▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
ภาพถ่ายทิวทัศน์
ประเทศสกอตแลนด์
ภาพถ่ายจากกล้องโทรศัพท์
เที่ยวต่างประเทศ
บันทึกนักเดินทาง
[SR] Lost in Scotland
พอดีทริปนี้คือมีโอกาสได้ไปทำงานที่สี่เมืองของสก๊อตแลนด์นั่นคือที่ Edinburgh, Aberdeen, Stirling แล้วก็ Glasgow ค่ะ โดยส่วนตัวคิดว่าประเทศนี้ยังไม่ค่อยเป็นที่สนใจของคนไทยเท่าไหร่เพราะส่วนใหญ่ถ้าจะเลือกไปเที่ยว UK ก็จะเลือกไปอังกฤษกันซะมากกว่า วันนี้เลยขอเอาทั้งสี่เมืองที่เราได้มีโอกาสไปเยือนแล้วมานำเสนอในมุมมองของเรานะคะ อาจจะไม่ได้บรรยายถึงเรื่องเส้นทางหรือถนนหนทางมากเราเน้นไปทางรีวิวเมืองซะมากกว่านะคะ รูปอาจจะเยอะนิดนึงนะคะ
เริ่มที่เมืองแรก Edinburgh
สำหรับเมืองนี้เรามองว่าเป็นเมืองที่สวยที่สุดในสี่เมืองค่ะ เราชอบสถาปัตยกรรมของเมืองนี้นะคะเป็นเมืองท่องเที่ยวแต่นักท่องเที่ยวก็ไม่ได้เยอะมากจนถึงวุ่นวายยังมีมุมเงียบสงบให้ได้เห็นอยู่บ้าง เมืองนี้ก็ค่อนข้างสะดวกสบายนะคะ เราพักที่ Kenneth Mackenzie ซึ่งเป็นหอพักของมหาวิทยาลัย Edinburgh ที่เปิดเป็นห้องพักให้กับนักท่องเที่ยวค่ะ ซึ่งตรงนี้ก็ถือว่าสะดวกพอควรเนื่องจากอยู่ในโซน City centre ค่ะ เดินออกจากที่พักมานิดเดียวก็เจอป้ายรถเมล์แล้ว ซึ่งรถเมล์ที่นี่ค่อนข้างตรงเวลาค่ะ ที่ป้ายรถเมล์จะมีตารางบอกว่ารถเมล์จะมาถึงป้ายนี้ตอนกี่โมงและป้ายรถเมล์นี้มีรถเมล์สายอะไรผ่านบ้าง และตอนที่ขึ้นรถเมล์เราต้องหยอดเงินลงไปในกระป๋องที่อยู่ข้างคนขับรถค่ะแล้วจะมีใบเสร็จออกมา(อันนี้แหล่ะค่ะตั๋วรถเมล์)อย่าลืมหยิบมาด้วยนะคะ (แต่ตอนที่เราขึ้นครั้งแรกเราลืมหยิบค่ะ 5555) อ่อ แล้วถ้าใครมีข้อสงสัยว่าถ้าแอบขึ้นตอนคนวุ่นวายแล้วไม่จ่ายเงินหล่ะจะได้หรือเปล่า อันนี้เราไม่แน่ใจนะคะว่ามีกรณีนี้มั๊ยแต่เท่าที่เราเห็นไม่มีค่ะเพราะคนที่รอขึ้นรถจะรอให้คนที่จะลงลงหมดก่อนแล้วค่อยต่อแถวขึ้นไปจ่ายเงินทีละคนซึ่งคนขับรถเมล์จะมองตลอดค่ะเพราะเขาจะเป็นคนคอยกดตั๋วให้ซึ่งที่นี่ไม่มีกระเป๋ารถเมล์เหมือนที่ไทยนะคะ แล้วก็รถเมล์ที่นี่ไม่วิ่งหนีประชาชนค่ะรอจนคนสุดท้ายจ่ายเงินเสร็จประตูถึงได้ปิดค่ะ หรือถ้าใครไม่อยากขึ้นรถเมล์เพราะกลัวลงไม่ถูกก็สามารถเดินไปได้ค่ะ จริงๆเดินไม่ไกลนะอาจะเพราะด้วยเราพักอยู่แถวๆ City centre ก็เป็นได้ค่ะเดินประมาณสิบนาทีก็ถึงสถานีรถไฟ Waverley ซึ่งตรงนี้เราว่าเป็นตัวใจกลางเมืองเลยแหล่ะ เพราะจากตรงนี้ไปไหนก็ง่ายค่ะ เราลองเดินไปตามถนนเรื่อยๆค่ะอยากรู้ว่าสุดท้ายจะหลงไปไกลมั๊ย แต่ไปๆมาๆถนนทุกสายมันก็มาชนกันหมดเราก็เลยเดินไปแบบเรื่อยตามใจฉันค่ะ แต่ก็มีบ้างที่ยก Google map มาเช็คว่าตอนนี้อยู่ไหนแต่ก็ตามที่บอกไปค่ะว่าเดินต่อไปก็จะไปชนกับถนนที่เคยผ่านมาแล้ว 5555 ซึ่งถนนเขาจะมีชื่อถนนบอกไว้ตามแยกค่ะว่าถนนเส้นนี้อะไรและป้ายชื่อถนนก็จะติดอยู่ตามอาหารที่ตั้งอยู่ตรงแยกนั่นเอง แปะมันไปบนนั้นหล่ะ
ในส่วนของสถาปัตยกรรมนั้นเราขอออกตัวก่อนนะคะว่าไม่ใช่คนที่มีความรู้ทางด้านนี้ดีเท่าไหร่แค่พูดไปตามความรู้สึก ด้วยความที่เมืองเอดินเบอระเป็นเมืองที่ค่อนข้างเก่าแก่ดังนั้นสถาปัตยกรรมส่วนใหญ่เลยเป็นหินแบบนี้ ให้อารมณ์เหมือนกำลังอยู่ในเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์เลยค่ะ สำหรับเราเวลาเรามองแล้วให้ความรู้สึกดูน่าค้นหาจนน่าหลงไหลเลยค่ะ
เมืองต่อมา Aberdeen ค่ะ
สำหรับเมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็น Silver city เพราะส่วนใหญ่สร้างมาจากหินแกรนิตจากทะเลเหนือ (เขาว่ามางี้นะคะ) สำหรับเมืองนี้ค่อนข้างต่างจากเมืองแรกอยู่นิดหน่อยทั้งในเรื่องสถาปัตยกรรมและผู้คน คือเราไปถึงที่นี่ตอนหกโมงเย็นกว่าๆวันอาทิตย์ซึ่งพอออกจากสถานีรถไฟมาบรรยากาศช่างเงียบเชียบมาก แทบจะร้างผู้คนเลยเมื่อเทียบกับเอดินเบอระแถมสถานีรถไฟอยู่ข้างๆท่าเรือลมก็เลยยิ่งแรงมีเศษใบไม้ปลิวเป็นแบร็คกราวน์ด้วย ร้านรวงที่นี่ก็ปิดกันเกือบหมดแล้ว จริงๆไม่ใช่แค่เมืองนี้ค่ะแต่น่าจะเป็นทั้งยูเคเลยแหล่ะที่ร้านรวงปิดกันตั้งแต่หกโมงเย็น ที่นี่จะไม่ได้สะดวกเท่าที่เอดินนะคะแต่ก็โอเคอยู่ค่ะมีรถเมล์แต่ด้วยความที่เราเป็นคนชอบลองอะไรเรื่อยเเปื่อยเลยตัดสินใจเปิดกูเกิ้ลแมพเพื่อหาโรงแรมและไม่เรียกบริการแท็กซี่เพราะพี่เกิ้ลบอกว่าเดินไปแค่สิบนาทีก็ถึง ก็เลยเดินตามทางที่แผนที่บอกเรื่อยๆจนมาเจอกับผนังและข้างๆกันเป็นบันไดซักเกือบสี่สิบขั้นได้ ด้วยความที่มีกระเป๋าใบลากเบ้อเร้อมาด้วยก็คิดว่าเราอาจจะมาทางผิดเลยจะเดินย้อนกลับแต่พอดีมีคนเดินผ่านพอดีเลยตัดสินใจถามค่ะ เขาก็ชี้ขึ้นไปข้างบนแล้วบอกว่า เดินขึ้นบันไดนั้นไปจะเจอถนนเส้นนี้และพอข้ามถนนก็เจอโรงแรมแล้ว เรานี่ร้องห๊ะเลยค่ะ แบกกระเป๋ายี่สิบกว่าโลกขึ้นบันไดสี่สิบขั้นต้องตายแน่ๆแต่พอเดินขึ้นไปได้ครึ่งนึงก็มีบุรุษขี่ม้าขาวมาช่วยค่ะ ซึ่งนั่นก็คือชายหนุ่มที่เดินตามมานั่นเองเขาเห็นเราเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆจึงสงสาร(หรือเราเดินช้าเลยขวางทางเขาเราก็ไม่แน่ใจ 5555)ที่ต้องแบกกระเป๋าใบใหญ่เลยช่วยแบกขึ้นมาส่งให้อีกยี่สิบขึ้น เรานี่อยากจะก้มกราบงามๆมากค่ะเกือบขาดใจตายก่อนได้เที่ยว แต่ในช่วงเช้าของอาเบอร์ดีนจะต่างจากช่วงเย็นลิบลับค่ะเพราะผู้คนก็เดินกันขวักไขว่แต่ส่วนใหญ่จะเป็นคนในเมืองค่ะไม่ใช่นักท่องเที่ยว ส่วนเรื่องเส้นทางสำหรับเมืองอาเบอร์ดีนก็คล้ายๆกันกับที่เอดินเบอระค่ะ เดินไปเรื่อยๆเดี๋ยวถนนก็จรดกันเองแต่สำหรับส่วนที่เป็น City centre จะมีห้างอยู่ห้างนึงค่ะก็อยู่ตรงสถานีรถไฟนั่นแหล่ะค่ะซึ่งอยู่ตรงข้ามกับท่าเรือ
ส่วนเรื่องของสถาปัตยกรรมอย่างที่บอกไปเพราะเมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็นเป็นเมืองสีเงินตึกรามบ้านช่องส่วนใหญ่เลยมาในโทนหม่นๆหน่อย จะดูเหงาๆนิดยามโพล้เพล้ แต่เวลากลางวันที่นี่แดดจ้าที่สุดแล้วค่ะในสี่เมืองที่เราไปผจญมา อาจเพราะอยู่ติดทะเลท้องฟ้าเลยค่อนข้างใส เราชอบท้องฟ้าที่นี่มากที่สุดเลยค่ะในสี่เมือง เพราะท้องฟ้าที่นี่โปร่งมากแล้วก็เป็นสีฟ้าเลย ที่นี่เรามีโอกาสได้ไป Dunnottar Castle ด้วยค่ะ ซึ่งจะอยู่ที่ Stonehaven ซึ่งเป็นเมืองท่าเมืองนึงที่ตั้งอยู่ในเขตของอาเบอร์ดีน หรือจริงๆอาจจะคล้ายๆกับหมู่บ้านชาวประมงอะไรทำนองนั้นค่ะ คือเดินกันเหนื่อยเลย แต่ลมแรงดีค่ะ ปราสาทเก่ามากบรรยากาศดีค่ะ
ต่อมาเป็นเมือง Stirling ค่ะ
ส่วนตัวเราขอยกเมืองนี้เป็นเมืองแห่งเทพนิยายในใจเราค่ะ เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆจะต่างกับทั้งสามเมืองที่เราปแต่สำหรับเราแล้วเราชอบนะให้ความรู้สึกผ่อนคลายแ้วก็สงบดี ที่นี่มีฟาร์มแกะแยะเหมือนกันนะทั้งๆที่เป็นเมืองเล็กๆ แต่ในส่วนของ City centre นั้นก็มีของทุกอย่างแบบครบครัน ถึงจะเป็นเมืองเล็กๆแต่รถราค่อนข้างเยอะนะส่วนรถเมล์ที่นี่ก็มีค่ะ ซึ่งที่นี่เราพักโรงแรมในมหาวิทยาลัย Stirling ค่ะ ส่วนตัวคิดว่าที่นี่เงียบดีค่ะดูน่าเรียน จริงๆเมืองนี้ก็ดูเงียบทั้งเมืองนะ หลังหกโมงไปแล้วร้านค้าก็ปิดเกือบทุกร้านแล้วค่ะจะเปิดก็แค่พวกร้านสะดวกซื้อหรือพวก McDonalds, Subway ที่เปิด 24 ชั่วโมง
จริงๆที่นี่ก็ไม่ได้มีพวกตึกเก่าๆมากมายเท่าไหร่คะแต่อาจเพราะเราเป็นพวกชอบจินตนาการมั้งเราเลยชอบที่ที่นี่มีปราสาทอยู่บนภูเขาลูกนึง แล้วมีหอคอยที่อยู่บนเขาอีกลูกซึ่งห่างไปประมาณสี่กิโล แล้วข้างล่างจะเป็นคลองกับหมู่บ้าน เราชอบบรรยากาศแบบนี้นะยิ่งเวลาไปอยู่บนยอดหอคอยWallace Monument ลมแรงมากจนแทบจะปลิวแต่วิวที่มองลงมาคือทำให้เรารู้สึกสบายใจดีแต่ก็ทนอยู่ข้างบนได้ไม่นานค่ะกนาวจับใจเกินไปเลยต้องรีบลงมา ตอนที่กำลังเดินลงจากเขามีลุงคนนึงใส่ชุดทหารโบราณยืนอยู่ตรงทางลงเราได้คุยกับเขาสองสามประโยคค่ะเขาบอกว่าเขาอยู่ตรงนี้เพื่อทำหน้าที่คอยเล่าเรื่องราวสงครามที่เคยเกิดขึ้นให้นักท่องเที่ยวฟังค่ะอาจเพราะที่เมืองนี้ค่อนข้างมีประวัติศาสตร์ทางเรื่องของสงครามด้วยมั้ง แต่คุณลุงที่ใส่ชุดทหารโบราณน่ารักมากๆเลย
ต่อข้างล่างค่ะ