มาเล่าให้ฟังถึงการเข้าห้องเย็นที่สิงค์โปร์คะ
เราเคยไปสิงค์โปร์หลายรอบมาก แต่มา 2-3 ปีนี้ไม่ได้ไปเลยเพราะเก็บเงินมุ่งไปแต่ เกาหลี กับ ญี่ปุ่น
ประกอบเมื่อปีที่แล้ว เรากับคุณแม่ ได้เปลี่ยนชื่อใหม่
พอเปลี่ยนชื่อใหม่ก็ได้ไปทั้ง เกาหลี ญี่ปุ่น ฮ่องกง ไม่เคยเจอเรียก เจอตรวจ เจอถามเลยคะ
เราก็พกทั้งพาสเก่าพาสใหม่ใบเปลี่ยนชื่อ(ที่เป็นภาษาไทยคงช่วยอะไรไม่ได้แต่อุ่นใจ)
แต่ก็ไม่โดนเรียก ไม่มอง ไม่ถาม ไม่ซัก ไม่อะไรสักอย่าง
พอเราไปสิงคโปร์เราก็ชะล่าใจคะ นึกว่าจะชิวๆ เหมือนที่อื่น แต่ไม่คะ
ปรากฏว่า คนที่ติดคือ คุณแม่คะ(เมื่อก่อนเราจะไปพร้อมคุณแม่แต่หลังๆเจอ ตม แบบไล่เราไปรอ จนกว่าจะกวักมือ)
เราก็เข้าอีกช่อง ตอบพอประมาณ
บทสนทนาของเรา(แปลแบบมั่วๆ งูๆปลาๆ)
ตม. คุณเคยมาที่นี่ใช่ไหม
เรา. ใช่คะ
ตม. คุณต้องติ๊กว่าเคยมา
เรา. คะ ขอโทษคะ
ตม. อ้าว คุณไม่ได้ชื่อนี้นี่(สมมติ aa)
เรา. คะ เราเปลี่ยนชื่อคะ จาก aa เป็น bb
ตม. งั้นต้องติ๊กช่องนี้ และเขียนชื่อเก่าด้วย แล้วเปลี่ยนชื่อทำไม
เรา. .... กำลังจะตอบ
พอดีกับคิวคุณแม่เราเหลือบไปเห็น ตม พูดอะไรไม่รู้ โบกมือ แล้วก็ชะงัก เหมือนอะไรสักอย่าง
พร้อมกับจะเรียกคุณแม่ไป คุณแม่ก็ งง เพราะไม่เข้าใจ เราก็เลยสวนคำพูดไป
ประมาณว่า มีอะไรคะ เกิดอะไรขึ้น
ตม ตู้คุณแม่ ไม่แม่แต่จะมองเราเลยคะ ตม ตู้เราเลยบอกไปว่า เค้ามาด้วยกัน
เค้าเคยมา เปลี่ยนชื่อกัน ตม ตู้คุณแม่เลย ตะโกนแบบ เออๆ ไปนู้นๆ ไม่สนอะไร ไม่ฟังเลย
ตม ตู้เราเลยบ่นกับอีกคนที่นั่งอยู่ในตู้คุณแม่ (ในตู้คุณแม่มี ตม 2 คนนั่งอยู่นะคะ)
เราก็เลย ถามไปว่า เกิดอะไรขึ้น มีอะไร
ตม. ตู้เราบอก ไม่มีอะไร คือชื่อไม่ตรงกับในระบบ เท่านั้น
เรา . เราเลยแจ้งไปว่า ขอเข้าไปอยู่กับคุณแม่คะ
ตม. มองหน้าเราบอก จะเข้าไป? (แบบประมาณไม่อยากเชื่อว่าเราจะเข้าไปด้วย)
เรา. คะ จะไปด้วยคะ
ตม. คุณเปลี่ยนชื่อกันทำไม (หมายถึงเรากับแม่)
เรา. (นึกคำไม่ออกเลยบอกประมาณ) เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น (เราเริ่มกะวนกระวาย)
ตม. มองหน้าเรา ถอนหายใจ แล้วก็บอก เดี๋ยวพาไป ไม่ต้องห่วง
เรา. เงียบ ยิ้มแห้งๆ
ตอนนี้พอดี ตม คนนั้นเดินกลับมา ก็ไม่มองเรา ไม่สนเรา จะเปิดตู้ทำต่อ แต่ ตม ตู้เรา เห็นว่าเราไม่สนจริงๆ
เลยบอกอะไรไม่รู้กับคนนั้น สุดท้ายคนนั้นก็มองหน้าเรา แล้วก็ ถอนหายใจ เดินมาคว้าพาสปอส
พร้อมเดินนำเราไปคุยอะไรไม่รู้ พอไปอยู่อีกจุดนึง พนง ก็มองหน้า พูดประมาณ มากับคนเมื่อครู่
เราก็ คะๆ เค้าเลยพาเราเดินเข้าห้องเลยคะ
เปิดเข้าไป เจอคุณแม่นั่งหน้าซีดอยู่ เพราะไม่เข้าใจอะไร เราก็ปลี่เข้าไปปลอบแล้วคุยคร่าวๆ คุณแม่ก็ใจเย็นลง
ความผิดเราสุด ๆ เพราะเรา ลืมเอาพาสเล่มเก่ามา ลืมใบเปลี่ยนชื่อ ลืมหมดเลย ด้วยความชะล่าใจว่า คงไม่เป็นไรเหมือนที่อื่น
เกือบ ครึ่งชั่วโมง ไม่มีคนสนเรา 2 คน เพราะในห้องมี กลุ่มคนจีนประมาณ 5-6 คนอยู่ และ ต่างด้าวอีก 1
เราก็นั่งสังเกตไป เหมือนว่า 1 คนที่นั่งแยกมา จะมาขายบริการเพราะโดนให้ไปเอากระเป๋า มาเปิด พูดก็ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจอะไรเลย
กลุ่มคนจีนเหมือนรู้ก็พูดอะไรไม่รู้ใส่แทน แต่ก็เหมือนไม่เข้ามายุ่งนะคะ กลุ่มคนจีนโดนตรวจเงิน ตรวจกระเป๋าพก ตรวจเอกสาร เยอะมากอะ
กลับมาที่เรากับคุณแม่ หลังจากนั่งไปราว ๆ 40 นาทีได้ ในที่สุด
พนง ก็หันมาหาเรา พร้อมกับพูดอะไรสักอย่าง โชคดีที่เรียกชื่อเราไปก่อน
ตรงตู้ใหญ่ๆ ให้เราพิมพ์ลายนิ้วมือและสอบถามเรา
คุณกับคุณแม่มาทำอะไร คุณกับคุณแม่เคยมาที่นี่ไหม?
คุณเปลี่ยนชื่อ? คุณแม่ด้วย? เปลี่ยนชื่อเพื่อ?
คุณแม่พูดอังกฤษได้ไหม? คุณพักที่ไหน?
คุณมากี่วัน? คุณมีพาสเล่มเก่าไหม?
คุณทำงานอะไร? คุณมีรายได้จากไหน?
คุณแม่คุณทำงานอะไร? ที่บ้านคุณมีกี่คน? คุณมีแฟนไหม?
คุณเดินทางบ่อยไหม? คุณมีพี่น้องกี่คน?
จะติดต่อคุณได้ยังไง? คุณกลับเมื่อไหร่?
(ที่เค้าจะถามวกไปสลับไปมาระหว่างเรากับคุณแม่เพราะเราบอกคุณแม่พูดอังกฤษไม่ได้
และเราก็พอพูดได้ เข้าใจได้นิดหน่อย และคำถามวกไปวนมาเหมือนมีลูกล่อให้เผื่อเราเผลอ)
สักพักหลังคุยกับเรา ก็เรียกคุณแม่มาพิมพ์ลายนิ้วมือ แล้วก็ให้ไปนั่งเลย เพราะเราคอยบอกแม่แทนตลอด
พีคสุดคือ ขอดูมือถือเรา เราก็ให้ไป ทาง พนง ก็ถามหาเน็ต(เราคิดว่าเค้าคงอยากดูการติดต่อของเราทางโซเชี่ยว)
เราก็บอกว่า ไม่มีเน็ต เพราะกะจะมาซื้อซิมที่นี่ใช้ พนง ก็ อืม ๆ แล้วสุดท้ายก็ขอเราดูรูปในแกลอรี่
เราก็เสนอเลยคะ โชคดีที่เราชอบเซฟรูปไปเที่ยวกับคุณแม่หลายๆ ที่เก็บไว้เป็นคอลเลคชั่นแยกไว้เลย
พนงก็บอก ไหนรูปคุณพ่อ (เพราะเราว่าที่บ้านมี 3 คน มีพ่อ แม่ แล้วก็เรา ไม่มีแฟน ไม่มีพี่น้อง)
เราก็คิด ตายละไม่มีรูปพ่อเลยเพราะปกติพ่อไม่ได้ไปไหนกับเรากับคุณแม่และไม่ชอบถ่ายรูปกับเรา
โชคดีคุ้ยไปเจอ มีรูปรับปริญญาของเราเซฟไว้ที่มีรูปคุณพ่อ พนง ก็เลย ดูแล้วมองหน้าเราใหญ่
คือเรากับคุณแม่ไม่ชอบแต่งหน้า แต่งตัวเท่าไหร่ แต่ในรูปรับปริญญาเรากับคุณแม่จัดเต็ม ทั้งหน้า ผม
พนง มองเรามองคุณแม่ แล้วก็ขออนุญาตเราเปิดไฟล์อื่น ก็เจอที่เราเก็บไปเที่ยวเต็มเลย
พนงก็ ดูรูปไป กดไป ถามเราไป ที่ไหน ประเทศอะไร เมื่อไหร่ เราก็อธิบายแบบ งง ๆ แล้วเค้าก็ถามหาคุณพ่อ
เราก็เลยตัดไปว่า คุณพ่อไม่ชอบเที่ยว แต่คุณแม่ชอบเที่ยวเลยพาคุณแม่เที่ยวมากกว่าคะ
พนง ดูไปนานเหมือนกัน คือ ใจเราก็อายนะ เพราะรูปเรากับคุณแม่เยอะมาก บ้าๆ ก็เยอะ
เกือบ 15 นาทีในการขอดูรูปเรา แล้วก็คืนให้ แล้วก็ให้เราไปนั่งรอ
เราก็ไปนั่งอธิบาย ปลอบใจ คุณแม่ตลอด เพราะคุณแม่เหมือนไม่สบายใจ กังวล
แถมเราสังเกตว่า กลุ่มคนจีนนั้น มองเรากํบคุณแม่ตลอดเลย เหมือนจะอ้าปากพูดอะไร
เรากับคุณแม่นั่งมึนไม่มองใคร ไม่พูดกับใคร
ครึ่งชม ต่อมา ก็มี พนง อีกคนเดินมาเรียกเรากับคุณแม่ แถมแซวเรื่องเคสพาสปอสอีก(ของเรารูปน้องหมาใส่แว่นของคุณแม่รูปน้องหมาถือสมุด)
แถมท้ายว่า ต่อไป เราควรพก พาสเล่มเก่า ใบเปลี่ยนชื่อ หรืออะไรก็ได้ที่เป็นของเดิมที่เราเคยมา
และต้องติ๊กช่องให้ถูก พร้อมปล่อยเราเดินออกมาและบอกว่า โชคดี
เรากับคุณแม่ออกมาแบบ เอ๋อ ๆ เพราะมันมึนมากอะ เกือบ 2 ชม ที่อยู่ในนั้น
ติดต่อใครก็ไม่ได้ ไม่มีเน็ต และห้ามเปิดใช้ด้วย แถมหนาวด้วย ยังดีที่เราเตรียมที่พักแล้วก็พอฟังเข้าใจ
กระเป๋าเราวนไปวนมาในราง ปนไปกับของสายอื่นแล้วด้วย โชคดีที่เราเจอเร็วไม่งั้นกลุ้มแน่
สรุป ไม่มีอะไรคะ ผ่านมาได้ปกติ เอาเข้าจริงๆ ไม่น่ากลัวนะคะ เพราะเหมือนทางนั้นก็สอบถามเราคร่าว ๆ
เช็คเราคร่าวๆ จากการพูด พอเราไม่เข้าใจทางนั้นก็พูดศัพท์ที่ง่ายขึ้นเพื่อให้เราตอบได้
มือถือ กล้อง ควรมีรูปที่เราไปเที่ยวไว้บ้างนะคะ เราไม่โดนขอดูเงินกับบัตรเครดิตคะ
ขอดูแค่ บุ๊กกิ้งโรงแรมและตั๋วขากลับ และ ดูมือถือนั้นละคะ
และที่สำคัญ อย่าคุยกับคนอื่นในห้องนั้นคะ เพราะอาจถูกเหมารวมได้ว่ามาด้วยกัน
อาจเหมือนเห็นแก่ตัว แต่ถ้าเราไม่รู้จักจริง ๆ อย่าเลยคะ
เพราะเท่าที่เราสังเกต พอคนกลุ่มนั้นตอบอะไรแทนคนต่างด้าว เหมือนโดนกักตัวต่อ
เท่าที่เราแปลแบบ งงๆ คือเหมือนมีคำถามว่า มาด้วยกัน? รู้จักกัน?
กลุ่มคนนั้นก็บอก เปล่า แค่ช่วยเค้าตอบ แต่ก่อนเราจะได้ออกมา เหมือนได้ความสุดท้ายว่า ส่งกลับคะ
เพราะในกระเป๋ามีแต่ชุดวับๆแวมๆ ออกแนวโป้นิดหน่อย มียา(น่าจะพวกยาแก้ปวด) แต่ไม่มีชื่อยา
และกลุ่มจีนนั้นก็ยังคงถูกกักตัวต่อไป
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านคะ
ประสบการณ์เข้าห้องเย็นที่สิงคโปร์คะ
เราเคยไปสิงค์โปร์หลายรอบมาก แต่มา 2-3 ปีนี้ไม่ได้ไปเลยเพราะเก็บเงินมุ่งไปแต่ เกาหลี กับ ญี่ปุ่น
ประกอบเมื่อปีที่แล้ว เรากับคุณแม่ ได้เปลี่ยนชื่อใหม่
พอเปลี่ยนชื่อใหม่ก็ได้ไปทั้ง เกาหลี ญี่ปุ่น ฮ่องกง ไม่เคยเจอเรียก เจอตรวจ เจอถามเลยคะ
เราก็พกทั้งพาสเก่าพาสใหม่ใบเปลี่ยนชื่อ(ที่เป็นภาษาไทยคงช่วยอะไรไม่ได้แต่อุ่นใจ)
แต่ก็ไม่โดนเรียก ไม่มอง ไม่ถาม ไม่ซัก ไม่อะไรสักอย่าง
พอเราไปสิงคโปร์เราก็ชะล่าใจคะ นึกว่าจะชิวๆ เหมือนที่อื่น แต่ไม่คะ
ปรากฏว่า คนที่ติดคือ คุณแม่คะ(เมื่อก่อนเราจะไปพร้อมคุณแม่แต่หลังๆเจอ ตม แบบไล่เราไปรอ จนกว่าจะกวักมือ)
เราก็เข้าอีกช่อง ตอบพอประมาณ
บทสนทนาของเรา(แปลแบบมั่วๆ งูๆปลาๆ)
ตม. คุณเคยมาที่นี่ใช่ไหม
เรา. ใช่คะ
ตม. คุณต้องติ๊กว่าเคยมา
เรา. คะ ขอโทษคะ
ตม. อ้าว คุณไม่ได้ชื่อนี้นี่(สมมติ aa)
เรา. คะ เราเปลี่ยนชื่อคะ จาก aa เป็น bb
ตม. งั้นต้องติ๊กช่องนี้ และเขียนชื่อเก่าด้วย แล้วเปลี่ยนชื่อทำไม
เรา. .... กำลังจะตอบ
พอดีกับคิวคุณแม่เราเหลือบไปเห็น ตม พูดอะไรไม่รู้ โบกมือ แล้วก็ชะงัก เหมือนอะไรสักอย่าง
พร้อมกับจะเรียกคุณแม่ไป คุณแม่ก็ งง เพราะไม่เข้าใจ เราก็เลยสวนคำพูดไป
ประมาณว่า มีอะไรคะ เกิดอะไรขึ้น
ตม ตู้คุณแม่ ไม่แม่แต่จะมองเราเลยคะ ตม ตู้เราเลยบอกไปว่า เค้ามาด้วยกัน
เค้าเคยมา เปลี่ยนชื่อกัน ตม ตู้คุณแม่เลย ตะโกนแบบ เออๆ ไปนู้นๆ ไม่สนอะไร ไม่ฟังเลย
ตม ตู้เราเลยบ่นกับอีกคนที่นั่งอยู่ในตู้คุณแม่ (ในตู้คุณแม่มี ตม 2 คนนั่งอยู่นะคะ)
เราก็เลย ถามไปว่า เกิดอะไรขึ้น มีอะไร
ตม. ตู้เราบอก ไม่มีอะไร คือชื่อไม่ตรงกับในระบบ เท่านั้น
เรา . เราเลยแจ้งไปว่า ขอเข้าไปอยู่กับคุณแม่คะ
ตม. มองหน้าเราบอก จะเข้าไป? (แบบประมาณไม่อยากเชื่อว่าเราจะเข้าไปด้วย)
เรา. คะ จะไปด้วยคะ
ตม. คุณเปลี่ยนชื่อกันทำไม (หมายถึงเรากับแม่)
เรา. (นึกคำไม่ออกเลยบอกประมาณ) เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น (เราเริ่มกะวนกระวาย)
ตม. มองหน้าเรา ถอนหายใจ แล้วก็บอก เดี๋ยวพาไป ไม่ต้องห่วง
เรา. เงียบ ยิ้มแห้งๆ
ตอนนี้พอดี ตม คนนั้นเดินกลับมา ก็ไม่มองเรา ไม่สนเรา จะเปิดตู้ทำต่อ แต่ ตม ตู้เรา เห็นว่าเราไม่สนจริงๆ
เลยบอกอะไรไม่รู้กับคนนั้น สุดท้ายคนนั้นก็มองหน้าเรา แล้วก็ ถอนหายใจ เดินมาคว้าพาสปอส
พร้อมเดินนำเราไปคุยอะไรไม่รู้ พอไปอยู่อีกจุดนึง พนง ก็มองหน้า พูดประมาณ มากับคนเมื่อครู่
เราก็ คะๆ เค้าเลยพาเราเดินเข้าห้องเลยคะ
เปิดเข้าไป เจอคุณแม่นั่งหน้าซีดอยู่ เพราะไม่เข้าใจอะไร เราก็ปลี่เข้าไปปลอบแล้วคุยคร่าวๆ คุณแม่ก็ใจเย็นลง
ความผิดเราสุด ๆ เพราะเรา ลืมเอาพาสเล่มเก่ามา ลืมใบเปลี่ยนชื่อ ลืมหมดเลย ด้วยความชะล่าใจว่า คงไม่เป็นไรเหมือนที่อื่น
เกือบ ครึ่งชั่วโมง ไม่มีคนสนเรา 2 คน เพราะในห้องมี กลุ่มคนจีนประมาณ 5-6 คนอยู่ และ ต่างด้าวอีก 1
เราก็นั่งสังเกตไป เหมือนว่า 1 คนที่นั่งแยกมา จะมาขายบริการเพราะโดนให้ไปเอากระเป๋า มาเปิด พูดก็ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจอะไรเลย
กลุ่มคนจีนเหมือนรู้ก็พูดอะไรไม่รู้ใส่แทน แต่ก็เหมือนไม่เข้ามายุ่งนะคะ กลุ่มคนจีนโดนตรวจเงิน ตรวจกระเป๋าพก ตรวจเอกสาร เยอะมากอะ
กลับมาที่เรากับคุณแม่ หลังจากนั่งไปราว ๆ 40 นาทีได้ ในที่สุด
พนง ก็หันมาหาเรา พร้อมกับพูดอะไรสักอย่าง โชคดีที่เรียกชื่อเราไปก่อน
ตรงตู้ใหญ่ๆ ให้เราพิมพ์ลายนิ้วมือและสอบถามเรา
คุณกับคุณแม่มาทำอะไร คุณกับคุณแม่เคยมาที่นี่ไหม?
คุณเปลี่ยนชื่อ? คุณแม่ด้วย? เปลี่ยนชื่อเพื่อ?
คุณแม่พูดอังกฤษได้ไหม? คุณพักที่ไหน?
คุณมากี่วัน? คุณมีพาสเล่มเก่าไหม?
คุณทำงานอะไร? คุณมีรายได้จากไหน?
คุณแม่คุณทำงานอะไร? ที่บ้านคุณมีกี่คน? คุณมีแฟนไหม?
คุณเดินทางบ่อยไหม? คุณมีพี่น้องกี่คน?
จะติดต่อคุณได้ยังไง? คุณกลับเมื่อไหร่?
(ที่เค้าจะถามวกไปสลับไปมาระหว่างเรากับคุณแม่เพราะเราบอกคุณแม่พูดอังกฤษไม่ได้
และเราก็พอพูดได้ เข้าใจได้นิดหน่อย และคำถามวกไปวนมาเหมือนมีลูกล่อให้เผื่อเราเผลอ)
สักพักหลังคุยกับเรา ก็เรียกคุณแม่มาพิมพ์ลายนิ้วมือ แล้วก็ให้ไปนั่งเลย เพราะเราคอยบอกแม่แทนตลอด
พีคสุดคือ ขอดูมือถือเรา เราก็ให้ไป ทาง พนง ก็ถามหาเน็ต(เราคิดว่าเค้าคงอยากดูการติดต่อของเราทางโซเชี่ยว)
เราก็บอกว่า ไม่มีเน็ต เพราะกะจะมาซื้อซิมที่นี่ใช้ พนง ก็ อืม ๆ แล้วสุดท้ายก็ขอเราดูรูปในแกลอรี่
เราก็เสนอเลยคะ โชคดีที่เราชอบเซฟรูปไปเที่ยวกับคุณแม่หลายๆ ที่เก็บไว้เป็นคอลเลคชั่นแยกไว้เลย
พนงก็บอก ไหนรูปคุณพ่อ (เพราะเราว่าที่บ้านมี 3 คน มีพ่อ แม่ แล้วก็เรา ไม่มีแฟน ไม่มีพี่น้อง)
เราก็คิด ตายละไม่มีรูปพ่อเลยเพราะปกติพ่อไม่ได้ไปไหนกับเรากับคุณแม่และไม่ชอบถ่ายรูปกับเรา
โชคดีคุ้ยไปเจอ มีรูปรับปริญญาของเราเซฟไว้ที่มีรูปคุณพ่อ พนง ก็เลย ดูแล้วมองหน้าเราใหญ่
คือเรากับคุณแม่ไม่ชอบแต่งหน้า แต่งตัวเท่าไหร่ แต่ในรูปรับปริญญาเรากับคุณแม่จัดเต็ม ทั้งหน้า ผม
พนง มองเรามองคุณแม่ แล้วก็ขออนุญาตเราเปิดไฟล์อื่น ก็เจอที่เราเก็บไปเที่ยวเต็มเลย
พนงก็ ดูรูปไป กดไป ถามเราไป ที่ไหน ประเทศอะไร เมื่อไหร่ เราก็อธิบายแบบ งง ๆ แล้วเค้าก็ถามหาคุณพ่อ
เราก็เลยตัดไปว่า คุณพ่อไม่ชอบเที่ยว แต่คุณแม่ชอบเที่ยวเลยพาคุณแม่เที่ยวมากกว่าคะ
พนง ดูไปนานเหมือนกัน คือ ใจเราก็อายนะ เพราะรูปเรากับคุณแม่เยอะมาก บ้าๆ ก็เยอะ
เกือบ 15 นาทีในการขอดูรูปเรา แล้วก็คืนให้ แล้วก็ให้เราไปนั่งรอ
เราก็ไปนั่งอธิบาย ปลอบใจ คุณแม่ตลอด เพราะคุณแม่เหมือนไม่สบายใจ กังวล
แถมเราสังเกตว่า กลุ่มคนจีนนั้น มองเรากํบคุณแม่ตลอดเลย เหมือนจะอ้าปากพูดอะไร
เรากับคุณแม่นั่งมึนไม่มองใคร ไม่พูดกับใคร
ครึ่งชม ต่อมา ก็มี พนง อีกคนเดินมาเรียกเรากับคุณแม่ แถมแซวเรื่องเคสพาสปอสอีก(ของเรารูปน้องหมาใส่แว่นของคุณแม่รูปน้องหมาถือสมุด)
แถมท้ายว่า ต่อไป เราควรพก พาสเล่มเก่า ใบเปลี่ยนชื่อ หรืออะไรก็ได้ที่เป็นของเดิมที่เราเคยมา
และต้องติ๊กช่องให้ถูก พร้อมปล่อยเราเดินออกมาและบอกว่า โชคดี
เรากับคุณแม่ออกมาแบบ เอ๋อ ๆ เพราะมันมึนมากอะ เกือบ 2 ชม ที่อยู่ในนั้น
ติดต่อใครก็ไม่ได้ ไม่มีเน็ต และห้ามเปิดใช้ด้วย แถมหนาวด้วย ยังดีที่เราเตรียมที่พักแล้วก็พอฟังเข้าใจ
กระเป๋าเราวนไปวนมาในราง ปนไปกับของสายอื่นแล้วด้วย โชคดีที่เราเจอเร็วไม่งั้นกลุ้มแน่
สรุป ไม่มีอะไรคะ ผ่านมาได้ปกติ เอาเข้าจริงๆ ไม่น่ากลัวนะคะ เพราะเหมือนทางนั้นก็สอบถามเราคร่าว ๆ
เช็คเราคร่าวๆ จากการพูด พอเราไม่เข้าใจทางนั้นก็พูดศัพท์ที่ง่ายขึ้นเพื่อให้เราตอบได้
มือถือ กล้อง ควรมีรูปที่เราไปเที่ยวไว้บ้างนะคะ เราไม่โดนขอดูเงินกับบัตรเครดิตคะ
ขอดูแค่ บุ๊กกิ้งโรงแรมและตั๋วขากลับ และ ดูมือถือนั้นละคะ
และที่สำคัญ อย่าคุยกับคนอื่นในห้องนั้นคะ เพราะอาจถูกเหมารวมได้ว่ามาด้วยกัน
อาจเหมือนเห็นแก่ตัว แต่ถ้าเราไม่รู้จักจริง ๆ อย่าเลยคะ
เพราะเท่าที่เราสังเกต พอคนกลุ่มนั้นตอบอะไรแทนคนต่างด้าว เหมือนโดนกักตัวต่อ
เท่าที่เราแปลแบบ งงๆ คือเหมือนมีคำถามว่า มาด้วยกัน? รู้จักกัน?
กลุ่มคนนั้นก็บอก เปล่า แค่ช่วยเค้าตอบ แต่ก่อนเราจะได้ออกมา เหมือนได้ความสุดท้ายว่า ส่งกลับคะ
เพราะในกระเป๋ามีแต่ชุดวับๆแวมๆ ออกแนวโป้นิดหน่อย มียา(น่าจะพวกยาแก้ปวด) แต่ไม่มีชื่อยา
และกลุ่มจีนนั้นก็ยังคงถูกกักตัวต่อไป
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านคะ