ผู้หญิงแบกเป้ไป " เลาะ " เมืองอุบล

ก่อนอื่นเลย เราต้องบอก ว่า " เลาะ " ภาษาอีสานบ้านเฮา แปลว่า "เดินเที่ยว ไปเรื่อยๆ" แหละมันก็ต้องบอกเลยว่า การเดินทาง คราวนี้ มันสนุกตามท้องเรื่องจริงๅ สนุกแบบไร้พรหมแดน
   เราวางแพลนกันมาสัก ระยะว่า เราจะไป เลาะ เที่ยวเมืองอุบล แต่ไม่รู้ว่าจะไปอย่างไรดี เราเลยเริ่ม ค้นหาคำว่า " ที่เที่ยว เมืองอุบล " แหละเรา ก็ต้องเจอตามคอนเซ็ปเลย นั่นก็คือ สามพันโบก ลองลงมาเรื่อยๆ ก็เป็นวันวัฒนธรรมของชาวอุบล ตบท้ายกันด้วยของกินเมืองอุบล
   ........แหละเราก็ เริ่มหาเพื่อนออกเดินทาง.....
ทริปนี้เราได้เพื่อนเดินทางมา ทั้งหมด 4 คน แหละพร้อมที่จะเตรียมลุยกันแล้ว เราจึงเริ่มจองตั๋ว... จาก ดอนเมือง - อุบล  เวลา 07 : 45 - 09 : 10 น
เวลากำลังดีเลยใช่ไหมละ...!!!

   เมื่อเรามาถึงอุบล เราได้เช่ารถไว้หนึ่งคันเพื่อพาเลาะ เราหาข้อมูลกันมาอย่างเต็มที่ ทั้งแผนที่ อ๋อ..!!! แหละลืมที่สำคัญ เรามีเพื่อนร่วมทาง เป็นคนอุบล เราเลยโล่งใจกันไปนิด....
     เเหละเป้าหมายแรก ของการเดินทาง นั่นก็คือ "  สามพันโบก แก่งหินขนาดใหญ่ในลำน้ำโขง " ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง นิดๆ เพื่อจะไปถึง  อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี   
     I'm ready to go ....

  กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ไม่งั้นตายแน่เลย
เราแวะทานก๋วยจั๊บญวน เมืองอุบล หัวใจหลักของมันคือ " หมูยอ " ที่ทำอร่อยเป็นที่ล้ำลือกันมานาน ว่าใครได้กินต้องบอกต่อ ว่าเเซ่บอีหลีคร้า ตบท้ายด้วยเส้น นุ่มๆ ที่ทางร้านแต่ละร้าน ได้ทำเอง นวดเอง เส้นสดๆ  แหละที่สำคัญ มันเข้ากันได้ดี อยากบอกต่อกันเลย....!!! ใครไปอุบล อย่าลืม แวะชิมกันนะ เดียวจะไม่มาถึงอุบล
           อิ่มแหละ  ท้องตึง หนังตาหย่อน ตามคอนเซ็ปต์ แต่....!!! นอนบ่ได้ ต้องเดินทางกันต่อ
เราขับรถไปเรื่อยๆ ผ่านอำเภอ ตระการพืชผล เข้า อำเภอโพธิ์ไทร เราก็ต้องแวะรับเพื่อนร่วมทางอีกคน ที่กล่าวไว้ข้างต้น  เพื่อนนำทางเราไป แหละไปตากแดดด้วยกันเลย...
      แหละแล้ว เราก็มาถึง " แก่งสามพันโบก "
12 . 00 น เราถึงที่หมายตามเเผน ช่วงเวาแดดลงหัวพอดี กับหินที่ระอุ ในช่วงที่สภาพอากาศร้อนมากของเมืองไทย เท่าที่วัดกันได้ในเวลานี้ อยู่ 42 องศา ในเวลานี้มันร้อนเกินคำบรรยาย แต่หากอยากได้ความงามของที่นี้ ต้องมาหน้าร้อน น้ำจะลดลง แหละแอ่งหินจะปรากฎให้เราเห็นอย่างชัดเจน
แก่งหินที่อยู่ใต้ลำน้ำโขง เนื่องจากในช่วงฤดูน้ำหลากแก่งหินดังกล่าวจะจมอยู่ใต้น้ำ ด้วยแรงของกระแสน้ำวนกัดเซาะ ทำให้แก่งหินกลายเป็นแอ่งเล็กใหญ่ จำนวนมากกว่า 3,000 แอ่ง หรือ 3 พันโบก แต่เท่าที่ปรากฎสายตาพวกเราตรงหน้า น่าจะมากกว่าสามพันเลยก็ว่าได้
    เราเริ่ม ลงแก่งในเวลานี้ 12 . 30  เพราะเวลาเรากระชับมาก " โหดไปนิด แต่เรามาแล้ว เราต้องลุย "
   เราขึ้นรถกระบะ เพื่อลงแก่ง ตกคนละ 20 บาท ถือว่าราคาไม่มาก เพราะระยะทางก็สมราคา หากเอารถลงไป เองต้องเป็นกะบะเท่านั้น
เมื่อเราไปถึง ก็ยืน ทำเทห์ท่ามกลาง อากาศที่ดครตจะร้อน ไอร้อนระอุขึ้นจนเห็นได้ชัด ก่อนจะไปติดต่อเรือเพื่อท่องมนต์เสนห์ แม่น้ำโขง... ในราคา 1000 บาท แต่ก้มีอีกราคา ที่ไปไม่กี่เกาะ อยู่ในรา 500 บาท
     เราเลือกราคาแลก เพื่อเก็บให้หมด ทุกเกาะ  พร้อมลงเรือก็ลุยกันต่อเลย....

    ไหลสู่แม่โขง ประสานกระแส
เหมือนดังดวงใจฮักแน่
ของสาวและหนุ่มรุ่มร้อนผูกพัน
บ่เคยเสื่อมสิ้นมนต์ขลัง
สร้างทั้งความฮักความหวัง
ณ ริมสองฝั่งแม่มาเนิ่นนาน
      ร้องเพลง ขับสู้แดด อารมณ์ดี ตามกระแสน้ำที่ไหลผ่าน ก่อนขึ้นไปผาวัดใจ ที่ใครๆ ก็ต้องขาสั่น แต่พี่ตูน ก็มาแตะขอบฟ้ากันที่นี่ ไหนก็วัดใจกันแล้ว เราก็จัดไปกันสักหน่อย


   ออกไปแตะขอบฟ้า กนเลยใช่ไหมละ แต่อย่าพลาดเชียว.... มันจะลงไปสวัสดี แม่น้ำโขงด้านล่าง

      อากาศร้อน เสียจริง แม่สาวน้อย ไปโดดน้ำ แก้ร้อนกัน.....ตูมๆ


     เคา่ากันว่า ที่แห่งนี้ หาดสลึง เป็นหาดทรายริมฝั่งแม่น้ำมูล ในฤดูแล้ง ประมาณมกราคม-มิถุนายน เมื่อน้ำในแม่น้ำโขงลดระดับลง จะมีหาดทรายที่สวยงาม เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจเป็นอย่างยิ่ง. ที่เหมือน ซาปา ในเวียงนาม  เป็นทะเลทรายขาว ทุกรีวิวสร้างความอยากเห็นให้กับการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่น้อย แต่มีใครบอกไหม มาเวลานี้ ซาปา มันร้อนนะyou




   ล่องเรือ มาหารักสักคน .... แดดแรงจริง






   ทำเทห์ ก่อนลงมาเพื่อ ค่ำคืนนี้ เราต้องหาที่พักกันต่อ

เราใช้เวลากับการเดินทาง คร้งนี้ 4 ชั่วโมง ในระหว่างทาง นอกจากความร้อนแล้วมันก็ต้องมีความงดงามของแก่งต่างๆ ตามรูปร่าง หรือลักษณะแก่งหินดังกล่าวก็จะโผล่พ้นน้ำคล้ายภูเขากลางลำน้ำโขง จนชาวบ้านเรียกว่า แกรนแคนยอนน้ำโขง วิถีชาวบ้าน การจับปลาตามริมแม่ น้ำ บวกกับมิตรภาพจากเพื่อนร่วมทาง บนทางลำน้ำโขง จะว่าไป หลายครั้งการเดินทางแต่ละที่ ไม่ได้มีแค่คำว่าท่องเที่ยว หรือการพิชิต แต่ใจเรารักที่จะเรียกรู้ความเป็นอยู้ ผู้คน แหละมุมมองต่างๆ ของแต่ละที่  ก่อนจะไปที่ต่อที่ถัดไป เราต้องบอกได้เลยว่า " ความสวยของแก่ง คือธรรมชาติ แหละเสนห์รอยยิ้ม ชาวเรือ"
     เราเดินทางเพื่อไปทานอาหาร หมูบ้านหนึ่ง หากไม่ใช่คนพื้นที่ คงต้องหลงทางแน่ๆ เพราะที่นี้เคาเรียก " มัสดีฟอีสาน  " ที่ขึ้นชื่อเรื่องบรรยายกาศ อาหาร แหละ หาดทรายขาว




  ควาำ ท่ามกลางแม่น้ำจบลงพร้อมกับดวงอาทิตย์ลาพ้นขอบฟ้า แล้วคืนนี้ เราจะนอนไหน.....
... นั้นเป็นคำถามของเพื่อนรวมทาง ก่อนสตาร์รถ พร้อมกับหาที่พักในมือถือ เราตัดสิ้นใจ นอนกันก่อนจะเข้าเมือง เพื่อนทำเวลา ในวันรุ่งเช้า เราจะได้ไม่ค้องรีบ  คืนนี้ เราเลยได้ ที่นอนถูกใจ ในราคา 900 บาท สบายสุดๆ ตำแต่งเอาใจขาเดินทางชะมัด การบริการดีเริด



    เราพักค้างงกันที่ โรงเเรมหนึ่งคืน ก่อนออกเดินทาง บรรยายกาศที่นี้อบอวลไปด้วยอารมณ์ศิลปิน ที่ให้ความอิสระ ส่วนใหย่ชาวต่างชาติ จะให้ความสนใจมาก ในเรื่องของความเป็นมิตรภาพของเจ้าของโรงแรม ด้านหน้าของเคารืเตอร์โรงแรม จะเต็มไปด้วยของฝากที่ทางโรงแรมทำขึ้น อุบลบ้าง  กาแนกาแฟ อาหาร ที่คอยให้บริการกัน 24 ชม. ร้านอบอุ่นเสียจริง ราวกับว่า อยู่บ้าน
       เรานั่งดื่มที่บาร์กันสักพักก่อนจะแยกย้ายไปนอน หัวลงหมอน ก็หลับกันแล้ว  ช่วงเวลานี้ใครก็ไม่สน ผจญภัยกันมาทั้งวัน เสียหัวเราะ บวกกับหมอรำ ที่ประสาทตลอดทาง มันทำให้เรารู้ว่า มันไม่เสียดายกับวันนี้ที่ได้มา อุบล.... จิบเบียรลาว แล้วนอนกันเถอะ ก่อนที่มันจะดึกไปกว่า เสียงเพียงกล่าว ก่อนจะเข้าเฝ้าพระอินทร์ ฮ่าๆๆๆ
   เช้าแล้ว เสียงไก่ ร้องลั่นป่าด้านหลัง โรงแรม เปิดมาอีกที ก็สว่างจ้าดวะเเล้ว มันเป็นเมืองที่เห้นพระอาทิตย์ก่อนใครซะจริง ก่อนสะบัดตูด แล้วไปอาบน้ำ... เตรียมออกไปหา อะไรรองท้องกัน  ยิ้มหัวใจ
      เราจัดกระเป๋ากัน เสร็จ หาแผนที่การเดินทางเที่ยวในอุบลต่อ ด้วยการไปนั่งอุดหนุนกาแฟ สักแก้ว ขนมปังสักชิ้น แล้วถามหาที่เที่ยว ไม่ห่างจากที่เราพักมาก เพราะอีก 4 ชม. เราต้องกลับไปนั่งรอ เครื่องกลับ กทม....
    : สวัสดียามเช้า ครับ...!!! เสียงเจ้าของ โรงแรมพู ก่อนไปเติมน้ำร้อนให้กาต้มน้ำ แล้วพูดต่อว่า ทำทานตามสบายเลยนะครับ วันนี้ไปเที่ยวไหนกัน พร้อมกับแนะนำ สถานที่ ให้พวกเราได้ ชะลอเวลา ที่ต้องนั่งเชยๆ ที่สนามบิน
   : มีที่ไหน น่าสนไหมค่ะ พวกเราอยากได้ไม่ไกล มาก แต่สวยหน่อย ...? แล้วไปหยิบ อาหารมาฟาด แบบนัวๆ




    เราทานไปคุยไป เจ้าของร้านเอง ก็น่ารักมาก แนะนำเที่ยว ที่กินเจ้าดัง ให้กับพวกเรา สรุปแล้ว เราก็ไปที่ แอ่งน้ำสีฟ้าแลนด์มาร์คใหม่ 'แกรนด์แคนยอนบ้านหนองไหล...
     เรามาถึงที่แกรนด์แคนยอน ช่วง 8.30 อากาศไม่ร้อนมาก แต่ที่เราต้องเสี่ยงนั้นก็คือ น้ำไม่มี กับ น้ำสีหมองแล้ว เพราะก่อนหน้าที่เราจะา ฝนเท่ลงมา จนแทบมองไม่เห้นทาง ความหวังเรามีมาก เพราะ เราก็อยากเห็นกับตาว่า " น้ำสีฟ้า ที่เคาล้ำลือนั่น มันมีจริง" เมื่อมาถึง สภาพที่เห็น ก็แก้มปริ










     เวลานี้ มันถ่ายภาพเป็นดีเยี่ยม.... น้ำนี้เกิดจากเเร่ธาตุมรกต ที่ขุดหน้าดิน พื้นที่เป็นดินเหนียว เท่าที่สอบถามชาวบ้าน ว่าที่นี้เคนเป็นที่เปล่า พอมีรถมาเอาดินเรื่อยๆ จึงเกิดปรากฏการณ์เหล่านี้ขึ้น " ถือว่าเรามาไม่ผิดหวัง เพราะมันไม่ได้มีตลอด แค่ช่วงบางช่วงเท่านั้น" เราใช้เวลาอยู่นี้ไม่นานนนักก่อนจะโบกมือลา แล้วขับรถเข้าเมืองไปหาอะไร ฟาดปากกันสักหน่อย  
       เราก็พบของฟาดปากสักที ..... เห็นผู้คนจำนวนมาก ยื่นออกันหน้าร้าน เราคาดว่า น่าจะอร่อยเเน่ เตรียมจอดรถ แล้วลุยกันดี กว่า อยากรู้ซะแล้ว...
1.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่