรม >>> ตัวคอยาวกินอาหารได้ คอสั้นกินไม่ถึง >>> คอสั้นอาจตายหมดแล้วหรือย้ายถิ่น เลยเหลือแค่ตัวคอยาว
ทีนี้จุดที่ผมสงสัยก็คือ
1. ที่บอกว่ายีราฟมีความแปรผันทางพันธุกรรมตั้งแต่แรกนี่ ถ้าเทียบกับคนก็คือสูง ต่ำ ดำ ขาว อะไรแบบนี้ใช่มั้ยครับ?
แล้วทำไมมันถึงมีความแปรผันแบบนี้เกิดขึ้นครับ? และความแปรผันนี้ถือว่าเกิดจาก Law of use & disuse ได้หรือไม่ครับ?
(เช่นคน Caucasoid อยู่ยุโรปมีผิวอ่อน ส่วนคน Nigroid อยู่ที่แอฟริกามีผิวเข้ม เพราะคน Nigroid มีความต้องการ Melanin มากกว่ารึเปล่า)
2. ยีราฟตัวที่ไม่เหมาะสม(คอสั้น ขาสั้น)ในทฤษฎีของ Darwin ในรุ่นลูกรุ่นหลานมีสิทธิ์ออกกำลังกายคอไปเรื่อยๆเพื่อเพิ่มความยาวคอแบบทฤษฎีของ Lamarck ได้หรือไม่ครับ? (ไม่นับการผสมพันธุ์กับตัวคอยาวนะครับ)
3. จากข้อ 2 กรณีเดียวกันในคน ถ้าคนที่ตัวเล็ก(มาจากครอบครัวตัวเล็กด้วย) เขาเริ่มกินนม เล่นบาส โหนบาร์ โดยเริ่มตั้งแต่รุ่นปัจจุบันไปรุ่นลูกรุ่นหลานไปเรื่อยๆ ตระกูลนี้จะมีโอกาสที่จะมีความสูงเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมั้ยครับ? (หรือจะตัวเล็กไปตลอด)
4. แล้วการวิวัฒนาการแบบลดลง เช่น ลิง >>> ลิงไร้หาง >>> คน นี่มันเกิดจากการที่เราไม่ได้ใช้หางหรือเปล่าครับ ถ้าใช่ แสดงว่ากฎการใช้ไม่ใช้ก็มีส่วนถูกรึเปล่า?
5. จาก
http://schoolbag.info/biology/living/living.files/image837.jpg
จะเห็นว่าสมองแต่ละส่วนจะมีอัตราส่วนแตกต่างกันไปใน สมช แต่ละชนิด เช่นคนต้องใช้เหตุผลและการคิด สมองส่วนหน้าเลยมีขนาดใหญ่
แบบนี้นับเป็น Law of use & disuse มั้ยครับ?
6. นกฟินช์ที่กาลาปากอส การที่ปากนกมันเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมบนแต่ละเกาะนี่เกิดจากกระบวนการอะไรครับ ทำไมมันเปลี่ยนไปได้?
http://www.pre-tend.com/wp-content/uploads/2015/03/galapagos-darwin-finches.jpg
7. ที่ผมสงสัยอีกอย่างนึงก็คือ กระบวนการอะไรกันที่ทำให้สิ่งมีชีวิตมันแตกต่างและพัฒนาแตกแขนงต่อไปเรื่อยๆเป็น Cladogram แบบนี้?
http://357163546355864778.weebly.com/uploads/9/7/5/7/9757668/471990786_orig.jpg
คือจะว่าไงดีล่ะครับ 5555 แบบว่า พอมัน Selection แล้วมันไปทำยังไงต่ออ่ะครับมันถึงแตกเป็น Species ใหม่ Phylum ใหม่แบบนี้?
(กฎการใช้ไม่ใช้(อีกแล้ว 555) มีความเกี่ยวข้องด้วยรึเปล่า? และถ้ามันไม่เกี่ยวแล้วมันใช้กระบวนการอะไร?)
8. สรุปจากข้อที่ผ่านมานะครับ "กฎของการใช้และไม่ใช้" ทำไมไม่ได้รับความนิยมและมันมีส่วนถูกหรือไม่ครับ?
(เพราะผมเข้าใจว่า การที่ไม่ได้รับความนิยม คือคิดว่าทฤษฎีนี้ผิดหรือไม่สามารถอธิบายหลักการบางอย่างได้ แต่ผมอยากรู้ว่ามันจะมีส่วนถูกบ้างหรือเปล่าอ่ะครับ 5555)
คือตามที่ผมเข้าใจนะครับ Natural Selection มันคือการหา The Face เอ้ย! The survivor 55555 ซึ่งก็คือผู้ที่อยู่รอดได้ดีที่สุดในสภาพแวดล้อมนั้นๆ แต่ผู้ที่ไม่รอดก็อาจไปเจริญได้ดิบได้ดีในพื้นที่อื่น แต่ Law of use & disuse มันคือการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามการใช้งาน (9. อันนี้ผมเข้าใจถูกมั้ยครับ? 555)
.
.
.
10. หรือทั้งสองทฤษฎีของ Lamarck จะมาแบบแพ็คคู่... เพราะงั้นเมื่อทฤษฎีที่ 2 ผิด ก็เลยถือว่าผิดไปด้วยกันเลยครับ?
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้(เป็นความเข้าใจอีกแบบนึงของผมที่ว่า กฎการใช้ไม่ใช้อาจจะพูดถึงแค่การเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตภายในรุ่นเดียว(ไม่ได้พูดถึงรวมๆ) แล้วทุกอย่างที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในรุ่นนั้น(ซึ่งไม่ได้เปลี่ยนแปลงในระดับ gene)ก็จะถูกส่งไปยังรุ่นลูกต่อไป(ทฤษฎีที่ 2 ของ Lamarck ซึ่งผิด) ทฤษฎีนี้เลยใช้ได้แค่ในระดับ individual(คิดเป็นตัวๆไป) หรืออาจใช้ไม่ได้เลย หรือเปล่าครับ?)
และ 11. ช่วยสรุปหัวใจหลักๆของเรื่องนี้ให้หน่อยได้มั้ยครับ เผื่อผมและคนที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้มาอ่านจะได้เข้าใจง่ายขึ้น T^T
วานผู้รู้ช่วยชี้ทางสว่างให้กับผมด้วยนะครับ เก็บความสงสัยนี้ไว้กับตัวเองมา 2 ปีแล้ว ;___; 5555 และผมเชื่อว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์ให้กับอีกหลายๆคนที่สนใจและกำลังสงสัยในเรื่องนี้อย่างแน่นอนครับ
ขอบคุณทุกท่านที่มาให้ความรู้ไว้ล่วงหน้าเลยนะคร้าบบ^^
(*กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผม ถ้ามันวกไปวนมาหรืออ่านยากตรงไหนก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ผมเรียบเรียงคำไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ แหะๆ)
[Evolution] Law of use & disuse ปะทะ Natural selection!!!
คือหลังจากเรียนเรื่องวิวัฒนาการมาแล้วเนี่ย เมื่อเร็วๆนี้ผมกับเพื่อนก็ได้มานั่งถกกันเรื่องแนวคิดสองอย่างนี้กันอีกครั้ง (ระลึกความหลัง 5555)
อันแรกก็คือ Law of use & disuse ของ Lamarck
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
และ Natural selection ของ Darwin
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
โดยเขาบอกว่า ปัจจุบันทฤษฎีของ Lamarck ไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่า N.s. ของ Darwin
https://paocmc.files.wordpress.com/2011/12/22543_484791300112_419219510112_11302828_931935_n.jpg
(โทษทีครับแนบรูปไม่ได้ 555)
สำหรับรูปนี้จะเป็นการอธิบายความแตกต่างของสองทฤษฎีนี้โดยใช้กรณีของยีราฟนะครับ
โดยตามที่ผมเข้าใจนะครับ (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะถูกรึเปล่า 5555) ก็คือ
Lamarck: มียีราฟแบบเดียวตั้งแต่แรก >>> พยายามยืดคอเพื่อกินอาหาร >>> ยีราฟคอยาว
Darwin: ยีราฟมีหลายแบบตามการแปรผันทางพันธุกรรม >>> ตัวคอยาวกินอาหารได้ คอสั้นกินไม่ถึง >>> คอสั้นอาจตายหมดแล้วหรือย้ายถิ่น เลยเหลือแค่ตัวคอยาว
ทีนี้จุดที่ผมสงสัยก็คือ
1. ที่บอกว่ายีราฟมีความแปรผันทางพันธุกรรมตั้งแต่แรกนี่ ถ้าเทียบกับคนก็คือสูง ต่ำ ดำ ขาว อะไรแบบนี้ใช่มั้ยครับ?
แล้วทำไมมันถึงมีความแปรผันแบบนี้เกิดขึ้นครับ? และความแปรผันนี้ถือว่าเกิดจาก Law of use & disuse ได้หรือไม่ครับ?
(เช่นคน Caucasoid อยู่ยุโรปมีผิวอ่อน ส่วนคน Nigroid อยู่ที่แอฟริกามีผิวเข้ม เพราะคน Nigroid มีความต้องการ Melanin มากกว่ารึเปล่า)
2. ยีราฟตัวที่ไม่เหมาะสม(คอสั้น ขาสั้น)ในทฤษฎีของ Darwin ในรุ่นลูกรุ่นหลานมีสิทธิ์ออกกำลังกายคอไปเรื่อยๆเพื่อเพิ่มความยาวคอแบบทฤษฎีของ Lamarck ได้หรือไม่ครับ? (ไม่นับการผสมพันธุ์กับตัวคอยาวนะครับ)
3. จากข้อ 2 กรณีเดียวกันในคน ถ้าคนที่ตัวเล็ก(มาจากครอบครัวตัวเล็กด้วย) เขาเริ่มกินนม เล่นบาส โหนบาร์ โดยเริ่มตั้งแต่รุ่นปัจจุบันไปรุ่นลูกรุ่นหลานไปเรื่อยๆ ตระกูลนี้จะมีโอกาสที่จะมีความสูงเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมั้ยครับ? (หรือจะตัวเล็กไปตลอด)
4. แล้วการวิวัฒนาการแบบลดลง เช่น ลิง >>> ลิงไร้หาง >>> คน นี่มันเกิดจากการที่เราไม่ได้ใช้หางหรือเปล่าครับ ถ้าใช่ แสดงว่ากฎการใช้ไม่ใช้ก็มีส่วนถูกรึเปล่า?
5. จาก http://schoolbag.info/biology/living/living.files/image837.jpg
จะเห็นว่าสมองแต่ละส่วนจะมีอัตราส่วนแตกต่างกันไปใน สมช แต่ละชนิด เช่นคนต้องใช้เหตุผลและการคิด สมองส่วนหน้าเลยมีขนาดใหญ่
แบบนี้นับเป็น Law of use & disuse มั้ยครับ?
6. นกฟินช์ที่กาลาปากอส การที่ปากนกมันเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมบนแต่ละเกาะนี่เกิดจากกระบวนการอะไรครับ ทำไมมันเปลี่ยนไปได้?
http://www.pre-tend.com/wp-content/uploads/2015/03/galapagos-darwin-finches.jpg
7. ที่ผมสงสัยอีกอย่างนึงก็คือ กระบวนการอะไรกันที่ทำให้สิ่งมีชีวิตมันแตกต่างและพัฒนาแตกแขนงต่อไปเรื่อยๆเป็น Cladogram แบบนี้?
http://357163546355864778.weebly.com/uploads/9/7/5/7/9757668/471990786_orig.jpg
คือจะว่าไงดีล่ะครับ 5555 แบบว่า พอมัน Selection แล้วมันไปทำยังไงต่ออ่ะครับมันถึงแตกเป็น Species ใหม่ Phylum ใหม่แบบนี้?
(กฎการใช้ไม่ใช้(อีกแล้ว 555) มีความเกี่ยวข้องด้วยรึเปล่า? และถ้ามันไม่เกี่ยวแล้วมันใช้กระบวนการอะไร?)
8. สรุปจากข้อที่ผ่านมานะครับ "กฎของการใช้และไม่ใช้" ทำไมไม่ได้รับความนิยมและมันมีส่วนถูกหรือไม่ครับ?
(เพราะผมเข้าใจว่า การที่ไม่ได้รับความนิยม คือคิดว่าทฤษฎีนี้ผิดหรือไม่สามารถอธิบายหลักการบางอย่างได้ แต่ผมอยากรู้ว่ามันจะมีส่วนถูกบ้างหรือเปล่าอ่ะครับ 5555)
คือตามที่ผมเข้าใจนะครับ Natural Selection มันคือการหา The Face เอ้ย! The survivor 55555 ซึ่งก็คือผู้ที่อยู่รอดได้ดีที่สุดในสภาพแวดล้อมนั้นๆ แต่ผู้ที่ไม่รอดก็อาจไปเจริญได้ดิบได้ดีในพื้นที่อื่น แต่ Law of use & disuse มันคือการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามการใช้งาน (9. อันนี้ผมเข้าใจถูกมั้ยครับ? 555)
.
.
.
10. หรือทั้งสองทฤษฎีของ Lamarck จะมาแบบแพ็คคู่... เพราะงั้นเมื่อทฤษฎีที่ 2 ผิด ก็เลยถือว่าผิดไปด้วยกันเลยครับ?
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
และ 11. ช่วยสรุปหัวใจหลักๆของเรื่องนี้ให้หน่อยได้มั้ยครับ เผื่อผมและคนที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้มาอ่านจะได้เข้าใจง่ายขึ้น T^T
วานผู้รู้ช่วยชี้ทางสว่างให้กับผมด้วยนะครับ เก็บความสงสัยนี้ไว้กับตัวเองมา 2 ปีแล้ว ;___; 5555 และผมเชื่อว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์ให้กับอีกหลายๆคนที่สนใจและกำลังสงสัยในเรื่องนี้อย่างแน่นอนครับ
ขอบคุณทุกท่านที่มาให้ความรู้ไว้ล่วงหน้าเลยนะคร้าบบ^^
(*กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผม ถ้ามันวกไปวนมาหรืออ่านยากตรงไหนก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ผมเรียบเรียงคำไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ แหะๆ)