เรื่องควรรู้ ก่อนซื้อกล้องติดรถยนต์
หลายคนคงเคยมองข้ามความสำคัญของอุปกรณ์เทคโนโลยีชิ้นนี้ไป โดยคิดว่าไม่มีความสำคัญต่อการขับรถแต่อย่างใด แต่กับข่าวอาชญากรรม อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนท้องถนนอย่างมากมายในปัจจุบัน ได้มีส่วนส่งเสริมอย่างยิ่งที่ทำให้คนส่วนใหญ่เริ่มเปลี่ยนทัศนคติกับอุปกรณ์เทคโนโลยีชิ้นนี้ว่า มีความจำเป็นต่อการขับขี่ยวดยานในยุคปัจจุบันไม่น้อย
อุปกรณ์เทคโนโลยีชิ้นนี้คือ “กล้องติดรถยนต์”นั่นเอง
ด้วยความจำเป็นที่จะต้องใช้มีกล้องติดรถยนต์ไว้ใช้ในสถานการณ์เพื่อเป็นหลักฐานในการขับขี่รถยนต์ได้อย่างดีในยุคนี้ ดังนั้นการพิจารณาเลือกใช้กล้องติดรถยนต์อย่างมีประสิทธิภาพจึงมีความสำคัญขึ้นมาด้วย
สิ่งสำคัญที่จะต้องตระหนักในการเลือกซื้อกล้องติดรถยนต์นั้นประกอบด้วย
1).ความละเอียดของของกล้องในสถานการณ์การขับรถที่จำเป็นต้องมีพยานหลักฐานที่ชัดเจนอย่างมากๆเช่นนี้ สมควรจะต้องมีระดับ Full HD ขึ้นไป หรือที่คนทั่วไปจะรู้จักกันคือ 1080P (Pixels)ขึ้นไปนั่นเอง ซึ่งเป็นการยกระดับมาจาก HD Ready หรือ 720 P หรือ ซึ่งยิ่งมีความชัดเจนมากเพียงใด การระบุถึงเหตุร้าย หรืออาชญากรรมที่เกิดขึ้นก็สามารถระบุได้อย่างแจ่มชัดยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ของกล้องติดรถยนต์ที่ซื้อขายกันอยู่นั้น จะระบุว่ามี Full HD ก็จริง แต่หากทำได้จะต้องพิจารณาด้วยว่าเลนส์ หรือชิปประมวลผลของค่ายใด ยี่ห้อใด ที่ใช้กับกล้องติดรถยนต์นั้นๆ
มีความน่าเชื่อถือเพียงใดด้วย …
2)ภาพเคลื่อนไหวต้องสมจริง การใช้กล้องติดรถยนต์เพื่อเป็นหลักฐานด้านอาชญากรรม อุบัติเหตุที่ผ่านมานั้นจะพบว่า มักจะพบปัญหาว่าหลักฐานด้านภาพเคลื่อนไหวนั้น มีการเคลื่อนไหวที่ไม่เป็นธรรมชาติ ทำให้การสืบเสาะหาสาเหตุแห่งอุบัติภัย หรืออาชญากรรม เบี่ยงเบนจากข้อเท็จจริงได้
ดังนั้นจึงจะต้องให้ความใส่ใจกับความลื่นไหลในการถ่ายทำของกล้อง หรือที่ FPS (Frame Per Second) หรืออัตราเฟรมภาพต่อวินาที โดยหากใน 1 วินาทีมีภาพผ่านกล้องได้มากเพียงใด ความละเอียดยิ่งมีมากเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ความละเอียดของภาพที่ผ่านแต่ละเฟรมไปบันทึกในกล้องนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป เพราะยิ่งมีความละเอียดมากขึ้น ก็จะยิ่งกินความจำของกล้องมากขึ้นเท่านั้น
นั่นหมายถึงการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ดังนั้นสมควรจะที่จะต้องยึดทางสายกลางไว้ โดยกำหนดเฟรมต่อวินาที ไม่มากไม่น้อยเกินไป
3).มุมกล้อง ต้องตระหนักด้วยว่ายิ่งมุมกล้องกว้างเพียงใด ก็จะยิ่งจับความเคลื่อนไหวของเหตุการณ์ได้กว้างไกลเพียงนั้น และต้องอย่าลืมว่า ยิ่งจับมุมกว้างมากขึ้น ความคมชัดของภาพอาจจะลดน้อยลง ดังนั้น มุมกล้องประมาณ 120 องศาน่าจะพอเพียงสำหรับจับภาพกล้องติดรถยนต์ น่าจะพอสมควรแล้ว
4).G-Sensor พื้นฐานที่ต้องมีในกล้องติดรถยนต์อย่างยิ่งนั่นคือ ระบบกันสะเทือนของกล้องหรือ G-Sensor คงนึกภาพออกว่า หากรถเกิดสั่นสะเทือนอย่างมากขึ้น ส่งผลให้ภาพที่ออกมากระเทือนอย่างยิ่งแล้ว การรับชมเพื่อตรวจดูภาพในภายหลังจะมีปัญหามากน้อยเพียงใด G-Sensor จะเป็นฟังก์ชั่นที่กันเอาการบันทึกในช่วงที่มีการสั่นสะเทือนมาเก็บไว้ต่างหากจากไฟล์ภาพเคลื่อนไหวปกติ และจะไม่สามารถลบทิ้ง หรือบันทึกซ้ำใหม่ได้ยกเว้นแต่มีการฟอร์แมทเมมโมรี่การ์ดเท่านั้น ซึ่งในกล้องติดรถยนต์บางรุ่น บางยี่ห้อ จะใช้เป็น Emergency Button แทน
นอกจาก G-Sensor ที่ต้องมีอยู่ในกล้องติดรถยนต์ทุกกล้องแล้ว ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหว หรือ Motion Detect ซึ่งสามารถจับภาพได้เมื่อมีความเคลื่อนไหวข้างหน้ารถ โดยจะต้องมีการระบุว่า จะใช้งานเมื่อใด อย่างไรก็ตาม หากจะใช้ฟังก์ชั่นนี้ได้ก็จำเป็นต้องมีไฟมาหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา หรือต้องต่อเข้ากับพาวเวอร์แบงก์ที่ต้องเสริมเข้ามาด้วย
5).ต้องใส่ใจรูรับแสง ค่า F หรือค่า F/Stop ของกล้องติดรถยนต์ถือว่าเป็นอีกจุดหนึ่งที่ต้องตระหนักว่า โดยถ้าค่า F มีน้อย รูรับแสงจะเปิดกว้าง แสงเข้าได้มาก ภาษากล้องเรียกว่า “ชัดตื้น” จะทำให้ให้ภาพที่ชัดได้เพียงแค่จุดโฟกัส หรือบริเวณใกล้เท่านั้นแต่ถ้าค่า F มาก รูรับแสงจะเปิดน้อย แสงจะเข้าได้น้อย ภาษากล้องเรียกว่า “ชัดลึก” นั่นคือ ทำให้ภาพมีความชัดได้ดีทั้งภาพ
ด้วยค่า F ที่ตั้งไว้ นั้น จะเป็นสิ่งสำคัญเมื่อจะต้องบันทึกภาพที่จะเกิดขึ้นในยามค่ำคืน เพราะนอกจากความชัดจากการตั้งค่า F แล้วจะต้องคำนึงถึงการนำกล้องไปใช้ในยามค่ำคืนด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ก็คงต้องทำใจก่อนว่า การถ่ายยามค่ำคืนนั้น เป็นสิ่งซึ่งยากตามสมควร เนื่องจากแสงมีน้อย และแม้ว่าจะมีการนำเอา ระบบ Infrared LEDs เข้ามาใช้อีกด้วยก็ตาม
ดังนั้น การใช้กล้องติดรถยนต์ในยามยามค่ำคืนจึงต้องใส่ใจที่จะต้องมีฟังก์ชั่น WDR หรือ Wide Dynamic Range ที่มีใช้กันอยู่ในกล้องวงจรปิดทั้งหลาย ซึ่งจะช่วยทำให้บันทึกภาพเวลากลางคืนที่แสงมีค่อนข้างน้อย ให้สว่างขึ้น มีรายละเอียดของภาพมากขึ้น
6).แบตเตอรี่ กล้องติดรถยนต์ที่มีใช้อยู่ในท้องตลาดนั้น จะมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกันคือ ที่มีแบตเตอรี่ในตัวใช้งานได้ทันที ไม่ต้องไปต่อไฟจากที่ดูดบุหรี่ และอีกประเภทซึ่งมี Capacitor ที่ทำหน้าที่เหมือนแบตเตอรี่สำรอง ซึ่งมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน โดยที่มีแบตเตอรี่ในตัวนั้น ใช้สะดวก แต่จะมีปัญหาแบตรั่ว แบตเสื่อม หรือแบตหมดอายุตามมา อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้อสำคัญคือ ความร้อนจากแสงแดดที่แผดเผาเข้ามาทางหน้ารถ จะมีผลต่อแบตเตอรี่ที่ติดอยู่ในตัวกล้องได้ง่าย ดังนั้นจะพบว่า กล้องติดรถยนต์ที่ดีจะมี Capacitor ที่ต่อสำรองไฟมาจากที่จุดบุหรี่ จะมีเฉพาะกล้องระดับแบรนด์เนมที่มีราคาค่อนข้างสูงเท่านั้น
7).ความจำ (Memmory) การ์ดความจำที่นำมาใช้กับกล้องติดรถยนต์นั้น โดยมาตรฐานปัจจุบันจะอยู่ที่ 32 GB โดยใช้การ์ดแบบ Micro SDHC ซึ่งหากผู้ใช้กล้องมีความจำเป็นที่จะต้องเดินทางบนท้องถนนมาก ก็อาจใช้การ์ดความจำที่มีปริมาณ GB มากกว่าก็ได้ หรืออาจจะน้อยกว่านี้ก็ย่อมได้ แล้วแต่ความจำเป็น
แต่เราควรจำตัวเลขหนึ่งไว้ว่า การอัดวิดีโอจากกล้องติดรถยนต์ด้วยความละเอียด 1080 พิกเซลส์ ในอัตรา 30 เฟรมต่อวินาที ด้วยประเภทของภาพแบบ AVI นั้น หากจะอัดวิดีโอความยาว 3 นาที เราจะต้องใช้ความจำปริมาณ 400 MB หากจะต้องอัดวิดีโอความยาว 20 นาที จะต้องใช้ความจำปริมาณ 8 GB ดังนั้นจึงแนะนำว่า หากจะต้องอัดวิดีโอสำหรับการเดินทางในระยะเวลา 80 นาที และตั้งความละเอียดไว้ที่ 720 พิกเซลส์ ก็จะใช้ปริมาณความจำ 16 GB
ข้อเตือนใจสำคัญที่สุด สำหรับการใช้งานกล้องติดรถยนต์ในสถานการณ์ปัจจุบันนั้นก็คือ พึงมี “สติ”และตื่นตัวตลอดเวลาในการใช้รถใช้ถนน อย่าพึงคิดว่าเมื่อมีกล้องติดรถยนต์แล้ว เราจะสามารถวางใจว่าแม้จะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นต่อหน้าเราเพียงใด ก็จะมี “พยาน” ที่จะคอยปกป้องเราได้เพราะ “สติ” นั่นเอง จะทำให้เหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้นกับเรา ลดน้อยลงไปได้กว่าครึ่ง หรือมากกว่านั้น ..
เรื่องควรรู้ ก่อนซื้อกล้องติดรถยนต์
เรื่องควรรู้ ก่อนซื้อกล้องติดรถยนต์
หลายคนคงเคยมองข้ามความสำคัญของอุปกรณ์เทคโนโลยีชิ้นนี้ไป โดยคิดว่าไม่มีความสำคัญต่อการขับรถแต่อย่างใด แต่กับข่าวอาชญากรรม อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนท้องถนนอย่างมากมายในปัจจุบัน ได้มีส่วนส่งเสริมอย่างยิ่งที่ทำให้คนส่วนใหญ่เริ่มเปลี่ยนทัศนคติกับอุปกรณ์เทคโนโลยีชิ้นนี้ว่า มีความจำเป็นต่อการขับขี่ยวดยานในยุคปัจจุบันไม่น้อย
อุปกรณ์เทคโนโลยีชิ้นนี้คือ “กล้องติดรถยนต์”นั่นเอง
ด้วยความจำเป็นที่จะต้องใช้มีกล้องติดรถยนต์ไว้ใช้ในสถานการณ์เพื่อเป็นหลักฐานในการขับขี่รถยนต์ได้อย่างดีในยุคนี้ ดังนั้นการพิจารณาเลือกใช้กล้องติดรถยนต์อย่างมีประสิทธิภาพจึงมีความสำคัญขึ้นมาด้วย
สิ่งสำคัญที่จะต้องตระหนักในการเลือกซื้อกล้องติดรถยนต์นั้นประกอบด้วย
1).ความละเอียดของของกล้องในสถานการณ์การขับรถที่จำเป็นต้องมีพยานหลักฐานที่ชัดเจนอย่างมากๆเช่นนี้ สมควรจะต้องมีระดับ Full HD ขึ้นไป หรือที่คนทั่วไปจะรู้จักกันคือ 1080P (Pixels)ขึ้นไปนั่นเอง ซึ่งเป็นการยกระดับมาจาก HD Ready หรือ 720 P หรือ ซึ่งยิ่งมีความชัดเจนมากเพียงใด การระบุถึงเหตุร้าย หรืออาชญากรรมที่เกิดขึ้นก็สามารถระบุได้อย่างแจ่มชัดยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ของกล้องติดรถยนต์ที่ซื้อขายกันอยู่นั้น จะระบุว่ามี Full HD ก็จริง แต่หากทำได้จะต้องพิจารณาด้วยว่าเลนส์ หรือชิปประมวลผลของค่ายใด ยี่ห้อใด ที่ใช้กับกล้องติดรถยนต์นั้นๆ
มีความน่าเชื่อถือเพียงใดด้วย …
2)ภาพเคลื่อนไหวต้องสมจริง การใช้กล้องติดรถยนต์เพื่อเป็นหลักฐานด้านอาชญากรรม อุบัติเหตุที่ผ่านมานั้นจะพบว่า มักจะพบปัญหาว่าหลักฐานด้านภาพเคลื่อนไหวนั้น มีการเคลื่อนไหวที่ไม่เป็นธรรมชาติ ทำให้การสืบเสาะหาสาเหตุแห่งอุบัติภัย หรืออาชญากรรม เบี่ยงเบนจากข้อเท็จจริงได้
ดังนั้นจึงจะต้องให้ความใส่ใจกับความลื่นไหลในการถ่ายทำของกล้อง หรือที่ FPS (Frame Per Second) หรืออัตราเฟรมภาพต่อวินาที โดยหากใน 1 วินาทีมีภาพผ่านกล้องได้มากเพียงใด ความละเอียดยิ่งมีมากเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ความละเอียดของภาพที่ผ่านแต่ละเฟรมไปบันทึกในกล้องนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป เพราะยิ่งมีความละเอียดมากขึ้น ก็จะยิ่งกินความจำของกล้องมากขึ้นเท่านั้น
นั่นหมายถึงการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ดังนั้นสมควรจะที่จะต้องยึดทางสายกลางไว้ โดยกำหนดเฟรมต่อวินาที ไม่มากไม่น้อยเกินไป
3).มุมกล้อง ต้องตระหนักด้วยว่ายิ่งมุมกล้องกว้างเพียงใด ก็จะยิ่งจับความเคลื่อนไหวของเหตุการณ์ได้กว้างไกลเพียงนั้น และต้องอย่าลืมว่า ยิ่งจับมุมกว้างมากขึ้น ความคมชัดของภาพอาจจะลดน้อยลง ดังนั้น มุมกล้องประมาณ 120 องศาน่าจะพอเพียงสำหรับจับภาพกล้องติดรถยนต์ น่าจะพอสมควรแล้ว
4).G-Sensor พื้นฐานที่ต้องมีในกล้องติดรถยนต์อย่างยิ่งนั่นคือ ระบบกันสะเทือนของกล้องหรือ G-Sensor คงนึกภาพออกว่า หากรถเกิดสั่นสะเทือนอย่างมากขึ้น ส่งผลให้ภาพที่ออกมากระเทือนอย่างยิ่งแล้ว การรับชมเพื่อตรวจดูภาพในภายหลังจะมีปัญหามากน้อยเพียงใด G-Sensor จะเป็นฟังก์ชั่นที่กันเอาการบันทึกในช่วงที่มีการสั่นสะเทือนมาเก็บไว้ต่างหากจากไฟล์ภาพเคลื่อนไหวปกติ และจะไม่สามารถลบทิ้ง หรือบันทึกซ้ำใหม่ได้ยกเว้นแต่มีการฟอร์แมทเมมโมรี่การ์ดเท่านั้น ซึ่งในกล้องติดรถยนต์บางรุ่น บางยี่ห้อ จะใช้เป็น Emergency Button แทน
นอกจาก G-Sensor ที่ต้องมีอยู่ในกล้องติดรถยนต์ทุกกล้องแล้ว ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหว หรือ Motion Detect ซึ่งสามารถจับภาพได้เมื่อมีความเคลื่อนไหวข้างหน้ารถ โดยจะต้องมีการระบุว่า จะใช้งานเมื่อใด อย่างไรก็ตาม หากจะใช้ฟังก์ชั่นนี้ได้ก็จำเป็นต้องมีไฟมาหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา หรือต้องต่อเข้ากับพาวเวอร์แบงก์ที่ต้องเสริมเข้ามาด้วย
5).ต้องใส่ใจรูรับแสง ค่า F หรือค่า F/Stop ของกล้องติดรถยนต์ถือว่าเป็นอีกจุดหนึ่งที่ต้องตระหนักว่า โดยถ้าค่า F มีน้อย รูรับแสงจะเปิดกว้าง แสงเข้าได้มาก ภาษากล้องเรียกว่า “ชัดตื้น” จะทำให้ให้ภาพที่ชัดได้เพียงแค่จุดโฟกัส หรือบริเวณใกล้เท่านั้นแต่ถ้าค่า F มาก รูรับแสงจะเปิดน้อย แสงจะเข้าได้น้อย ภาษากล้องเรียกว่า “ชัดลึก” นั่นคือ ทำให้ภาพมีความชัดได้ดีทั้งภาพ
ด้วยค่า F ที่ตั้งไว้ นั้น จะเป็นสิ่งสำคัญเมื่อจะต้องบันทึกภาพที่จะเกิดขึ้นในยามค่ำคืน เพราะนอกจากความชัดจากการตั้งค่า F แล้วจะต้องคำนึงถึงการนำกล้องไปใช้ในยามค่ำคืนด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ก็คงต้องทำใจก่อนว่า การถ่ายยามค่ำคืนนั้น เป็นสิ่งซึ่งยากตามสมควร เนื่องจากแสงมีน้อย และแม้ว่าจะมีการนำเอา ระบบ Infrared LEDs เข้ามาใช้อีกด้วยก็ตาม
ดังนั้น การใช้กล้องติดรถยนต์ในยามยามค่ำคืนจึงต้องใส่ใจที่จะต้องมีฟังก์ชั่น WDR หรือ Wide Dynamic Range ที่มีใช้กันอยู่ในกล้องวงจรปิดทั้งหลาย ซึ่งจะช่วยทำให้บันทึกภาพเวลากลางคืนที่แสงมีค่อนข้างน้อย ให้สว่างขึ้น มีรายละเอียดของภาพมากขึ้น
6).แบตเตอรี่ กล้องติดรถยนต์ที่มีใช้อยู่ในท้องตลาดนั้น จะมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกันคือ ที่มีแบตเตอรี่ในตัวใช้งานได้ทันที ไม่ต้องไปต่อไฟจากที่ดูดบุหรี่ และอีกประเภทซึ่งมี Capacitor ที่ทำหน้าที่เหมือนแบตเตอรี่สำรอง ซึ่งมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน โดยที่มีแบตเตอรี่ในตัวนั้น ใช้สะดวก แต่จะมีปัญหาแบตรั่ว แบตเสื่อม หรือแบตหมดอายุตามมา อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้อสำคัญคือ ความร้อนจากแสงแดดที่แผดเผาเข้ามาทางหน้ารถ จะมีผลต่อแบตเตอรี่ที่ติดอยู่ในตัวกล้องได้ง่าย ดังนั้นจะพบว่า กล้องติดรถยนต์ที่ดีจะมี Capacitor ที่ต่อสำรองไฟมาจากที่จุดบุหรี่ จะมีเฉพาะกล้องระดับแบรนด์เนมที่มีราคาค่อนข้างสูงเท่านั้น
7).ความจำ (Memmory) การ์ดความจำที่นำมาใช้กับกล้องติดรถยนต์นั้น โดยมาตรฐานปัจจุบันจะอยู่ที่ 32 GB โดยใช้การ์ดแบบ Micro SDHC ซึ่งหากผู้ใช้กล้องมีความจำเป็นที่จะต้องเดินทางบนท้องถนนมาก ก็อาจใช้การ์ดความจำที่มีปริมาณ GB มากกว่าก็ได้ หรืออาจจะน้อยกว่านี้ก็ย่อมได้ แล้วแต่ความจำเป็น
แต่เราควรจำตัวเลขหนึ่งไว้ว่า การอัดวิดีโอจากกล้องติดรถยนต์ด้วยความละเอียด 1080 พิกเซลส์ ในอัตรา 30 เฟรมต่อวินาที ด้วยประเภทของภาพแบบ AVI นั้น หากจะอัดวิดีโอความยาว 3 นาที เราจะต้องใช้ความจำปริมาณ 400 MB หากจะต้องอัดวิดีโอความยาว 20 นาที จะต้องใช้ความจำปริมาณ 8 GB ดังนั้นจึงแนะนำว่า หากจะต้องอัดวิดีโอสำหรับการเดินทางในระยะเวลา 80 นาที และตั้งความละเอียดไว้ที่ 720 พิกเซลส์ ก็จะใช้ปริมาณความจำ 16 GB
ข้อเตือนใจสำคัญที่สุด สำหรับการใช้งานกล้องติดรถยนต์ในสถานการณ์ปัจจุบันนั้นก็คือ พึงมี “สติ”และตื่นตัวตลอดเวลาในการใช้รถใช้ถนน อย่าพึงคิดว่าเมื่อมีกล้องติดรถยนต์แล้ว เราจะสามารถวางใจว่าแม้จะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นต่อหน้าเราเพียงใด ก็จะมี “พยาน” ที่จะคอยปกป้องเราได้เพราะ “สติ” นั่นเอง จะทำให้เหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้นกับเรา ลดน้อยลงไปได้กว่าครึ่ง หรือมากกว่านั้น ..