สวัสดีอีกครั้งค่ะ กระทู้นี้เป็นภาคต่อจาก 14 วันขับรถตะลุย ออสเตรีย-อิตาลี-สวิสเซอร์แลนด์-เยอรมัน [Ep.1]
http://ppantip.com/topic/35125566
เช่นเดิมหวังว่าจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจนะคะ สำหรับคำถามหรือรูปเพิ่มเติมรบกวนติดต่อที่
https://www.facebook.com/endlessgetaway ยินดีให้ข้อมูลเต็มที่ค่ะ
ตอนนี้เป็นตอนจบของขับรถตะลุยยุโรป มาเดินทางต่อกันเลย
Day 7: 14 Apr [St.Moritz, Switzerland][ต่อ]
หลังจาก Lake Como เราเดินทางต่อไปยังสวิส ก่อนที่จะเดินทางไปยัง ที่พักใน St.Moritz Switzerland แวะถ่ายรูปตามทาง แวะชม Lake Sils (หรือ Silsersee ในภาษาเยอรมัน) อยู่ในบริเวณระหว่าง Maloja Pass และ Lake Silvaplana ทะเลสาบ Sils นี้ใหญ่ที่สุดในบรรดาทะเลสาบธรรมชาติที่อยู่ในเทือกเขาแอลป์ที่สูงจากระดับน้ำทะเลมากกว่า 1,000 เมตร
พิกัด 46.420453, 9.726663
เดินทางไปจุดชมวิวมุมสูง
พิกัด 46.501701, 9.833942
ส่วนด้านล่างนี้คือวิวจากหน้าต่างห้องพัก งดงามจริงๆ คืนนี้เรานอนกันที่โรงแรม Guidon ค่อนข้างกว้างเลยทีเดียว และมีห้องครัวในตัว แต่เดินไปเดินมาต้องระวังมาก เพราะหลังคาไม่สูงมากเนื่องจากเป็นห้องใต้หลังคา หัวชนไป 3 รอบได้ 55
Day 8: 15 Apr [Füssen, Germany]
จาก St.Moritz เราออกเดินทางใช้เวลาประมาณเกือบ 5 ชม.จนมาถึงเมือง Fussen ใช้เวลานานหน่อยเพราะเราเลือกที่จะขับไม่ผ่านทางด่วน เนื่องจากอยู่สวิสแค่ 1 วัน ราคา Vignette อยู่ที่ประมาณ 40-50 ยูโร เลยคิดว่าไม่คุ้ม ขับมาชิลๆถึง Füssen ประมาณบ่ายโมงครึ่ง
เริ่มกันที่แรกเลยคือ ปราสาท Neuschwanstein อันโด่งดังซึ่งอย่างที่ทุกคนรู้กันว่าเป็นแรงบันดาลใจของปราสาทดิสนีย์ น่าเสียดายที่ Marienbrücke ปิดซ่อมบำรุงเลยไม่ได้ไปถ่ายรูปมุมมหาชนกัน (ครั้งแรกที่มาสะพานนี้ก็ปิด 55)
การเดินทางขึ้นไปบนปราสาทมี 2 ทาง เดิน หรือนั่งรถม้า แน่นอนเราเลือกเดินเพื่อจะชมบรรยากาศ (พร้อมกลิ่นอึม้า) ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็ถึงด้านบนประสาท วันนี้อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนมาก เราลุ้นๆกันอยู่ว่าฝนจะตกไหม สุดท้ายเมื่อเดินลงมาจากปราสาท ฝนก็ตกจนได้
พอฝนตกเราตัดสินใจกลับที่พัก เพื่อไปเดินเล่นในตัวเมือง (วันนี้ที่พักอยู่ในตัวเมือง) รวมถึงไปที่ Lechfall คล้ายๆน้ำตกจำลอง (แอบผิดหวังนิดนึง เดินซะไกล เพราะมันเหมือนน้ำตกปลอมมาก)
Day 9: 16 Apr [Innsbruck, Austria]
วันนี้เดินทางไปที่ Innsbruck ไปขึ้นกระเช้า Innsbrucker Nordkettenbahnen ราคาคนละประมาณ 27.2Euro (ราคาขึ้นอยู่กับว่าขึ้นกระเช้าจากด้านบนหรือด้านล่าง) ลมแรงและหนาวมากๆ เตรียมเสื้อผ้าไปให้พร้อมนะคะ แต่วิวด้านบนก็คุ้มค่าจริงๆ ด้านบนจะมี CLOUD 9 Igloo Bar ด้วย คืนวันศุกร์จะเปิดถึงห้าทุ่มครึ่ง
ขาลงเรานั่งกระเช้ากลับเช่นเดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือ "รถ"
รถเราที่จอดไว้มันไม่อยู่ที่เดิม ใจวูบไปถึงตาตุ่ม รถหนูหายไปไหนคะ ของทุกอย่าง เงิน พาสปอร์ต อยู่บนรถหมดเลย ในใจตอนนั้นคิดว่าตรูจะกลับไทยยังไงดี
แต่สุดท้ายก็เข้าใจ อ้อ...รถโดนยก เพราะเราดันไปจอดในบริเวณที่ห้ามจอด รูปป้ายตามด้านล่างนี้ เราเดินทางไปสถานีตำรวจเพื่อสอบถามว่ารถอยู่ที่ไหน ที่ออสเตรียมี 3rd party เป็นบริษัทยกรถ เพราะฉะนั้นรถจะไม่อยู่ที่สถานีตำรวจ แต่อยู่ที่บริษัท 3rd party นั้นในบริเวณที่ออกนอกเมืองไปนิดหน่อย เดินกันประมาณ 3 กม.จากตัวเมืองเพื่อไปบริษัทยกรถ แน่นอน..ร่างพังมาก ตอนเราไปรับรถเจอคนท้องถิ่น (คนออสเตรีย) มาติดต่อรับรถเช่นกัน ใส่รองเท้าสโนบอร์ดมาด้วย เราคุยกับเค้าและเข้าใจว่าเค้าจอดที่ห้ามจอดตรงบริเวณทางขึ้นกระเช้าเหมือนกัน
ใครไปขับรถที่ยุโรปดูป้ายนี้ดีๆนะคะ ที่นี่กฎกติกาค่อนข้างเคร่งครัด
เมื่อได้รถเราเดินทางมุ่งหน้าไปยังที่พักทันที เดินเหนื่อยมากจนไม่อยากไปเที่ยวไหนแล้ว
ที่พักวันนี้เป็นลักษณะคล้าย farmstay ชื่อ Studlerhof โชคดีที่ที่พักดีงามและอยู่สบายมากๆ ครอบครัวของเจ้าของบ้านน่ารักมากๆ พวกเราได้ไปรีดนมวัวและได้เห็นลูกแกะเกิดใหม่ด้วยค่ะ วิวจากระเบียงบ้านพักก็ฟินสุดๆสวยจนไม่อยากกลับเลย
Day 10: 17 Apr [Hallstatt, Austria]
หลังจากที่พักจนร่างหายพัง วันนี้เราเดินทางไปกันต่อที่ Hallstattค่ะ เมืองมรดกของโลก ฝนตกปรอยๆตลอดทั้งวัน แต่เมืองก็สวยงามท่ามกลางสายฝนจริงๆ เมืองนี้ต้องกลับไปแก้มืออีกรอบแน่ๆ
และที่ขาดไม่ได้เลยที่เป็น highlight ของ Hallstatt ก็คือทัวร์เหมืองเกลือ (Salzwelten) ต้องขึ้นกระเช้าไปเกือบ 1 กม. ด้านบนมีจุดชมวิวมุมสูงด้วยส่วนทัวร์เหมืองเกลือใช้เวลาทั้งหมด 70 นาที ได้เกลือมากันคนละหลายกระปุกเลยค่ะ แต่จริงๆเกลือกระปุกแบบนี้หาซื้อได้ตามซุปเปอร์นะคะ ราคาถูกกว่าด้วย
Day 11: 18, 19 Apr [Vienna, Austria]
รูปที่เวียนนาน้อยมากๆ เพราะว่าเดินชมนู่นนี่อย่างเดียว แทบไม่ได้หยิบกล้องมาถ่ายเลย ในเมืองนี้เราเดินทางโดยใช้ U-bahn (ลักษณะคล้ายรถไฟใต้ดิน) เป็นหลัก เนื่องจากสถานที่ท่องเที่ยวส่วนมากสามารถไปได้โดย U-bahn เราเลือกซื้อตั๋ว 24ชม. ราคาประมาณ 7Euro นิดๆ คุ้มค่าเลยทีเดียว
ที่แรกเริ่มกันที่ Schloß Schönbrunn เราเลือก Imperial tour ค่ะราคาคนละ 13.30Euro ด้านในปราสาทห้ามถ่ายรูปนะคะ
หลังจากนั้นเราไปต่อกันที่ย่าน Ringstraße และ Museumsquartier เป็นใจกลางตัวเมืองที่มีที่ท่องเที่ยวเยอะมาก ตั้งแต่พิพิธภัณฑ์สารพัดไปยันห้องสมุด
โบสถ์ St.Stephen's
Ringstraße
รูปด้านล่างคือห้องสมุดแห่งชาติของออสเตรีย (Österreichische Nationalbibliothek) ยิ่งใหญ่มาก รู้สึกเหมือนหลุดไปในหนังแฮร์รี่พอตเตอร์เลย
สุดท้ายเราปิดท้ายทริปนี้ด้วยการไปกิน Wiener Schnitzel หรือหมูทอดเวียนนาในตำนานที่ร้าน Figlmüller
ร้านนี้จะต้องจองก่อนเข้าไปกินนะคะเพื่อความชัวร์ การจองสามารถทำผ่านเว็บไซท์ได้เลย
http://www.figlmueller.at/en/welcome.html
ร้านมี 2 สาขา แต่จริงๆก็ค่อนข้างใกล้กัน หมูทอดที่ร้านจัดว่าใหญ่และบางมากขนาดใหญ่กว่าจานที่มาเสิร์ฟ จานละประมาณ 13Euro อร่อยมาก แต่ก็แน่นอนเรากินไม่หมดค่ะ แหะๆ
หลังจากนั้นก็กลับที่พัก เพื่อเก็บของกลับบ้านในวันรุ่งขึ้น ไว้เจอกันใหม่ บ๊ายบายยุโรป
ขอบคุณที่อ่านจนจบ หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นแรงบันดาลใจในการออกเดินทาง
#EndlessGetaway
[CR] [Endless Getaway] 14 วันขับรถตะลุย ออสเตรีย-อิตาลี-สวิสเซอร์แลนด์-เยอรมัน [Ep.2 ตอนจบ]
http://ppantip.com/topic/35125566
เช่นเดิมหวังว่าจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจนะคะ สำหรับคำถามหรือรูปเพิ่มเติมรบกวนติดต่อที่
https://www.facebook.com/endlessgetaway ยินดีให้ข้อมูลเต็มที่ค่ะ
ตอนนี้เป็นตอนจบของขับรถตะลุยยุโรป มาเดินทางต่อกันเลย
Day 7: 14 Apr [St.Moritz, Switzerland][ต่อ]
หลังจาก Lake Como เราเดินทางต่อไปยังสวิส ก่อนที่จะเดินทางไปยัง ที่พักใน St.Moritz Switzerland แวะถ่ายรูปตามทาง แวะชม Lake Sils (หรือ Silsersee ในภาษาเยอรมัน) อยู่ในบริเวณระหว่าง Maloja Pass และ Lake Silvaplana ทะเลสาบ Sils นี้ใหญ่ที่สุดในบรรดาทะเลสาบธรรมชาติที่อยู่ในเทือกเขาแอลป์ที่สูงจากระดับน้ำทะเลมากกว่า 1,000 เมตร
เดินทางไปจุดชมวิวมุมสูง
ส่วนด้านล่างนี้คือวิวจากหน้าต่างห้องพัก งดงามจริงๆ คืนนี้เรานอนกันที่โรงแรม Guidon ค่อนข้างกว้างเลยทีเดียว และมีห้องครัวในตัว แต่เดินไปเดินมาต้องระวังมาก เพราะหลังคาไม่สูงมากเนื่องจากเป็นห้องใต้หลังคา หัวชนไป 3 รอบได้ 55
Day 8: 15 Apr [Füssen, Germany]
จาก St.Moritz เราออกเดินทางใช้เวลาประมาณเกือบ 5 ชม.จนมาถึงเมือง Fussen ใช้เวลานานหน่อยเพราะเราเลือกที่จะขับไม่ผ่านทางด่วน เนื่องจากอยู่สวิสแค่ 1 วัน ราคา Vignette อยู่ที่ประมาณ 40-50 ยูโร เลยคิดว่าไม่คุ้ม ขับมาชิลๆถึง Füssen ประมาณบ่ายโมงครึ่ง
เริ่มกันที่แรกเลยคือ ปราสาท Neuschwanstein อันโด่งดังซึ่งอย่างที่ทุกคนรู้กันว่าเป็นแรงบันดาลใจของปราสาทดิสนีย์ น่าเสียดายที่ Marienbrücke ปิดซ่อมบำรุงเลยไม่ได้ไปถ่ายรูปมุมมหาชนกัน (ครั้งแรกที่มาสะพานนี้ก็ปิด 55)
การเดินทางขึ้นไปบนปราสาทมี 2 ทาง เดิน หรือนั่งรถม้า แน่นอนเราเลือกเดินเพื่อจะชมบรรยากาศ (พร้อมกลิ่นอึม้า) ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็ถึงด้านบนประสาท วันนี้อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนมาก เราลุ้นๆกันอยู่ว่าฝนจะตกไหม สุดท้ายเมื่อเดินลงมาจากปราสาท ฝนก็ตกจนได้
พอฝนตกเราตัดสินใจกลับที่พัก เพื่อไปเดินเล่นในตัวเมือง (วันนี้ที่พักอยู่ในตัวเมือง) รวมถึงไปที่ Lechfall คล้ายๆน้ำตกจำลอง (แอบผิดหวังนิดนึง เดินซะไกล เพราะมันเหมือนน้ำตกปลอมมาก)
Day 9: 16 Apr [Innsbruck, Austria]
วันนี้เดินทางไปที่ Innsbruck ไปขึ้นกระเช้า Innsbrucker Nordkettenbahnen ราคาคนละประมาณ 27.2Euro (ราคาขึ้นอยู่กับว่าขึ้นกระเช้าจากด้านบนหรือด้านล่าง) ลมแรงและหนาวมากๆ เตรียมเสื้อผ้าไปให้พร้อมนะคะ แต่วิวด้านบนก็คุ้มค่าจริงๆ ด้านบนจะมี CLOUD 9 Igloo Bar ด้วย คืนวันศุกร์จะเปิดถึงห้าทุ่มครึ่ง
ขาลงเรานั่งกระเช้ากลับเช่นเดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือ "รถ"
รถเราที่จอดไว้มันไม่อยู่ที่เดิม ใจวูบไปถึงตาตุ่ม รถหนูหายไปไหนคะ ของทุกอย่าง เงิน พาสปอร์ต อยู่บนรถหมดเลย ในใจตอนนั้นคิดว่าตรูจะกลับไทยยังไงดี
แต่สุดท้ายก็เข้าใจ อ้อ...รถโดนยก เพราะเราดันไปจอดในบริเวณที่ห้ามจอด รูปป้ายตามด้านล่างนี้ เราเดินทางไปสถานีตำรวจเพื่อสอบถามว่ารถอยู่ที่ไหน ที่ออสเตรียมี 3rd party เป็นบริษัทยกรถ เพราะฉะนั้นรถจะไม่อยู่ที่สถานีตำรวจ แต่อยู่ที่บริษัท 3rd party นั้นในบริเวณที่ออกนอกเมืองไปนิดหน่อย เดินกันประมาณ 3 กม.จากตัวเมืองเพื่อไปบริษัทยกรถ แน่นอน..ร่างพังมาก ตอนเราไปรับรถเจอคนท้องถิ่น (คนออสเตรีย) มาติดต่อรับรถเช่นกัน ใส่รองเท้าสโนบอร์ดมาด้วย เราคุยกับเค้าและเข้าใจว่าเค้าจอดที่ห้ามจอดตรงบริเวณทางขึ้นกระเช้าเหมือนกัน
ใครไปขับรถที่ยุโรปดูป้ายนี้ดีๆนะคะ ที่นี่กฎกติกาค่อนข้างเคร่งครัด
เมื่อได้รถเราเดินทางมุ่งหน้าไปยังที่พักทันที เดินเหนื่อยมากจนไม่อยากไปเที่ยวไหนแล้ว
ที่พักวันนี้เป็นลักษณะคล้าย farmstay ชื่อ Studlerhof โชคดีที่ที่พักดีงามและอยู่สบายมากๆ ครอบครัวของเจ้าของบ้านน่ารักมากๆ พวกเราได้ไปรีดนมวัวและได้เห็นลูกแกะเกิดใหม่ด้วยค่ะ วิวจากระเบียงบ้านพักก็ฟินสุดๆสวยจนไม่อยากกลับเลย
Day 10: 17 Apr [Hallstatt, Austria]
หลังจากที่พักจนร่างหายพัง วันนี้เราเดินทางไปกันต่อที่ Hallstattค่ะ เมืองมรดกของโลก ฝนตกปรอยๆตลอดทั้งวัน แต่เมืองก็สวยงามท่ามกลางสายฝนจริงๆ เมืองนี้ต้องกลับไปแก้มืออีกรอบแน่ๆ
และที่ขาดไม่ได้เลยที่เป็น highlight ของ Hallstatt ก็คือทัวร์เหมืองเกลือ (Salzwelten) ต้องขึ้นกระเช้าไปเกือบ 1 กม. ด้านบนมีจุดชมวิวมุมสูงด้วยส่วนทัวร์เหมืองเกลือใช้เวลาทั้งหมด 70 นาที ได้เกลือมากันคนละหลายกระปุกเลยค่ะ แต่จริงๆเกลือกระปุกแบบนี้หาซื้อได้ตามซุปเปอร์นะคะ ราคาถูกกว่าด้วย
Day 11: 18, 19 Apr [Vienna, Austria]
รูปที่เวียนนาน้อยมากๆ เพราะว่าเดินชมนู่นนี่อย่างเดียว แทบไม่ได้หยิบกล้องมาถ่ายเลย ในเมืองนี้เราเดินทางโดยใช้ U-bahn (ลักษณะคล้ายรถไฟใต้ดิน) เป็นหลัก เนื่องจากสถานที่ท่องเที่ยวส่วนมากสามารถไปได้โดย U-bahn เราเลือกซื้อตั๋ว 24ชม. ราคาประมาณ 7Euro นิดๆ คุ้มค่าเลยทีเดียว
ที่แรกเริ่มกันที่ Schloß Schönbrunn เราเลือก Imperial tour ค่ะราคาคนละ 13.30Euro ด้านในปราสาทห้ามถ่ายรูปนะคะ
หลังจากนั้นเราไปต่อกันที่ย่าน Ringstraße และ Museumsquartier เป็นใจกลางตัวเมืองที่มีที่ท่องเที่ยวเยอะมาก ตั้งแต่พิพิธภัณฑ์สารพัดไปยันห้องสมุด
โบสถ์ St.Stephen's
Ringstraße
รูปด้านล่างคือห้องสมุดแห่งชาติของออสเตรีย (Österreichische Nationalbibliothek) ยิ่งใหญ่มาก รู้สึกเหมือนหลุดไปในหนังแฮร์รี่พอตเตอร์เลย
สุดท้ายเราปิดท้ายทริปนี้ด้วยการไปกิน Wiener Schnitzel หรือหมูทอดเวียนนาในตำนานที่ร้าน Figlmüller
ร้านนี้จะต้องจองก่อนเข้าไปกินนะคะเพื่อความชัวร์ การจองสามารถทำผ่านเว็บไซท์ได้เลย http://www.figlmueller.at/en/welcome.html
ร้านมี 2 สาขา แต่จริงๆก็ค่อนข้างใกล้กัน หมูทอดที่ร้านจัดว่าใหญ่และบางมากขนาดใหญ่กว่าจานที่มาเสิร์ฟ จานละประมาณ 13Euro อร่อยมาก แต่ก็แน่นอนเรากินไม่หมดค่ะ แหะๆ
หลังจากนั้นก็กลับที่พัก เพื่อเก็บของกลับบ้านในวันรุ่งขึ้น ไว้เจอกันใหม่ บ๊ายบายยุโรป
ขอบคุณที่อ่านจนจบ หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นแรงบันดาลใจในการออกเดินทาง
#EndlessGetaway