ความจริงกระทู้นี้ไม่ได้มีสาระอะไรเลย เเต่เราเชื่อว่าหลายคนต้องเคยเป็นเหมือนเรา
จุดที่หลายคนเคยยืนอยู่ นั่นคือการเป็นเเฟนเก่า
เราเคยอ่านมาหลายกระทู้ เเละหลายๆกระทู้ก็มีความเหมือนเเละต่างกันไป
เราอยากเล่าเรื่องของเราบ้าง มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย เเต่เราคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นโทษสำหรับใคร
ถ้ามันน่ารำคาญ เราอยากให้เลื่อนผ่านไป อย่าทำร้ายจิตใจกันเลยนะคะ^^
เรากับเเฟนเก่าเจอกันตอนเรียนอยู่ปี1 ที่มหาวิทยาลัยเเถวศาลายา เราเจอกันตอนปลายๆเทอมสองของปี1เพราะต้องเรียนวิชาเดียวกัน เเละมีการทำงานกลุ่ม เวลาเข้ากลุ่มเรากับเค้าไม่เคยช่วยทำงานตรงกันเลย ถ้าวันนี้เราไปช่วยงานกลุ่ม พรุ่งนี้เค้าจะไม่มาเป็นอย่างนี้จนวันสุดท้ายที่จะต้องไปทำโครงการให้โรงเรียนเเถวมหาวิทยาลัย เราถึงได้เจอกัน เเละวันนั้นเค้าก็มาสายด้วย (ประมาณว่าใส่ชุดนักศึกษาชุดเดิมของเมื่อวานด้วย5555) วันนั้นเราหงุดหงิดมากเพราะอากาศก็ร้อน สมาชิกก็มาสาย กว่าจะมาถึงเค้าก็นั่งรถรางผิดสายไปหลายรอบ พอเจอหน้ากันเราก็งงอีกว่านี่อยู่กลุ่มเดียวกันด้วยหรอ เเบบไม่เคยเจอกันเลยทั้งที่เรียนวิชาเดียวกัน 4 วิชามาเป็นปีๆ ทั้งที่อยู่คนละคณะกัน เเต่สุดท้ายวันนั้นเราก็ได้ไปทำโครงการด้วยกัน วันนั้นเเหละเป็นจุดเริ่มต้นของความรู้สึกดีๆ หลังจากทำงานเสร็จมันต้องมีการเเก้งาน ซึ่งเราก็ทำอะไรไม่ได้มาก เค้าก็ไม่ใช่ตัวหลัก ส่วนใหญ่เลยนั่งคุยกัน เรารู้สึกว่าเค้าเป็นคนน่าคบ เราชอบที่จะคุยกับเค้านะ เราชอบที่เค้าเลี้ยงขนม555 อันนี้คือช๊อค เพราะไม่เคยมีใครเลี้ยงขนมเรามาก่อน เเต่เราเห็นเเกกินไงก็เลยกิน หลังจากนั้นเราก็คุยกับเค้าทุกวัน คุยไปเรื่อยๆเเบบไม่มีอะไรคุยก็คุย เราไม่ค่อยได้เจอกันนอกจากเรียนวิชาเดียวกันซึ่งเหลืออีกไม่กี่ครั้งที่จะได้เรียนด้วยกัน จนคุยๆไปเราเริ่มรู้สึกว่าตัวเองชอบเค้าทั้งที่ไม่น่าจะชอบได้ มันกลายเป็นความหวัง เเต่ก็ไม่มีหวัง เเต่ตอนนั้นเรามีความสุขมากที่ได้คุย เรารู้ว่าเค้าคงไม่คิดอะไร เเต่หลายอย่างที่เค้าทำมันทำให้เรารู้สึกพิเศษเเบบที่ไม่เคยมีใครทำให้ โดยที่เราเองก็ไม่รู้ว่าเค้าทำเเบบนี้กับทุกคนหรือเปล่า จนปิดเทอม เราก็เก็บความรู้สึกนั้นไว้ เเละคุยกันบ้างเป็นบางวัน เพราะเรากลับบ้านไม่มีอินเตอร์เน็ตจุงคุยนานๆครั้ง จนช่วงปลายปีของปีนั้น เราไม่รู้ว่าเค้าเสียใจเรื่องอะไรอยู่ๆเค้าก็ทักเรามาเเล้วบอกว่า ขอบคุณที่เราอยู่ข้างๆเค้า เเละต่อด้วยประโยคที่ว่า เค้ารู้ว่าเราคิดอะไร มันเลยทำให้เรากลัวเเละไม่ติดต่อเค้าไปอีกเลย. เค้าเองก็หายไปเหมือนกัน จนช่วงต้นปีถัดมา เราซื้อไอโฟน เเล้วเรามีเบอร์เค้าไลน์เลยเด้งขึ้นมา เรารวบรวมความกล้าทักเค้าไปอีกครั้ง เเละเราก็ได้คุยกันอีกครั้ง ตอนนั้นเราดีใจมากๆ อยากให้เป็อย่างนี้ตลอดไป. หลังจากนั้นเราคุยกันทุกวัน เรามีความสุขที่ทุกอย่างเป็นเเบบนี้ จนผ่านไปเกือบๆห้าเดือนมั้ง จำไม่ได้เหมือนกันว่าคุยอะไรกัน เเล้วจู่ เค้าก็ถามเราว่าเดี๋ยวนี้ไม่เพ้อเเล้วหรอ เราก็เลยบอกว่ามันไม่จำเป็นเเล้ว เค้าก็เลยอยากรู้ว่าทำไม เราก็เลยบอกชอบเค้าไป ความจริงเหตุการณ์ตอนนั้นมันไม่ได้ง่ายๆเหมือนตอนพิมพ์หรอก กว่าจะพูดก็กินเวลาหลายชั่วโมงอยู่เหมือนกัน เเล้วเราก็เล่าความรู้สึกตอนปีหนึ่ง อะไรหลายอย่างๆที่เราทำให้เค้าฟัง หลังจากนั้นเราก็เขินเวลาคุยนะ เพราะเค้ารู้ว่าเรารู้สึกยังไง เเต่เราคิดว่าเค้าน่าจะรู้นานเเล้วล่ะ เค้าเเค่ไม่พูด อยากจากนั้นสักเดือนเค้าก็ขอเราเป็นเเฟน ตอนนั้นเราโคตรจะดีใจเลย เเต่อีกมุมหนึ่งก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ เเต่เราก็ตอบตกลงไปนะ เรามีความสุขมากๆ เลยตอนนั้น เเต่ตอนเป็นเเฟนมันก็ไม่ได้ราบรื่นหรอก ทะเลาะกัน เเต่เราว่ามันโคตรไร้สาระเลย. พอมองตอนนี้ก็รู้สึกตลกอ่ะ เค้าขี้หงุดหงิด คือบางครั้งเราก็ตามอารมณ์ไม่ทัน บางครั้งดูเย็นชา เรายังเคยบอกเค้าเลยว่าเหมือนพระเอกนิยายเเจ่มใสเลย 55555 เราเองก็ขี้น้อยใจ เเต่เค้าเป็นเเฟนที่ดีมาก ถ้าตัดเรื่องนี้ไปไม่มีอะไรบกพร่อง เราชอบเค้าที่เป็นอย่างนี้ เเต่ตอนนั้นเรายังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจ เค้ายังเคยบอกเราว่าถ้าหาได้ดีกว่าก็ไปสิ มันก็จริงนะสามวันดีสี่วันทะเลาะ ด้วยเรื่องไร้สาระมากๆ เเต่ตอนนั้นเราว่ามันยิ่งใหญ่มาก จนวันนึงเราบอกเลิกเค้าในวันที่กำลังจะเจอกัน เพราะอารมณ์น้อยใจ รวมถึงเรื่องของเราที่ไม่มีหนทางจะเป็นไปได้เลย เราเเค่หวังว่าสักวันมันจะเป็นไปได้ เราเลิกกันทางโทรศัพท์ที่ไม่มีเเม้เเต่โอกาสที่จะรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ ตอนนั้นเราคิดนะว่าเราเจ็บปวด มากๆ เเละจะไม่ทนอยู่ จึงเป็นฝ่ายปล่อยมือไป เเต่สุดท้ายคนที่เสียใจ มันก็เป็นเราอยู่ดี ตอนเลิกกันใหม่ๆก็ยังมีติดต่อกันอยู่บ้าง เเต่เรารู้สึกว่าถ้าเป็นอย่างนี้เราก็คงทำใจไม่ได้ เราทำใจเป็นเเค่เพื่อนไม่ได้จริงๆ เราก็เลยตัดสินใจบล๊อกเฟส ไลน์เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรับรู้อะไรกันอีก เเต่เชื่อมั้ยว่า เรากลับคิดถึงเค้าอยู่เสมอ ต่อให้เราบล๊อคทุกอย่าง เเต่เรายังจำเบอร์เค้าได้ขึ้นใจ หลายครั้งที่อยากโทรหา เเต่ท้ายที่สุดเราก็ต้องหักห้ามใจตัวเองให้ได้ เราเป็นฝ่ายปล่อยมือเค้าไปเอง เราผิดเองทุกอย่าง. อย่าลากเค้าเข้ามาเจ็บปวดอีกเลย เราไม่รู้ว่าตอนนี้เค้าเป็นยังใงบ้าง เวลาคิดถึง เราก็ทำได้เเค่ดูรูปเก่าๆ หรือนั่งรถไปเเถวบ้านเค้าเผื่อจะเจอ555555 เรายังคงเป็นห่วงเค้าอยู่เสมอ เรายังมองเค้าอยู่ตลอด เเม้ว่าจะมองไม่เห็น เราก็ยังหวังว่าเค้าคงสบายดี เค้าเก่งอยู่เเล้ว หรืออาจจะมีคนอื่นที่ดูเเลเค้าอยู่เเล้วก็ได้ คนที่ได้ชื่อว่าเเฟนเก่าคงทำได้เเค่นี้ หรือบางทีเค้าอาจจะคิดก็ได้ว่าเป็นคนบอกเลิกเค้าเองจะมานั่งคร่ำครวญอะไร ก็จริงเนอะ จะทำให้ได้อะไรขึ้นมา
เราไม่คิดว่าตัวเองจะพิมพ์อะไรได้ยาวขนาดนี้ยกเว้นรายงาน เราชอบเขียนไดอารี่ เราถือว่านี่เป็นไดอารี่ก็เเล้วกัน ไดอารี่ที่เราอยากให้ใครที่มีชีวิตเหมือนกัน ได้อ่านกัน เเละเผื่อว่ามันจะถึงคนๆนั้น เผื่อว่าเค้าจะได้อ่าน เราอยากรู้ว่าเค้าสบายดีมั้ย ส่วนเราก็สบายดี
ขอบคุณใครก็ตามที่เข้ามาเเละอดทนอ่านจนจบ
เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่มีชีวิตคล้ายๆกันนะคะ
ป.ล รู้สึกตลกตัวเองอ่ะ
ปฺล เป็ดพะโล้
"คิดถึงนะ "คำสั้นๆที่อยากจะบอกคนๆนึง
จุดที่หลายคนเคยยืนอยู่ นั่นคือการเป็นเเฟนเก่า
เราเคยอ่านมาหลายกระทู้ เเละหลายๆกระทู้ก็มีความเหมือนเเละต่างกันไป
เราอยากเล่าเรื่องของเราบ้าง มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย เเต่เราคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นโทษสำหรับใคร
ถ้ามันน่ารำคาญ เราอยากให้เลื่อนผ่านไป อย่าทำร้ายจิตใจกันเลยนะคะ^^
เรากับเเฟนเก่าเจอกันตอนเรียนอยู่ปี1 ที่มหาวิทยาลัยเเถวศาลายา เราเจอกันตอนปลายๆเทอมสองของปี1เพราะต้องเรียนวิชาเดียวกัน เเละมีการทำงานกลุ่ม เวลาเข้ากลุ่มเรากับเค้าไม่เคยช่วยทำงานตรงกันเลย ถ้าวันนี้เราไปช่วยงานกลุ่ม พรุ่งนี้เค้าจะไม่มาเป็นอย่างนี้จนวันสุดท้ายที่จะต้องไปทำโครงการให้โรงเรียนเเถวมหาวิทยาลัย เราถึงได้เจอกัน เเละวันนั้นเค้าก็มาสายด้วย (ประมาณว่าใส่ชุดนักศึกษาชุดเดิมของเมื่อวานด้วย5555) วันนั้นเราหงุดหงิดมากเพราะอากาศก็ร้อน สมาชิกก็มาสาย กว่าจะมาถึงเค้าก็นั่งรถรางผิดสายไปหลายรอบ พอเจอหน้ากันเราก็งงอีกว่านี่อยู่กลุ่มเดียวกันด้วยหรอ เเบบไม่เคยเจอกันเลยทั้งที่เรียนวิชาเดียวกัน 4 วิชามาเป็นปีๆ ทั้งที่อยู่คนละคณะกัน เเต่สุดท้ายวันนั้นเราก็ได้ไปทำโครงการด้วยกัน วันนั้นเเหละเป็นจุดเริ่มต้นของความรู้สึกดีๆ หลังจากทำงานเสร็จมันต้องมีการเเก้งาน ซึ่งเราก็ทำอะไรไม่ได้มาก เค้าก็ไม่ใช่ตัวหลัก ส่วนใหญ่เลยนั่งคุยกัน เรารู้สึกว่าเค้าเป็นคนน่าคบ เราชอบที่จะคุยกับเค้านะ เราชอบที่เค้าเลี้ยงขนม555 อันนี้คือช๊อค เพราะไม่เคยมีใครเลี้ยงขนมเรามาก่อน เเต่เราเห็นเเกกินไงก็เลยกิน หลังจากนั้นเราก็คุยกับเค้าทุกวัน คุยไปเรื่อยๆเเบบไม่มีอะไรคุยก็คุย เราไม่ค่อยได้เจอกันนอกจากเรียนวิชาเดียวกันซึ่งเหลืออีกไม่กี่ครั้งที่จะได้เรียนด้วยกัน จนคุยๆไปเราเริ่มรู้สึกว่าตัวเองชอบเค้าทั้งที่ไม่น่าจะชอบได้ มันกลายเป็นความหวัง เเต่ก็ไม่มีหวัง เเต่ตอนนั้นเรามีความสุขมากที่ได้คุย เรารู้ว่าเค้าคงไม่คิดอะไร เเต่หลายอย่างที่เค้าทำมันทำให้เรารู้สึกพิเศษเเบบที่ไม่เคยมีใครทำให้ โดยที่เราเองก็ไม่รู้ว่าเค้าทำเเบบนี้กับทุกคนหรือเปล่า จนปิดเทอม เราก็เก็บความรู้สึกนั้นไว้ เเละคุยกันบ้างเป็นบางวัน เพราะเรากลับบ้านไม่มีอินเตอร์เน็ตจุงคุยนานๆครั้ง จนช่วงปลายปีของปีนั้น เราไม่รู้ว่าเค้าเสียใจเรื่องอะไรอยู่ๆเค้าก็ทักเรามาเเล้วบอกว่า ขอบคุณที่เราอยู่ข้างๆเค้า เเละต่อด้วยประโยคที่ว่า เค้ารู้ว่าเราคิดอะไร มันเลยทำให้เรากลัวเเละไม่ติดต่อเค้าไปอีกเลย. เค้าเองก็หายไปเหมือนกัน จนช่วงต้นปีถัดมา เราซื้อไอโฟน เเล้วเรามีเบอร์เค้าไลน์เลยเด้งขึ้นมา เรารวบรวมความกล้าทักเค้าไปอีกครั้ง เเละเราก็ได้คุยกันอีกครั้ง ตอนนั้นเราดีใจมากๆ อยากให้เป็อย่างนี้ตลอดไป. หลังจากนั้นเราคุยกันทุกวัน เรามีความสุขที่ทุกอย่างเป็นเเบบนี้ จนผ่านไปเกือบๆห้าเดือนมั้ง จำไม่ได้เหมือนกันว่าคุยอะไรกัน เเล้วจู่ เค้าก็ถามเราว่าเดี๋ยวนี้ไม่เพ้อเเล้วหรอ เราก็เลยบอกว่ามันไม่จำเป็นเเล้ว เค้าก็เลยอยากรู้ว่าทำไม เราก็เลยบอกชอบเค้าไป ความจริงเหตุการณ์ตอนนั้นมันไม่ได้ง่ายๆเหมือนตอนพิมพ์หรอก กว่าจะพูดก็กินเวลาหลายชั่วโมงอยู่เหมือนกัน เเล้วเราก็เล่าความรู้สึกตอนปีหนึ่ง อะไรหลายอย่างๆที่เราทำให้เค้าฟัง หลังจากนั้นเราก็เขินเวลาคุยนะ เพราะเค้ารู้ว่าเรารู้สึกยังไง เเต่เราคิดว่าเค้าน่าจะรู้นานเเล้วล่ะ เค้าเเค่ไม่พูด อยากจากนั้นสักเดือนเค้าก็ขอเราเป็นเเฟน ตอนนั้นเราโคตรจะดีใจเลย เเต่อีกมุมหนึ่งก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ เเต่เราก็ตอบตกลงไปนะ เรามีความสุขมากๆ เลยตอนนั้น เเต่ตอนเป็นเเฟนมันก็ไม่ได้ราบรื่นหรอก ทะเลาะกัน เเต่เราว่ามันโคตรไร้สาระเลย. พอมองตอนนี้ก็รู้สึกตลกอ่ะ เค้าขี้หงุดหงิด คือบางครั้งเราก็ตามอารมณ์ไม่ทัน บางครั้งดูเย็นชา เรายังเคยบอกเค้าเลยว่าเหมือนพระเอกนิยายเเจ่มใสเลย 55555 เราเองก็ขี้น้อยใจ เเต่เค้าเป็นเเฟนที่ดีมาก ถ้าตัดเรื่องนี้ไปไม่มีอะไรบกพร่อง เราชอบเค้าที่เป็นอย่างนี้ เเต่ตอนนั้นเรายังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจ เค้ายังเคยบอกเราว่าถ้าหาได้ดีกว่าก็ไปสิ มันก็จริงนะสามวันดีสี่วันทะเลาะ ด้วยเรื่องไร้สาระมากๆ เเต่ตอนนั้นเราว่ามันยิ่งใหญ่มาก จนวันนึงเราบอกเลิกเค้าในวันที่กำลังจะเจอกัน เพราะอารมณ์น้อยใจ รวมถึงเรื่องของเราที่ไม่มีหนทางจะเป็นไปได้เลย เราเเค่หวังว่าสักวันมันจะเป็นไปได้ เราเลิกกันทางโทรศัพท์ที่ไม่มีเเม้เเต่โอกาสที่จะรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ ตอนนั้นเราคิดนะว่าเราเจ็บปวด มากๆ เเละจะไม่ทนอยู่ จึงเป็นฝ่ายปล่อยมือไป เเต่สุดท้ายคนที่เสียใจ มันก็เป็นเราอยู่ดี ตอนเลิกกันใหม่ๆก็ยังมีติดต่อกันอยู่บ้าง เเต่เรารู้สึกว่าถ้าเป็นอย่างนี้เราก็คงทำใจไม่ได้ เราทำใจเป็นเเค่เพื่อนไม่ได้จริงๆ เราก็เลยตัดสินใจบล๊อกเฟส ไลน์เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรับรู้อะไรกันอีก เเต่เชื่อมั้ยว่า เรากลับคิดถึงเค้าอยู่เสมอ ต่อให้เราบล๊อคทุกอย่าง เเต่เรายังจำเบอร์เค้าได้ขึ้นใจ หลายครั้งที่อยากโทรหา เเต่ท้ายที่สุดเราก็ต้องหักห้ามใจตัวเองให้ได้ เราเป็นฝ่ายปล่อยมือเค้าไปเอง เราผิดเองทุกอย่าง. อย่าลากเค้าเข้ามาเจ็บปวดอีกเลย เราไม่รู้ว่าตอนนี้เค้าเป็นยังใงบ้าง เวลาคิดถึง เราก็ทำได้เเค่ดูรูปเก่าๆ หรือนั่งรถไปเเถวบ้านเค้าเผื่อจะเจอ555555 เรายังคงเป็นห่วงเค้าอยู่เสมอ เรายังมองเค้าอยู่ตลอด เเม้ว่าจะมองไม่เห็น เราก็ยังหวังว่าเค้าคงสบายดี เค้าเก่งอยู่เเล้ว หรืออาจจะมีคนอื่นที่ดูเเลเค้าอยู่เเล้วก็ได้ คนที่ได้ชื่อว่าเเฟนเก่าคงทำได้เเค่นี้ หรือบางทีเค้าอาจจะคิดก็ได้ว่าเป็นคนบอกเลิกเค้าเองจะมานั่งคร่ำครวญอะไร ก็จริงเนอะ จะทำให้ได้อะไรขึ้นมา
เราไม่คิดว่าตัวเองจะพิมพ์อะไรได้ยาวขนาดนี้ยกเว้นรายงาน เราชอบเขียนไดอารี่ เราถือว่านี่เป็นไดอารี่ก็เเล้วกัน ไดอารี่ที่เราอยากให้ใครที่มีชีวิตเหมือนกัน ได้อ่านกัน เเละเผื่อว่ามันจะถึงคนๆนั้น เผื่อว่าเค้าจะได้อ่าน เราอยากรู้ว่าเค้าสบายดีมั้ย ส่วนเราก็สบายดี
ขอบคุณใครก็ตามที่เข้ามาเเละอดทนอ่านจนจบ
เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่มีชีวิตคล้ายๆกันนะคะ
ป.ล รู้สึกตลกตัวเองอ่ะ
ปฺล เป็ดพะโล้