สวัสดีครับ เบสท์เองครับ ที่ปกติมักจะสิงอยู่แต่กับห้องก้นครัวนั่นแหล่ะครับ
เห็นชื่อกระทู้แล้วไม่ต้องตกใจนะครับว่าเราไปโชว์โง่อะไรมา
ก็คืออยากจะมาแชร์ประสบการณ์อันป้ำๆ เป๋อ ของเรา กับทริปล่าสุดของเราที่เชียงใหม่นี่แหล่ะครับ
ตามเดิมเรามีแพลนว่า เราจะรีวิวทริป 1 คน 4 วัน กับเงิน 3 พันบาท ณ เชียงใหม่ ตามปกตินั่นแหล่ะครับ
แต่เนื่องด้วยเหตุการณ์หลายๆ อย่างของทริปนี้ มันไม่สมควรที่จะเป็นแบบอย่างที่ดีของใครเท่าไหร่หรอกครับ
ก็ถือซะว่า เหมือนเรามานั่งดูหนังสั้นคลายเครียดเรื่องหนึ่งที่สร้างมาจากชีวิตจริงของผมก็แล้วกันนะครับ
รูปทั้งหมด ถ่ายด้วย Xiaomi Mi4c + Snapseed นะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้จขกท. เป็นเกย์ครับ เผื่อใครสงสัยว่าทำไมสำบัดสำนวนไม่เหมือนชายแท้ทั่วไปเท่าไหร่
แล้วก็ อะไรที่ไม่ได้ถ่ายภาพมาก็ลองๆ นึกภาพตามเพื่ออรรถรสที่ดีในการอ่านก็แล้วกันนะครับ
- Day 0 -
เริ่มทริปก็เริ่มได้ป้ำๆ เป๋อๆ มาก กับการที่วันหนึ่ง เรานอนอ่านหนังสืออยู่ที่หอ ตามสไตล์นิสิตใกล้สอบปลายภาคนั่นแหล่ะครับ
ทีนี้ ก็มีแจ้งเตือนจากเพจชื่อดังเรื่องโปรโมชั่นตั๋วเครื่องบินเพจหนึ่ง แจ้งมาว่า มีโปรโมชั่น Lion Air ราคาเริ่มต้น 425 บาทมานะ
ระดับเราแล้ว ที่ตอนนี้ก็เจ็บปวดทรมานกับการอ่านหนังสือสอบจนจะตายแล้ว มีหรือจะพลาด
สุดท้ายครับ มือลั่น จองขาไป 13 พ.ค. 625 บาท ขากลับ 16 พ.ค. 425 บาท ครับ
หมดไปแล้วกับ 1,050 บาทแรกแบบงงๆ ไม่มีการปรึกษาใครใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่เพื่อนร่วมทริปที่ก็ยังสอบกันอยู่
หลังจากนั้นผ่านไป สอบตัวสุดท้ายของผมก็เสร็จลงครับเสร็จตอนวันที่ 12 พ.ค. ด้วย
อย่างน้อยก็วางแผนแหล่ะว่าต้องไปหลังสอบเสร็จ แต่เอ๊ะ สอบปุ๊ป พักไม่ถึงวันก็ไปแล้วหรอ
เอาเถอะครับ การได้ออกไปเที่ยวมันก็เหมือนกับการพักผ่อนของผมนั่นแหล่ะครับ แหะๆ
อ๋อ ขออธิบายก่อนนะครับ ว่าเพื่อนที่ร่วมทริปของผม ต่างก็อยู่ที่เชียงใหม่ทั้งหมด แต่จะมีตัวละครหลักๆ แค่ 2 คนครับ
แต่จะเป็นใครนั้น ก็ต้องติดตามกันอีกทีนะครับ อิอิ
- Day 1 -
เรื่องมันเริ่มพีคตั้งแต่ก่อนจะออกจากบ้านไปสนามบินนี่แหล่ะครับ
พีคตรงที่ว่าทุกคนที่บ้านต่างพร้อมใจกันออกไปทำธุระกันหมด ทิ้งเราที่จะต้องออกไปสนามบินรออยู่บ้านคนเดียว
แต่ที่บ้านก็บอกให้รอนะครับ เขาบอกว่าทันแน่ๆ เราก็เชื่อที่บ้านครับ รอก็ได้
รอไปจนเขากลับมากันถึงบ้าน อ่าวแย่ละ อีก 10 นาทีจะปิดเช็คอิน โหลดสัมภาระลงเครื่อง
ก็ต้องรีบบึ่งครับ สุดฤทธิ์สุดเดช สรุปว่าทันครับ ฉิวเฉียด แบบใกล้ปิดเคาวน์เตอร์พอดี
โอเค โหลดกระเป๋าแล้ว เข้าเกตแล้ว เรื่องพีคเรื่องสองตามมาครับ
ลืมหูฟัง กล่องดวงใจของผมเวลาเดินทางไกลๆ โอยยยยยยยยย แล้วจะเอาอะไรฟังเพลงหล่ะไอ้หนู
ในดิวตี้ฟรีราคาก็แพงเหลือทน ไอ้ที่ไม่แพงก็ไม่มีให้ลองด้วย จะรู้มั้ยว่าทนไม่ทน
สุดท้ายครับ ไปเจอในเซเว่น 129 บาท รีบสอยเลย ไม่คิดอะไรเลย จากนั้นก็บึ่งตัวเองไปขึ้นเครื่องแล้วครับ กลัวไปหมด
โอเค ในที่สุดเราก็บินแล้ว บินกันมากับหูฟังที่สภาพก็พอๆ กับราคานั่นแหล่ะครับ ถึงแม้ว่าจะรู้ว่า ซื้อข้างนอกถูกกว่าแน่ๆ
แต่ ณ เวลานั้น เราไม่มีทางเลือกแล้วครับ ผมไม่สามารถนั่งขดตัวนิ่งๆ 55 นาที โดยไม่มีหูฟังและเพลงประทังชีวิตได้ครับ
เป็นความโรคจิดส่วนตัวประการหนึ่งของผม ซึ่งถ้าอ่านไปอ่านมา เดี๋ยวก็จะรู้ซึ้งถึงความบ้าของผมอีกเรื่อยๆ แหล่ะครับ
ทนอยู่กับหูฟัง และการแลนด์ดิ้งประเภทที่ว่า แลนด์แบบนี้เอาเครื่องปักหัวลงรันเวย์แล้วแลนด์ก็ได้นะ มาสักพัก
ก็มาถึงท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่แล้วครับ ในที่สุด ฮือออออออออออออ ลงเครื่องมาก็พีคอีกแล้วครับ
เขาไม่ได้เอางวงช้างมาต่อ เหมือนที่ปกติเวลาผมนั่งมาที่นี่แล้วเขาจะทำกัน นั่นหมายความว่า เราจะต้องปะทะกับอากาศร้อนครับ
ห๊ะ ? ว่าไงนะ ? อากาศร้อนไง ร้อนไงจะอะไรหล่ะ ลงเครื่องทีนี่หน้าสั่น ขาสั่น อยากจะเป็นลม อยากจะกลิ้งลงบันไดกันไปเลย
นั่งรถแดง 30 บาทจากสนามบิน มาถึงที่พักกันแล้ว กับ SOHOstel ถนนลอยเคราะห์ ตรงข้ามวัดลอยเคราะห์เลยครับ
เวลาจะหลับจะนอนก็ไม่ต้องกลัวอะไรจะมาหลอกมาหลอนเลยทีเดียว #ผิด จองผ่าน Booking.com แบบนอนรวม 6 คน ราคา 598 บาท/3 คืนครับ ห้องแอร์เย็นมาก ห้องน้ำรวมก็สะอาด ที่พักมีลิฟต์ มีครัว มีเครื่องซักผ้า ดีงามพระรามเก้าไปอีก (มีค่ามัดจำคีย์การ์ด 200 บาทครับ)
ดรอปกระเป๋าเสร็จ ก็ออกไปหาอะไรกินไปทำงานไปดีกว่าครับ คือผมเป็นคนบ้าอย่างนึงตรงที่ว่า เวลาไปเที่ยว ก็ยังชอบแบกงานไปทำ
ไม่รู้ทำไม แต่พอแบกไปทำด้วย รู้สึกว่างานมันออกมาดีกว่าตอนนั่งทำที่กรุงเทพฯ นะ ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน 555555555555555
ก็เดินไปเรื่อยๆ จากที่พักไปที่ร้านแหล่ะครับ ร้อนมาก ร้อนอารมณ์ที่ว่าอยากจะละลายไหลไปพร้อมเหงื่อเลยทีเดียว โธ่เอ๊ย
แต่วิวระหว่างทางมันก็สวยดีนะ เสียดายที่ร้อน ถ้าเป็นหน้าหนาวอาจจะแวะถ่ายได้หลายรูปกว่านี้แหล่ะครับ
เดินมากันเรื่อยๆ จนถึงขัวเหล็กแล้ว ก็ใกล้จะมาถึงร้านที่เราจะไปนั่งแช่ทำงานกันแล้ว กับร้าน At ขัวเหล็ก นั่นเอง
เป็นร้านคาเฟ่สีเหลือง ที่ขายตั้งแต่กาแฟ เบเกอรี่ อาหารไทย เทศ เมือง เครื่องดื่มน่ารักๆ ยันเครื่องดื่มกลางคืนครับ
รสชาติก็ต้องบอกเลยว่าก็สมราคาดีครับ ไม่แย่ๆ อยากให้มาลองกันเหมือนกัน เพราะที่นี่ไม่ได้มีดีเฉพาะอาหารปากครับ
อาหารตาเขาก็ดี ตั้งแต่ลูกค้า พนักงานเสิร์ฟ และเจ้าของร้านครับ (ไม่ให้วาร์ปอะไรใดๆ ทั้งสิ้น อยากรู้สืบเอง อิอิอิอิ)
นั่งทำงานไป สั่งอาหาร สั่งกาแฟมากินไปเรื่อยๆ ก็ถึงเวลาที่เพื่อนผมจะออกมารับกันแล้วครับ ประเด็นที่พวกนางออกมารับผมซะเย็น
ก็เพราะว่าอากาศตอนนี้ไม่ค่อยเป็นใจนั่นเองครับ ออกมาทีนี่ อาจจะสลบคารถเครื่องก็เป็นได้
ก่อนกลับ ก็เลยขอถ่ายรูปมุมประจำก่อนก็แล้วกันครับ
ในที่สุด เพื่อนผมคนแรกก็มารับแล้วครับ รับแล้วไปเอารถเครื่องของเพื่อนอีกคนในมอนั่นแหล่ะ
ในเมื่อแวะไปในมอแล้ว จะพลาดการแวะไปอ่างแก้วได้เยี่ยงไร
แต่รูปเรากับอ่างแก้วเนี่ย ก็เริ่มมีเยอะพอๆ กับที่ซื้อหนังสือจากงานหนังสือมาแล้วอ่านแค่ไม่กี่เล่มนั่นแหล่ะครับ
เพราะฉะนั้น เราเลยลองลงไปถ่ายกับถนนข้างๆ อ่างแก้วดูบ้าง ซึ่งก็ดูอาร์ตดีครับ ไม่แย่ๆ
หลังจากนั้น ก็ไปเจอเพื่อนอีกคนนึงนั่นแหล่ะครับ ไปหาอะไรกินหน้ามอ จากนั้นก็ปลดปล่อยหลังสอบเบาๆ ที่นิมมาน ซ.7 ครับ
จัดว่าเป็นการเปิดทริปเบาๆ เสียดายที่ไม่มีรูปแล้ว แบตหมดครับ กำกำ
- Day 2 -
หลังจากเมื่อคืนก็จัดกันไปพอสมควรเหมือนกัน ก็ขอตื่นสายบ้างสักวันก็แล้วกันครับ
แล้วก็ไปนั่งปั่นงานต่อที่ร้านเพลินกาแฟ คณะวิศวะฯ มช. ถือว่าเพลินดีครับ กาแฟไม่แพงด้วย 35 บาทเอง อิอิ
เพลินกาแฟกันได้สักพัก ก็เริ่มๆ หิวข้าวแล้วครับ แต่ก็นึกว่าจะกินอะไรไม่ออก ก็เลยแวะไปที่โรงอาหารหอพัก 6 ชาย ก็แล้วกัน
จานที่เห็นนี่เป็นข้าวทะเลรวมไข่เค็มครับ ราคาแค่ 30 บาทเอง แต่ได้มาฟูร่ามาก รสชาติก็ดีครับ
ถ้าไม่ติดพวกเรื่องความสดของอาหารทะเลนะ ก็ถือว่าเป็นจานที่คุ้มพอสมควรเลยสำหรับผม
มื้อหลักเสร็จแล้ว ก็ไปหาเพื่อนที่ร้านที่นางทำงานอยู่ดีกว่าครับ ที่ร้าน Fruiturday สาขานิมมานฯ
ร้านนี้เขาโฟกัสที่มะม่วงเด่นมาก ก็เลยจัดมะม่วงปั่นไปแก้วนึงก็แล้วกันกัน ก็สดชื่นดี แต่ผมสั่งแบบน้ำตาลครึ่งเดียว
กินไปกินมาก็เริ่มๆ เอียนเหมือนกันแหล่ะ โธ่ ไม่น่ามาทำเป็นรักสุขภาพตอนนี้เลยอิหนูเอ๋ย
เรื่องมันเริ่มพีคตรงนี้แหล่ะครับ ด้วยความเอ๋อของผมตั้งแต่แรกแล้ว ผมเลยจอดรถเครื่องไว้ที่หน้าร้าน ตั้งแต่บ่ายสาม
ซึ่งตรงนั้น
เป็นเขตห้ามจอดตั้งแต่ 16:00-20:00 ครับ แล้วกว่าผมจะออกมาจากร้านเพื่อออกไปรับเพื่อนอีกคน ก็เกือบๆ จะหกโมงเย็นแล้ว
ผลปรากฎว่าก็โดนล็อคล้อไปตามระเบียบครับ ฮัลโหล จ่ายค่าปรับ 1st Time ที่เชียงใหม่อะไรงี้หรอ ไม่โอเคมั้ง
ตอนแรกเพื่อนก็แนะนำว่า ถ้ารอจนถึง 2 ทุ่ม เขาก็จะมาปลดล็อคให้แล้ว ก็เลยเอาวะ ทิ้งรถไว้ก่อนก็ได้ แล้วยืมรถนางไปรับเพื่อนมาก่อน
แต่พอไปรับเพื่อนเสร็จ กลับมา ก็ยังไม่สองทุ่มเลยครับ เราเลยตัดสินใจไปสโลว์ไลฟ์ ถ่ายรูปกันเองไปมาสวยๆ ที่ถนนนิมมานฯ นั่นแหล่ะครับ ฆ่าเวลาจนกว่าเขาจะมาปลดล็อคล้อด้วย
เดินไปเดินมาก็หิวแล้วครับ ถึงแม้ว่าจริงๆ จะนัดแก๊งเพื่อนอีกแก๊งที่หน้ามอ แต่ขากลับจาก Think Park เราดันเดินผ่านร้านกู โรตี ชาชัก
ตอนแรกก็ว่าจะสั่งอะไรกินเล่นเบาๆ เลยจัด โรตีทิชชู่วิปครีมฝอยทอง (90.-) ไป แต่พอได้ออกมา กินกันสองคนแทบไม่หมดครับ เลี่ยน 55555555555
จากนั้น เราจึงค่อยไปหาเพื่อนที่หน้ามอครับ แต่ระหว่างทาง ก็มีเรื่องพีคอีกเรื่องเกิดขึ้น
หมวกกันน็อคของรถเพื่อนที่ทำงานอยู่ ปลิวลงไปอยู่กลางถนน ตอนที่ผมใส่ขับรถเครื่องกันอยู่นี่แหล่ะครับ
โอยยยยยยยยยยย จะลงไปหยิบก็ลงไม่ได้ รถมากันเต็มเลย ตายๆๆๆๆๆๆ
เรื่อยเปื่อยไปมาจนเลยสองทุ่มแล้ว เขาก็ยังไม่มาปลดล็อคให้ครับ สรุปสุดท้ายพวกเราก็ยอมจ่ายค่าปรับไปตามระเบียบครับ
โดยตอนแรกผมจะเป็นคนจ่ายเองเต็มจำนวนด้วย แต่เพื่อนเจ้าของรถเขาก็มาช่วยหารครับ ซึ้งไปอีก
คุยไปคุยมากับตำรวจ สุดท้ายเขาก็ยอมลดค่าปรับให้ครับ ด้วยความที่เห็นว่าเป็นนักศึกษากันอยู่
ถือซะว่าเป็นค่าประสบการณ์ความเด๋อ จอดรถไม่ดูที่ดูเขตของผมนั่นแหล่ะ เรื่องนี้ถือว่าเป็นความผิดของผมแต่เพียงผู้เดียวก็แล้วกันครับ
[CR] เมื่อคนโง่ไปแอ่วเชียงใหม่
เห็นชื่อกระทู้แล้วไม่ต้องตกใจนะครับว่าเราไปโชว์โง่อะไรมา
ก็คืออยากจะมาแชร์ประสบการณ์อันป้ำๆ เป๋อ ของเรา กับทริปล่าสุดของเราที่เชียงใหม่นี่แหล่ะครับ
ตามเดิมเรามีแพลนว่า เราจะรีวิวทริป 1 คน 4 วัน กับเงิน 3 พันบาท ณ เชียงใหม่ ตามปกตินั่นแหล่ะครับ
แต่เนื่องด้วยเหตุการณ์หลายๆ อย่างของทริปนี้ มันไม่สมควรที่จะเป็นแบบอย่างที่ดีของใครเท่าไหร่หรอกครับ
ก็ถือซะว่า เหมือนเรามานั่งดูหนังสั้นคลายเครียดเรื่องหนึ่งที่สร้างมาจากชีวิตจริงของผมก็แล้วกันนะครับ
รูปทั้งหมด ถ่ายด้วย Xiaomi Mi4c + Snapseed นะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
- Day 0 -
เริ่มทริปก็เริ่มได้ป้ำๆ เป๋อๆ มาก กับการที่วันหนึ่ง เรานอนอ่านหนังสืออยู่ที่หอ ตามสไตล์นิสิตใกล้สอบปลายภาคนั่นแหล่ะครับ
ทีนี้ ก็มีแจ้งเตือนจากเพจชื่อดังเรื่องโปรโมชั่นตั๋วเครื่องบินเพจหนึ่ง แจ้งมาว่า มีโปรโมชั่น Lion Air ราคาเริ่มต้น 425 บาทมานะ
ระดับเราแล้ว ที่ตอนนี้ก็เจ็บปวดทรมานกับการอ่านหนังสือสอบจนจะตายแล้ว มีหรือจะพลาด
สุดท้ายครับ มือลั่น จองขาไป 13 พ.ค. 625 บาท ขากลับ 16 พ.ค. 425 บาท ครับ
หมดไปแล้วกับ 1,050 บาทแรกแบบงงๆ ไม่มีการปรึกษาใครใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่เพื่อนร่วมทริปที่ก็ยังสอบกันอยู่
หลังจากนั้นผ่านไป สอบตัวสุดท้ายของผมก็เสร็จลงครับเสร็จตอนวันที่ 12 พ.ค. ด้วย
อย่างน้อยก็วางแผนแหล่ะว่าต้องไปหลังสอบเสร็จ แต่เอ๊ะ สอบปุ๊ป พักไม่ถึงวันก็ไปแล้วหรอ
เอาเถอะครับ การได้ออกไปเที่ยวมันก็เหมือนกับการพักผ่อนของผมนั่นแหล่ะครับ แหะๆ
อ๋อ ขออธิบายก่อนนะครับ ว่าเพื่อนที่ร่วมทริปของผม ต่างก็อยู่ที่เชียงใหม่ทั้งหมด แต่จะมีตัวละครหลักๆ แค่ 2 คนครับ
แต่จะเป็นใครนั้น ก็ต้องติดตามกันอีกทีนะครับ อิอิ
- Day 1 -
เรื่องมันเริ่มพีคตั้งแต่ก่อนจะออกจากบ้านไปสนามบินนี่แหล่ะครับ
พีคตรงที่ว่าทุกคนที่บ้านต่างพร้อมใจกันออกไปทำธุระกันหมด ทิ้งเราที่จะต้องออกไปสนามบินรออยู่บ้านคนเดียว
แต่ที่บ้านก็บอกให้รอนะครับ เขาบอกว่าทันแน่ๆ เราก็เชื่อที่บ้านครับ รอก็ได้
รอไปจนเขากลับมากันถึงบ้าน อ่าวแย่ละ อีก 10 นาทีจะปิดเช็คอิน โหลดสัมภาระลงเครื่อง
ก็ต้องรีบบึ่งครับ สุดฤทธิ์สุดเดช สรุปว่าทันครับ ฉิวเฉียด แบบใกล้ปิดเคาวน์เตอร์พอดี
โอเค โหลดกระเป๋าแล้ว เข้าเกตแล้ว เรื่องพีคเรื่องสองตามมาครับ
ลืมหูฟัง กล่องดวงใจของผมเวลาเดินทางไกลๆ โอยยยยยยยยย แล้วจะเอาอะไรฟังเพลงหล่ะไอ้หนู
ในดิวตี้ฟรีราคาก็แพงเหลือทน ไอ้ที่ไม่แพงก็ไม่มีให้ลองด้วย จะรู้มั้ยว่าทนไม่ทน
สุดท้ายครับ ไปเจอในเซเว่น 129 บาท รีบสอยเลย ไม่คิดอะไรเลย จากนั้นก็บึ่งตัวเองไปขึ้นเครื่องแล้วครับ กลัวไปหมด
โอเค ในที่สุดเราก็บินแล้ว บินกันมากับหูฟังที่สภาพก็พอๆ กับราคานั่นแหล่ะครับ ถึงแม้ว่าจะรู้ว่า ซื้อข้างนอกถูกกว่าแน่ๆ
แต่ ณ เวลานั้น เราไม่มีทางเลือกแล้วครับ ผมไม่สามารถนั่งขดตัวนิ่งๆ 55 นาที โดยไม่มีหูฟังและเพลงประทังชีวิตได้ครับ
เป็นความโรคจิดส่วนตัวประการหนึ่งของผม ซึ่งถ้าอ่านไปอ่านมา เดี๋ยวก็จะรู้ซึ้งถึงความบ้าของผมอีกเรื่อยๆ แหล่ะครับ
ทนอยู่กับหูฟัง และการแลนด์ดิ้งประเภทที่ว่า แลนด์แบบนี้เอาเครื่องปักหัวลงรันเวย์แล้วแลนด์ก็ได้นะ มาสักพัก
ก็มาถึงท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่แล้วครับ ในที่สุด ฮือออออออออออออ ลงเครื่องมาก็พีคอีกแล้วครับ
เขาไม่ได้เอางวงช้างมาต่อ เหมือนที่ปกติเวลาผมนั่งมาที่นี่แล้วเขาจะทำกัน นั่นหมายความว่า เราจะต้องปะทะกับอากาศร้อนครับ
ห๊ะ ? ว่าไงนะ ? อากาศร้อนไง ร้อนไงจะอะไรหล่ะ ลงเครื่องทีนี่หน้าสั่น ขาสั่น อยากจะเป็นลม อยากจะกลิ้งลงบันไดกันไปเลย
นั่งรถแดง 30 บาทจากสนามบิน มาถึงที่พักกันแล้ว กับ SOHOstel ถนนลอยเคราะห์ ตรงข้ามวัดลอยเคราะห์เลยครับ
เวลาจะหลับจะนอนก็ไม่ต้องกลัวอะไรจะมาหลอกมาหลอนเลยทีเดียว #ผิด จองผ่าน Booking.com แบบนอนรวม 6 คน ราคา 598 บาท/3 คืนครับ ห้องแอร์เย็นมาก ห้องน้ำรวมก็สะอาด ที่พักมีลิฟต์ มีครัว มีเครื่องซักผ้า ดีงามพระรามเก้าไปอีก (มีค่ามัดจำคีย์การ์ด 200 บาทครับ)
ดรอปกระเป๋าเสร็จ ก็ออกไปหาอะไรกินไปทำงานไปดีกว่าครับ คือผมเป็นคนบ้าอย่างนึงตรงที่ว่า เวลาไปเที่ยว ก็ยังชอบแบกงานไปทำ
ไม่รู้ทำไม แต่พอแบกไปทำด้วย รู้สึกว่างานมันออกมาดีกว่าตอนนั่งทำที่กรุงเทพฯ นะ ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน 555555555555555
ก็เดินไปเรื่อยๆ จากที่พักไปที่ร้านแหล่ะครับ ร้อนมาก ร้อนอารมณ์ที่ว่าอยากจะละลายไหลไปพร้อมเหงื่อเลยทีเดียว โธ่เอ๊ย
แต่วิวระหว่างทางมันก็สวยดีนะ เสียดายที่ร้อน ถ้าเป็นหน้าหนาวอาจจะแวะถ่ายได้หลายรูปกว่านี้แหล่ะครับ
เดินมากันเรื่อยๆ จนถึงขัวเหล็กแล้ว ก็ใกล้จะมาถึงร้านที่เราจะไปนั่งแช่ทำงานกันแล้ว กับร้าน At ขัวเหล็ก นั่นเอง
เป็นร้านคาเฟ่สีเหลือง ที่ขายตั้งแต่กาแฟ เบเกอรี่ อาหารไทย เทศ เมือง เครื่องดื่มน่ารักๆ ยันเครื่องดื่มกลางคืนครับ
รสชาติก็ต้องบอกเลยว่าก็สมราคาดีครับ ไม่แย่ๆ อยากให้มาลองกันเหมือนกัน เพราะที่นี่ไม่ได้มีดีเฉพาะอาหารปากครับ
อาหารตาเขาก็ดี ตั้งแต่ลูกค้า พนักงานเสิร์ฟ และเจ้าของร้านครับ (ไม่ให้วาร์ปอะไรใดๆ ทั้งสิ้น อยากรู้สืบเอง อิอิอิอิ)
นั่งทำงานไป สั่งอาหาร สั่งกาแฟมากินไปเรื่อยๆ ก็ถึงเวลาที่เพื่อนผมจะออกมารับกันแล้วครับ ประเด็นที่พวกนางออกมารับผมซะเย็น
ก็เพราะว่าอากาศตอนนี้ไม่ค่อยเป็นใจนั่นเองครับ ออกมาทีนี่ อาจจะสลบคารถเครื่องก็เป็นได้
ก่อนกลับ ก็เลยขอถ่ายรูปมุมประจำก่อนก็แล้วกันครับ
ในที่สุด เพื่อนผมคนแรกก็มารับแล้วครับ รับแล้วไปเอารถเครื่องของเพื่อนอีกคนในมอนั่นแหล่ะ
ในเมื่อแวะไปในมอแล้ว จะพลาดการแวะไปอ่างแก้วได้เยี่ยงไร
แต่รูปเรากับอ่างแก้วเนี่ย ก็เริ่มมีเยอะพอๆ กับที่ซื้อหนังสือจากงานหนังสือมาแล้วอ่านแค่ไม่กี่เล่มนั่นแหล่ะครับ
เพราะฉะนั้น เราเลยลองลงไปถ่ายกับถนนข้างๆ อ่างแก้วดูบ้าง ซึ่งก็ดูอาร์ตดีครับ ไม่แย่ๆ
หลังจากนั้น ก็ไปเจอเพื่อนอีกคนนึงนั่นแหล่ะครับ ไปหาอะไรกินหน้ามอ จากนั้นก็ปลดปล่อยหลังสอบเบาๆ ที่นิมมาน ซ.7 ครับ
จัดว่าเป็นการเปิดทริปเบาๆ เสียดายที่ไม่มีรูปแล้ว แบตหมดครับ กำกำ
- Day 2 -
หลังจากเมื่อคืนก็จัดกันไปพอสมควรเหมือนกัน ก็ขอตื่นสายบ้างสักวันก็แล้วกันครับ
แล้วก็ไปนั่งปั่นงานต่อที่ร้านเพลินกาแฟ คณะวิศวะฯ มช. ถือว่าเพลินดีครับ กาแฟไม่แพงด้วย 35 บาทเอง อิอิ
เพลินกาแฟกันได้สักพัก ก็เริ่มๆ หิวข้าวแล้วครับ แต่ก็นึกว่าจะกินอะไรไม่ออก ก็เลยแวะไปที่โรงอาหารหอพัก 6 ชาย ก็แล้วกัน
จานที่เห็นนี่เป็นข้าวทะเลรวมไข่เค็มครับ ราคาแค่ 30 บาทเอง แต่ได้มาฟูร่ามาก รสชาติก็ดีครับ
ถ้าไม่ติดพวกเรื่องความสดของอาหารทะเลนะ ก็ถือว่าเป็นจานที่คุ้มพอสมควรเลยสำหรับผม
มื้อหลักเสร็จแล้ว ก็ไปหาเพื่อนที่ร้านที่นางทำงานอยู่ดีกว่าครับ ที่ร้าน Fruiturday สาขานิมมานฯ
ร้านนี้เขาโฟกัสที่มะม่วงเด่นมาก ก็เลยจัดมะม่วงปั่นไปแก้วนึงก็แล้วกันกัน ก็สดชื่นดี แต่ผมสั่งแบบน้ำตาลครึ่งเดียว
กินไปกินมาก็เริ่มๆ เอียนเหมือนกันแหล่ะ โธ่ ไม่น่ามาทำเป็นรักสุขภาพตอนนี้เลยอิหนูเอ๋ย
เรื่องมันเริ่มพีคตรงนี้แหล่ะครับ ด้วยความเอ๋อของผมตั้งแต่แรกแล้ว ผมเลยจอดรถเครื่องไว้ที่หน้าร้าน ตั้งแต่บ่ายสาม
ซึ่งตรงนั้นเป็นเขตห้ามจอดตั้งแต่ 16:00-20:00 ครับ แล้วกว่าผมจะออกมาจากร้านเพื่อออกไปรับเพื่อนอีกคน ก็เกือบๆ จะหกโมงเย็นแล้ว
ผลปรากฎว่าก็โดนล็อคล้อไปตามระเบียบครับ ฮัลโหล จ่ายค่าปรับ 1st Time ที่เชียงใหม่อะไรงี้หรอ ไม่โอเคมั้ง
ตอนแรกเพื่อนก็แนะนำว่า ถ้ารอจนถึง 2 ทุ่ม เขาก็จะมาปลดล็อคให้แล้ว ก็เลยเอาวะ ทิ้งรถไว้ก่อนก็ได้ แล้วยืมรถนางไปรับเพื่อนมาก่อน
แต่พอไปรับเพื่อนเสร็จ กลับมา ก็ยังไม่สองทุ่มเลยครับ เราเลยตัดสินใจไปสโลว์ไลฟ์ ถ่ายรูปกันเองไปมาสวยๆ ที่ถนนนิมมานฯ นั่นแหล่ะครับ ฆ่าเวลาจนกว่าเขาจะมาปลดล็อคล้อด้วย
เดินไปเดินมาก็หิวแล้วครับ ถึงแม้ว่าจริงๆ จะนัดแก๊งเพื่อนอีกแก๊งที่หน้ามอ แต่ขากลับจาก Think Park เราดันเดินผ่านร้านกู โรตี ชาชัก
ตอนแรกก็ว่าจะสั่งอะไรกินเล่นเบาๆ เลยจัด โรตีทิชชู่วิปครีมฝอยทอง (90.-) ไป แต่พอได้ออกมา กินกันสองคนแทบไม่หมดครับ เลี่ยน 55555555555
จากนั้น เราจึงค่อยไปหาเพื่อนที่หน้ามอครับ แต่ระหว่างทาง ก็มีเรื่องพีคอีกเรื่องเกิดขึ้น
หมวกกันน็อคของรถเพื่อนที่ทำงานอยู่ ปลิวลงไปอยู่กลางถนน ตอนที่ผมใส่ขับรถเครื่องกันอยู่นี่แหล่ะครับ
โอยยยยยยยยยยย จะลงไปหยิบก็ลงไม่ได้ รถมากันเต็มเลย ตายๆๆๆๆๆๆ
เรื่อยเปื่อยไปมาจนเลยสองทุ่มแล้ว เขาก็ยังไม่มาปลดล็อคให้ครับ สรุปสุดท้ายพวกเราก็ยอมจ่ายค่าปรับไปตามระเบียบครับ
โดยตอนแรกผมจะเป็นคนจ่ายเองเต็มจำนวนด้วย แต่เพื่อนเจ้าของรถเขาก็มาช่วยหารครับ ซึ้งไปอีก
คุยไปคุยมากับตำรวจ สุดท้ายเขาก็ยอมลดค่าปรับให้ครับ ด้วยความที่เห็นว่าเป็นนักศึกษากันอยู่
ถือซะว่าเป็นค่าประสบการณ์ความเด๋อ จอดรถไม่ดูที่ดูเขตของผมนั่นแหล่ะ เรื่องนี้ถือว่าเป็นความผิดของผมแต่เพียงผู้เดียวก็แล้วกันครับ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น