[CR] "JAPAN & I ❤ 2016 ; ญี่ปุ่น คนเดียวก็เที่ยวได้" Part 1 บินลัดฟ้ามุ่งหน้าสู่ TOKYO รีวิวโรงแรม HOTEL MYSTAYS ASAKUSABASHI



สวัสดีเพื่อนๆทุกคนค่า (✿◠‿◠)
เนื่องจากเราเพิ่งกลับจากญี่ปุ่นมา เมื่อช่วงวันหยุดยาวแรงงานที่ผ่านมาค่ะ
วันนี้ เราเลยจะมาชวนเพื่อนๆ เที่ยวญี่ปุ่นในแบบของเรากันจ้า

ก่อนอื่นขอบอกไว้ก่อนเลยว่า ทริปนี้ไม่ใช่ทริปแรกของเราที่ไปญี่ปุ่นด้วยตัวเอง
แต่ทริปนี้ เป็นทริปแรกของเราที่ไปเที่ยวครั้งแรกคนเดียวในชีวิตเลยก็ว่าได้
(เอาจริงๆตั้งแต่เกิดมายังไม่ได้ไปเที่ยวไหนคนเดียวเลยค่ะ >< แม้แต่นอนคนเดียวเรายังนอนไม่ได้)

แต่ด้วยความที่เราเคยไปเที่ยวญี่ปุ่นโดยการวางแผนเองมาแล้วครั้งนึง
เลยทำให้ความกลัวหายไปครึ่งนึง เพราะเรามั่นใจว่ายังไงก็ไม่หลงแน่นอน
ทีนี้ก็เหลือแต่ความกลัวที่จะนอนคนเดียว เที่ยวคนเดียว กินคนเดียว
แต่สุดท้ายเราก็ผ่านพ้นมันมาได้ด้วยดีค่ะ ^^

จริงๆ ทริปนี้ของเรามันมีที่มาค่ะ
เนื่องจากปีที่แล้วที่เราไปญี่ปุ่นช่วงวันที่ 9-17 พฤษภาคม 2015
โดยที่ตั้งความหวังไว้ว่า จะได้เห็น Wisteria แบบ Full Bloom
แต่ด้วยความที่เราไปช้าไปแค่ไม่กี่วัน มันดันร่วงไปเยอะซะนี่
ตอนนั้นเลยตั้งใจว่า ปีหน้าชั้นจะต้องมาดูตอนมันฟูฟ่องให้ได้

กลับถึงเมืองไทยเลยรีบจองตั๋วรัวๆ เลือกตอนที่คิดว่ามัน Full Bloom สุดๆ
ซึ่งเป็นช่วง Golden Week ของญี่ปุ่นนั่นแหละค่ะ

การเดินทางของเราครั้งนี้เลยตกอยู่ในช่วงวันที่ 30 เมษายน – 10 พฤษภาคม 2016
ซึ่งเราเดินทางทั้งหมด 10 คืน 11 วัน (เดินทางไป-กลับ 2 วัน / ได้เที่ยวเต็มๆ 9 วันค่ะ)

โดยแพลนที่เราจะไปนั้น คือ โตเกียวและเมืองรอบๆ ซึ่งเราวางแผนไว้ประมาณนี้ค่ะ





แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว เนื่องจากเราไปเลยคนเดียว ตามใจฉันมากๆ
พอถึงเวลา แพลนที่วางไว้นี่พับใส่กระเป๋าเลยค่ะ อยากไปไหนก็ไปสุดๆ


โดยในรีวิวของทริปนี้ เราจะขอแบ่งออกเป็น 7 ตอน ตามนี้นะคะ ^^

➤ Part 1 : Day 1 >> บินลัดฟ้า มุ่งหน้าสู่ Tokyo – รีวิวโรงแรม Hotel Mystay Asakusabashi
➤ Part 2 : Day 2 >> The World of Wisteria @ Ashikaga Flower Park
➤ Part 3 : Day 3 >> พานั่งรถไฟสาย Enoden เที่ยวที่ Kamakura – Enoshima
➤ Part 4 : Day 4 >> เดินเล่นใน Tokyo พาเที่ยว Aoyama Flower Market Tea House
➤ Part 5 : Day 5-7 >> 3 วัน 2 คืน ที่ Kawaguchiko
➤ Part 6 : Day 8-9 >> Tokyo กิน-เที่ยว-ช้อป
➤ Part 7 : Day 10-11 >> Lonely Nikko

ว่าแล้วก็ไปเที่ยวกันได้เลยจ้าา !!

DAY 1 (30 Apr 16) >> บินลัดฟ้า มุ่งหน้าสู่ TOKYO – รีวิวโรงแรม HOTEL MYSTAYS ASAKUSABASHI



หลังจากที่ เงินพร้อม .. แพลนพร้อม .. พาสปอร์ตพร้อม
ตัวและหัวใจพร้อม เราก็เริ่มออกเดินทางกันเล้ยยย (>‿◠)✌ !!

การเดินทางของเราเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ ..
ไม่ใช่เพราะอะไรนะ คือ กระแส Overbooking ในช่วงนี้กำลังมาแรง
แล้วไงคะ เราก็กลัวไม่ได้ไปสิ รีบตื่น อาบน้ำ ไปสนามบินกันค่ะ

(ช่วงแรกๆ เราขอเล่าเป็นตัวอักษรไปก่อนนะคะ เนื่องจากเราไม่ค่อยได้ถ่ายรูปมาจ้า)

รอบนี้เราเดินทางด้วย Thai Air Asia X เช่นเคย
เค้าเตอร์เปิดให้เช็คอิน 07.30  แต่เราไปถึงสนามบินตั้งแต่ 6 โมงค่ะ
ระหว่างรอเวลาก็เดินไปหาของกินที่ Terminal 2
เราไม่ได้ถ่ายรูปมาเนาะ แต่หลังจากที่เค้ารีโนเวทใหม่
ขอบอกว่า แจ่มมากๆ ร้านอาหารเยอะมาก
เราแวะนั่งที่ร้าน Bonchon แทะไก่กันไป

จนประมาณ 7 โมงเราก็ไปที่เค้าเตอร์เพื่อต่อแถวค่ะ ตอนนั้นแถว Check-in คนเริ่มมาละ
แต่เรา Check-in Online มาก่อน เลยต่ออีกแถวนึง ซึ่งเราเป็นคิวแรกเลย

ส่วนตัวเราแนะนำให้ Check-in Online มาก่อนนะคะ
เพราะแถว Check-in ยาวมากกก ส่วนมากจะเป็นพวกทัวร์
หากเรา Check-in มาก่อน เราก็แค่แวะ Drop กระเป๋า และปริ้น Boarding Pass ค่ะ

หลังจาก Check-in เดินเข้ามาผ่าน ตม. เรียบร้อย
เดินเล่นนิดหน่อยที่ Duty Free เราก็มานั่งที่ Starbucks ค่ะ
ชาร์จแบตตัวเองด้วยกาแฟซักแก้ว พร้อมนั่งชาร์จแบตมือถือ รอเวลา Boarding ค่ะ



พอใกล้ถึงเวลา Boarding เราก็เดินไปแถว Gate ค่ะ
รีบเดินไปก่อน จะได้ไม่ต้องวิ่งเนาะะะะ

ได้เวลา Boarding แล้วจ้าาา ..

เวลาเราขึ้นเครื่อง เรามักจะซื้อที่นั่งตลอด
คือ เราอยากนั่งริมหน้าต่างอ่านะ ถ้ารอไปสุ่ม เราก็กลัวไม่ได้นั่ง ฮ่าๆ

รอบนี้เราเลือกนั่งอยู่แถวหลังๆเลยค่ะ แถว 46A
ปกติที่นั่งของ TAAX จะเป็น 3-3-3
แต่ตั้งแต่แถวที่ 44 เป็นต้นไป จะเป็น 2-3-2
เราเลยเลือกท้ายๆ จะได้นั่งแค่ 2 คน ><

อีกทริคนึงนะคะ ถ้าไปญี่ปุ่น
ขาไปให้นั่งฝั่งซ้าย (แถว A) ส่วนขากลับให้นั่งฝั่งขวา (แถว K)
ถ้าโชคดีเราจะได้เห็นฟูจิจากบนฟากฟ้ากันค่ะ

รอบนี้เราก็เห็นนะ แต่เราถ่ายรูปมาได้แค่นี้เองอะ ฮ่าๆๆ



พอเวลาผ่านไปได้ซักพัก เราก็ใกล้จะ Landing แล้วค่ะ



เวลา 18:30 เครื่องเราก็ล้อแตะพื้นเรียบร้อยยยย !! เย้ ≧◠‿◠≦✌
หลังจากเครื่องลง เราก็เดินไปตม.กันค่ะ
ช่วงเวลา หกโมงกว่าๆ ถึงทุ่มนึง แถวตม. คนเยอะมาก
ทั้งไทย จีน เกาหลี คุยกันโช้งเช้งสุดๆ
แต่ตม.ที่ญี่ปุ่น รันแถวไวมากค่ะ
ถ้าเทียบกับเกาหลี เกาหลีนี่แบบชิดซ้ายไปไกลๆเลยค่ะ
(ตอนนั้นเราไปเกาหลี ใช้เวลาก่อนผ่านตม. เป็นชั่วโมงนะ)

ตม.ว่าไวแล้ว กระเป๋ามาไวกว่าค่าา
เราใช้เวลาผ่านตม. ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ลงมารับกระเป๋านี่คือ
กระเป๋าลงจากสายพานมาตั้งเรียงกันเรียบร้อยแล้วนะ ดีงามมากจริงๆ

ผ่านศุลกากร ออกมาข้างนอกเรียบร้อย เลี้ยวขวา ลงบันไดเลื่อนไปชั้นล่างกันเลยค่า
สิ่งที่เราต้องจัดการก่อนจะเข้าเมืองคืนนี้คือ


1.เติมเงิน Suica
2.ซื้อ Tokyo Wide Pass
3.รับตั๋วที่เราจองออนไลน์ไว้ผ่านเวบไซต์ JR East Train Reservation


พอลงมาด้านล่างละ เราก็มุ่งตรงไปที่ JR Ticket Office กันเลยค่ะ

เรามีบัตร Suica อยู่แล้ว เลยแวะไปเติมเงิน Suica ที่ตู้ซื้อตั๋วของ JR
หากเพื่อนๆยังไม่มี ก็สามารถซื้อได้จากตู้นี้เลยเหมือนกันนะคะ

แล้วก็ไปต่อแถวซื้อ JR Tokyo Wide Pass กับรับตั๋วที่จองออนไลน์ไว้
การซื้อ Tokyo Wide Pass ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
แต่ !!!! ตอนเราจะรับตั๋ว สงสัยเราคงพูดไม่รู้เรื่องเอง เค้าคงคิดว่าเราจะจองตั๋วรถไฟ
เจ้าหน้าที่เลยบอกว่า ให้ไปที่อื่นนะ สถานี JR ที่ไหนก็ได้
เราก็ เออๆ เดี๋ยวไปสถานีตรงที่เราพักก็ได้

หลังจากนั้นเราก็ไปฝั่ง Keisei เพื่อนั่งรถไฟเข้าเมืองค่ะ
เราจัดการทุกอย่างเสร็จประมาณ 19:45 รถไฟที่เราจะนั่งมันจะมาประมาณ 20:30
ดังนั้นเราเลยเหลือเวลารอรถไฟนิดหน่อย เลยได้เปิดอ่านอีเมล

ปัญหามันเริ่มเกิดขึ้นตรงนี้ !!!
เราอ่าน Confirmation E-mail ตอนที่เราจองตั๋วออนไลน์ไว้
มันดันบอกว่า เราจะต้องรับตั๋ว ณ เค้าเตอร์ที่เราระบุไว้เท่านั้น
ซึ่งเราระบุไว้ว่าเราจะรับตั๋ว ณ Narita Airport Terminal 2
เอ้าาาาา แย่ละ !! เข้าสถานีรถไฟมาแล้วด้วย
เราเหลือเวลาอีกประมาณ 30 นาทีก่อนรถไฟจะมา
ต้องรีบกลับขึ้นไปเลยค่ะ ไถกระเป๋าน้ำหนัก 20 กว่าโลไปด้วยความไวแสง
กลับไปที่ JR Ticket Office

ซึ่ง ณ ตอนนั้น JR East Travel Service Center ปิดแล้ว
เลยเหลือแต่  JR Ticket Office  ทำให้แถวยิ่งยาวมากกกก
แต่โชคดีที่แถวไปไว .. พอถึงคิวเรา เราเลยรีบบอกว่า
เรามา Pick up ticket สรุปว่า รับได้ค่ะ
(แล้วทำไมตอนแรกบอกให้เราไปที่อื่นนนนนน !!)



เอกสารที่เราต้องใช้ตอนรับตั๋ว มี 2 อย่างค่ะ
1.Reservation No. ที่เราได้รับผ่าน e-mail
2.Credit Card ใบที่เราการันตีไว้ในเวบไซต์


แต่ทีนี้ เหมือนกับว่าตอนรับตั๋วนั้น จะต้องใช้ customer id ด้วย
เพราะเรายื่น Credit Card ให้เค้า เค้าเอาไปรูดๆ ที่เครื่อง มันดันใช้ไม่ได้
เค้าเลยขอ Customer id เรา ซึ่งเราไม่มีไง
ถามกันไปมาแป๊ปนึง จนท.เลยต้องโทรไปถามอีกที่นึง
เค้าคุยกันอยู่ซักพัก เรานี่ลุ้นมาก กลัวจะไม่ทันรถไฟ

สุดท้ายกว่าจะได้ Customer id เรามานี่ ลุ้นตัวแทบแตกค่า
จนเราได้ตั๋วรถไฟมาครบตามที่จองไว้
เราก็วิ่งเกือบบินลงไปที่ชานชาลารถไฟกันค่ะ

จริงๆ การเข้าเมืองสามารถไปได้หลายวิธีนะคะ
ทั้งสาย Keisei (Skyliner) และ JR (N’EX) แล้วแต่สถานีปลายทางว่าเพื่อนๆจะไปลงที่ไหน
แต่วันนี้เราจะเข้าเมืองด้วย Keisei Narita Sky Access นะคะ
ตาม Route นี้เลยจ้า



ที่เราเลือก Route นี้ เพราะเปลี่ยนรถไฟแค่ครั้งเดียว
แล้วก็เปลี่ยนง่ายมากๆ ค่ะ ที่สำคัญราคาไม่แพงด้วย
แต่รถไฟที่นั่งจะเป็นแบบรถไฟธรรมดานะคะ
ไม่ต้องจองที่นั่งหรือซื้อตั๋วใดๆ ทั้งสิ้น
สามารถใช้ Suica แตะเข้าไปได้เลยจ้า

หลังจากเข้ามาในตัวสถานีรถไฟแล้ว ก็ลงไปที่ชานชาลา 1 ได้เลยค่ะ
รถไฟมาแล้ววววว ไปกันๆ



นั่งรถไฟมาได้ซักพัก ก็มาถึงสถานี Aoto ค่ะ
พอมาถึงสถานี Aoto เราก็ต้องลงจากรถไฟขบวนเดิม
แล้วเดินข้ามชานชาลามารอรถไฟอีกขบวนค่ะ

เห็นมั้ยยย เราบอกแล้วว่าการเปลี่ยนรถไฟที่สถานีนี้มันง่าย
ไม่ต้องขึ้นลงบันไดเลื่อนใดๆทั้งสิ้น
แค่ข้ามจากชานชาลาซ้าย มาที่ชานชาลาขวาเท่านั้นเองจ้า



หลังจากนั้นก็นั่งรถไฟต่อไปอีกไม่นาน ก็ถึงสถานี Asakusabashi ปลายทางของเราแล้วค่ะ
ชื่อสินค้า:   เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง Tokyo, Ashikaga Flower Park, Kamakura-Enoshima, Kawaguchiko, Nikko
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่