ครั้งนึง แม่เคยโกรธผมมาก เสียน้ำตาให้กับคำพูดร่างทรง จนไม่ฟังคำพูดคำอธิบาย
ของลูกตนเองเลย เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมจดจำมาถึงทุกวันนี้
ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน ตอนกำลังขึ้นม.5 แม่ผมได้พาไปอาบน้ำมนต์ที่ศาลเจ้าแห่งนึง
เป็นช่วงที่ผมอายุ 16-17 ปีพอดี บอกตรงๆเลยว่าแม่ผมเชื่อเรื่องพวกนี้มาก ปีนั้นเป็นปีชงของผม
แม่เลยพาผมไปอาบน้ำมนต์ ระหว่างรอคิวอาบน้ำมนต์ ก็เห็นคนเดือดเนื้อร้อนใจมาที่ศาลเจ้านี้กัน
เยอะพอสมควร เห็นร่างทรงทักนู้นนี่นั่นก็แปลกใจทำไมเค้าถึงรู้ สถานที่ตั้งของบ้าน ต้นไม้หน้า
บ้านของคนที่มาหา “บ้านลื้อมีต้นมะขามอยู่หน้าบ้านฝั่งซ้ายมือใช่มั้ย ต้นใหญ่ๆ” (สำเนียงจีน)
“ใช่ๆ ใช่คะ” ทึ่ง และยอมรับว่าศักดิ์สิทธิ์จริงจนกระทั้งมาถึงคิวผม
ร่างทรงก็ทักไถ่ถามไปเรื่อย ไล่สิ่งร้ายๆออกจากตัว และดูดวงก่อนอาบน้ำมนต์ แล้วมีช็อตนึง
ที่ร่างทรงถามขึ้นมาว่า “ลื้อไปขายยาทำไม ลื้อไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดทำไม”
ผมงงอยู่พักนึง แล้วตอบกลับไปว่า “ไม่เคยยุ่งครับ” ระหว่างนั้นแม่ผมได้ยินก็น้ำตาไหล
ร้องไห้อยู่ม้านั่งข้างๆ “ทำแบบนี้ทำไม กูสอนให้เป็นคนดี ไม่ได้สอนให้มาทำตัวเลวแบบนี้”
แม่ผมพูด ด่าทั้งน้ำตา ผมก็พยายามบอกว่า ไม่เคยยุ่งไม่เคยไปพัวพันเรื่องแบบนั้น “ลื้อไม่ต้องมาโกหก”
ร่างทรงพูดสวนกลับมา
ในชีวิตผมไม่เคยเดินล้ำเข้าไปในด้านนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ถึงผมจะเรียนไม่เก่ง
แต่ผมก็ไม่เคยเกเหลวไหลขนาดนั้นเลย ช่วงนั้นผมกลับบ้านมืดทุกวันก็จริง ผมทำโครงงานคุณธรรมอยู่ที่โรงเรียน
ก็คอยบอกแม่อยู่ตลอดๆว่าทำโครงงาน ทำนั่นทำนี่อยู่นะ อยู่กับอาจารย์ พอเจอคำพูดร่างทรงไป
แม่ผมเลยมองผมว่าที่กลับบ้านมืดๆทุกวัน เพราะไปขายยาบ้า สิ่งที่ผมทำมาล่มสลายไปในพริบตา
ไม่มีใครเชื่อผมเลยแม้กระทั้งแม่ของผมเอง และที่ผมเกลียดที่สุดคือ อีป้าในนั้นพูดขึ้นมาว่า
“ทำก็บอกทำ อย่าโกหกสิลูก” ก็คือผมไม่ได้ขายไง ไม่เคยยุ่งเกี่ยว จะให้ผมยอมรับทำไม
เหตุการณ์ตอนนั้นมีเพียงเพื่อนผมในกลุ่มโครงงาน และอาจารย์ที่ดูแลโครงงานเท่านั้นที่
สามารถยืนยันตัวตนของผมได้ แต่ผมก็ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ใครฟังเลยนะ แม้กระทั้งอาจารย์ที่
แกสามารถไปอธิบายพฤติกรรมของผมได้ ว่าทำอะไร เป็นยังไง หลังจากเสร็จสิ้นพิธีแล้ว
แม่ผมก็ไม่คุยกะผมอีกเลย ส่วนผมก็ยังปฏิบัติตัวเหมือนเดิม กลับบ้านมืดเหมือนเดิม เพราะ
โครงงานนั้นได้ไประดับภาค จนก่อนไปเข้าค่ายเสนอโครงงาน 3 วัน 2 คืน มีใบขออนุญาติ
มาให้ผู้ปกครองเซ็นรับทราบ แม่ก็เริ่มคุยกับผม
เรื่องราวนี้ผมจำได้จนถึงทุกวันนี้ คอยย้ำเตือนตัวเองตลอดว่า “การกระทำ สำคัญ
กว่าคำพูด” เรื่องนี้เป็นที่เรื่องผมเสียใจที่สุด มีโอกาสอธิบายแต่ก็ไม่มีใครฟัง มีคนฟังแต่กลับ
ไม่มีคนเชื่อ ผมไม่โทษแม่ผมหรอก และไม่โทษใครทั้งนั้น หมอดูย่อมคู่หมอเดา
หากคุณมีโอกาสได้พูด จงพูด ถ้าไม่มีโอกาสก็จงทำตนในคำที่อยากจะพูด T-T
คุณเคยพูดแล้วไม่มีคนเชื่อมั๊ย??
ของลูกตนเองเลย เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมจดจำมาถึงทุกวันนี้
ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน ตอนกำลังขึ้นม.5 แม่ผมได้พาไปอาบน้ำมนต์ที่ศาลเจ้าแห่งนึง
เป็นช่วงที่ผมอายุ 16-17 ปีพอดี บอกตรงๆเลยว่าแม่ผมเชื่อเรื่องพวกนี้มาก ปีนั้นเป็นปีชงของผม
แม่เลยพาผมไปอาบน้ำมนต์ ระหว่างรอคิวอาบน้ำมนต์ ก็เห็นคนเดือดเนื้อร้อนใจมาที่ศาลเจ้านี้กัน
เยอะพอสมควร เห็นร่างทรงทักนู้นนี่นั่นก็แปลกใจทำไมเค้าถึงรู้ สถานที่ตั้งของบ้าน ต้นไม้หน้า
บ้านของคนที่มาหา “บ้านลื้อมีต้นมะขามอยู่หน้าบ้านฝั่งซ้ายมือใช่มั้ย ต้นใหญ่ๆ” (สำเนียงจีน)
“ใช่ๆ ใช่คะ” ทึ่ง และยอมรับว่าศักดิ์สิทธิ์จริงจนกระทั้งมาถึงคิวผม
ร่างทรงก็ทักไถ่ถามไปเรื่อย ไล่สิ่งร้ายๆออกจากตัว และดูดวงก่อนอาบน้ำมนต์ แล้วมีช็อตนึง
ที่ร่างทรงถามขึ้นมาว่า “ลื้อไปขายยาทำไม ลื้อไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดทำไม”
ผมงงอยู่พักนึง แล้วตอบกลับไปว่า “ไม่เคยยุ่งครับ” ระหว่างนั้นแม่ผมได้ยินก็น้ำตาไหล
ร้องไห้อยู่ม้านั่งข้างๆ “ทำแบบนี้ทำไม กูสอนให้เป็นคนดี ไม่ได้สอนให้มาทำตัวเลวแบบนี้”
แม่ผมพูด ด่าทั้งน้ำตา ผมก็พยายามบอกว่า ไม่เคยยุ่งไม่เคยไปพัวพันเรื่องแบบนั้น “ลื้อไม่ต้องมาโกหก”
ร่างทรงพูดสวนกลับมา
ในชีวิตผมไม่เคยเดินล้ำเข้าไปในด้านนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ถึงผมจะเรียนไม่เก่ง
แต่ผมก็ไม่เคยเกเหลวไหลขนาดนั้นเลย ช่วงนั้นผมกลับบ้านมืดทุกวันก็จริง ผมทำโครงงานคุณธรรมอยู่ที่โรงเรียน
ก็คอยบอกแม่อยู่ตลอดๆว่าทำโครงงาน ทำนั่นทำนี่อยู่นะ อยู่กับอาจารย์ พอเจอคำพูดร่างทรงไป
แม่ผมเลยมองผมว่าที่กลับบ้านมืดๆทุกวัน เพราะไปขายยาบ้า สิ่งที่ผมทำมาล่มสลายไปในพริบตา
ไม่มีใครเชื่อผมเลยแม้กระทั้งแม่ของผมเอง และที่ผมเกลียดที่สุดคือ อีป้าในนั้นพูดขึ้นมาว่า
“ทำก็บอกทำ อย่าโกหกสิลูก” ก็คือผมไม่ได้ขายไง ไม่เคยยุ่งเกี่ยว จะให้ผมยอมรับทำไม
เหตุการณ์ตอนนั้นมีเพียงเพื่อนผมในกลุ่มโครงงาน และอาจารย์ที่ดูแลโครงงานเท่านั้นที่
สามารถยืนยันตัวตนของผมได้ แต่ผมก็ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ใครฟังเลยนะ แม้กระทั้งอาจารย์ที่
แกสามารถไปอธิบายพฤติกรรมของผมได้ ว่าทำอะไร เป็นยังไง หลังจากเสร็จสิ้นพิธีแล้ว
แม่ผมก็ไม่คุยกะผมอีกเลย ส่วนผมก็ยังปฏิบัติตัวเหมือนเดิม กลับบ้านมืดเหมือนเดิม เพราะ
โครงงานนั้นได้ไประดับภาค จนก่อนไปเข้าค่ายเสนอโครงงาน 3 วัน 2 คืน มีใบขออนุญาติ
มาให้ผู้ปกครองเซ็นรับทราบ แม่ก็เริ่มคุยกับผม
เรื่องราวนี้ผมจำได้จนถึงทุกวันนี้ คอยย้ำเตือนตัวเองตลอดว่า “การกระทำ สำคัญ
กว่าคำพูด” เรื่องนี้เป็นที่เรื่องผมเสียใจที่สุด มีโอกาสอธิบายแต่ก็ไม่มีใครฟัง มีคนฟังแต่กลับ
ไม่มีคนเชื่อ ผมไม่โทษแม่ผมหรอก และไม่โทษใครทั้งนั้น หมอดูย่อมคู่หมอเดา
หากคุณมีโอกาสได้พูด จงพูด ถ้าไม่มีโอกาสก็จงทำตนในคำที่อยากจะพูด T-T