เราจะเล่าเรื่องของเราให้ฟังนะ มันก็แค่เรื่องเล็กๆสำหรับใครหลายๆคน แต่สำหรับเรามันคือ....ความฝัน
พอเราขึ้นมหาลัยปีสี่ เรามีความฝันว่า อยากจะไปเรียนภาษาจีนต่อที่ประเทศจีนทันทีหลังจากเรียนจบ เพราะเราอยากรีบไปเรียนและกลับมาทำงานที่ไทย เราลองหาข้อมูลดูในเว็บไซด์ของสถาบันที่ให้ทุน บนหน้าเว็บบอกรายละเอียดและข้อมูลต่างๆ ที่เราต้องเตรียมสำหรับยื่นใบสมัคร เราเตรียมข้อมูลทุกอย่างตามที่เค้ากำหนด แต่เหลืออย่างเดียวนั่นคือ หนังสือรับรองวุฒิการศึกษา เราเลยไปสอบถามที่สำนักงานของมหาวิทยาลัย เจ้าหน้าที่บอกว่า หนังสือรับรองวุฒิการศึกษาจะได้รับหลังจากรับปริญญาแล้ว ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็คงทำอะไรต่อไม่ได้ แต่เราก็ยังอยากไปนะ เลยตัดสินใจว่าจะรอรับปริญญาให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปก็ได้
หลังจากนั้นเราเรียนจบก็กลับมาที่บ้านเกิด แต่ว่าก็ยังอีกหลายเดือนกว่าจะถึงช่วงรับปริญญาของมหาลัยเรา ระหว่างนั้นเราก็เข้าไปดูข้อมูลในเว็บไซด์ของสถาบันอยู่ตลอด เรารอว่าเมื่อไหร่เค้าจะอัพเดตข้อมูลที่จะใช้ในการเรียนต่อในปี 2016 และช่วงนั้นเราเข้ากทม.ไปเรียนพิเศษภาษาจีนทุกวันเสาร์ที่สถาบันOCA เพราะเรายังไม่อยากปล่อยทิ้งภาษาจีนที่เรียนมา และยังอยากจะหาความรู้เพิ่มเติมอีก เพื่อตอนไปใช้ชีวิตที่จีนจะได้ไม่เป็นปัญหามากนัก นอกจากนี้เรายังทำงานกับแม่ เพื่อเก็บเงินเอาไว้ใช้ตอนอยู่ที่จีน เราไม่อยากขอเงินแม่ใช้แบบเปล่าๆ มันรู้สึกไม่ดียังไงก็ไม่รู้ เลยขอทำงานแลกกับเงินดีกว่า เพราะเรารู้สึกว่าเงินที่ได้มาเป็นเงินของเราจริงๆ และถ้าหากเราขอเงินแม่ไปเรียน เราไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า เพราะแค่ค่าเทอมในการเรียนปีหนึ่งก็แสนกว่าบาทแล้ว และตอนนั้นธุรกิจแม่ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ด้วย
แต่ก็ใช่ว่าเรื่องที่เราจะไปเรียนต่อต่างประเทศ คนในครอบครัวเราจะเห็นด้วยนัก แม่ไม่ค่อยอยากให้เราไป เพราะเป็นห่วงเรา พ่อก็คิดว่า จะไปเรียนทำไมให้มันลำบาก เรียนภาษาจีนที่ไทยดีกว่า ส่วนน้าก็ห่วงว่าเราจะไปเจออันตรายตอนไปเรียนอยู่ที่จีน เพราะที่ประเทศจีนก็ค่อนข้างอันตรายอยู่จากในข่าวน่ะนะ เรื่องพวกนี้เราก็คิดนะ แต่ว่า......เราชอบภาษาจีน อยากเรียนรู้ให้มากกว่านี้อีก มากกว่าตอนที่เรียนอยู่ในมหาลัย มากกว่าตอนที่เราเรียนอยู่ที่ประเทศ ไทย ตอนอายุประมาณสิบขวบกว่า เราเคยไปเที่ยวประเทศจีนกับน้า นั่นเป็นประสบการณ์ที่แย่มากๆสำหรับเรา คงจะเป็นประมาณ culture shock เลยล่ะ 555555 โดยเฉพาะเรื่องการเข้าห้องน้ำของคนจีน ถ้าใครเคยไปก็คงจะรู้นะ.... ฮึบ ฮึบ แต่ก็นั่นแหละ พอลองถามใจตัวเองว่าต้องการอะไร สิ่งที่เรา 'ยี้!!' ในตอนแรกก็กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย ฮ่าาาาาาาา Fightคะงานนี้
เพื่อนของเราก็ร่วมอุดมการณ์ล่าฝันไปด้วยกัน พวกนางแต่ละคนก็มีฝันของนาง บ้างก็อยากทำงานที่ชอบ บ้างก็อยากเรียนต่อคณะที่อยากเรียน พวกนางจะคอยบอกให้เราสู้ๆกับความฝัน ซึ่งสิ่งเหล่าเป็นเหมือนยาชูกำลังสำหรับเราเลย แล้วช่วงเวลาของความวุ่นวายในวันรับปริญญาก็จบลง เส้นทางของเราจะเริ่มขึ้นต่อจากนี้ เราโทรไปหาตามมหาลัยต่างๆที่เป็นพันธมิตรกับสถาบันที่ให้ทุน สอบถามเรื่องเอกสาร วันเวลาที่เปิดรับสมัคร ถามทุกเรื่องที่อยากรู้ซึ่งทำให้เรารู้ว่าบางมหาลัยจะทำเรื่องเรียนต่อให้กับคนที่เรียนกับเค้าเท่านั้น ไม่เป็นไร...ยังมีอีกหลายแห่งที่รับคนนอกด้วยนี่ จนกระทั่งเว็บไซต์หลักของสถาบันที่ให้ทุนอัพเดตกำหนดการรับสมัครนร.ทุนปี 2016 เอกสารทุกอย่างที่จำเป็นเราเตรียมเกือบครบแล้ว ทีนี้ก็เหลือแต่จดหมายแนะนำซึ่งต้องขอจากทางมหาลัยที่เป็นพันธมิตรกับสถาบันที่ให้ทุนเท่านั้น พอถึงตรงนี้เราเริ่มหนักใจ มหาลัยที่ตอนแรกประกาศว่ารับคนนอกด้วยกลับบอกเราว่า ทางสถาบันที่ให้ทุนจะให้เฉพาะนร.ของสถาบันเท่านั้น ซึ่งเป็นกฎใหม่ของปีนี้ เราไม่เชื่อและคิดว่ามหาลัยนั้นคงจะกักที่ไว้ให้นร.ของตัวเองเท่านั้น ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ เราจะไม่ยอมแพ้ ต้องมีสักที่สิ จากนั้นเราจึงโทรหาอีกมหาลัยหนึ่งซึ่งเค้าก็ยอมเขียนจดหมายแนะนำ เราดีใจมากๆ ดีใจจนพูดไม่ออกเลย ฮ่าาาาาาาาา แต่ก็ด้วยความที่เราไม่ใช่นร.ของมหาลัย อาจารย์ที่จัดการด้านนี้ก็เลยบอกให้เราไปให้อาจารย์ของมหาลัยเราช่วยเขียนจดหมายแนะนำให้ แล้วค่อยส่งให้เค้าอีกที เราก็รีบไปจัดการอย่างไม่รอช้า ติดต่อกับอาจารย์ที่มหาลัยของเรา ทำทุกอย่างจนเสร็จสิ้น ถึงจะมีปัญหาเข้ามาบ้าง แต่ขอแค่ได้จดหมายแนะนำมา เราก็มีความสุขแล้ว
และแล้วเราก็ได้มันมา เรารีบใส่ข้อมูลลงไปในเว็บไซต์หลักของสถาบันทันที กดส่ง แล้วก็รอคอย รอโอกาส รอเวลา และถ้าหากว่าเราไม่ได้รับทุน เราก็พร้อมที่จะยอมรับมัน เราเข้าเช็คสถานะการสมัครเราของเกือบทุกวัน รอว่าเมื่อไหร่มันจะเปลี่ยน จนวันหนึ่งสถานะของเราเปลี่ยน เปลี่ยนเป็น ปฏิเสธ(驳回) เพราะข้อมูลไม่ครบ เราก็เริ่มร้อนรน เราไม่รู้ว่าขาดข้อมูลอะไร เราเลยไลน์ไปถามอาจารย์คนนั้น แต่เค้าไม่ตอบ เราก็เลยไปถามคนอื่นที่สมัครเหมือนกันกับเรา บางคนก็ว่าเราขาดใบเกรด บางคนก็ว่าจดหมายแนะนำจากอาจารย์สองท่าน เราไม่แน่ใจเลย ในใจเรากำลังสั่นไหว ความรู้สึกหวาดหวั่นเริ่มตีตื้นขึ้นมาที่คอ เราไม่เหลือทางแล้ว เมื่อวานเราเลยพยายามติดต่อไปหาอาจารย์คนนั้นอีกรอบ ทีนี้อาจารย์คนนั้นโทรกลับมาหาเรา เค้าบอกว่าที่เราไม่ได้เป็นเพราะเราไม่ใช่นร.ของสถาบันที่ให้ทุน และเราก็ไม่ได้เข้าร่วมกิจกร้รมใดๆที่เกี่ยวข้องกับสถาบันด้วย แล้วที่ตลกร้ายยิ่งกว่าคือ มหาลัยที่เราเรียนจบมา เค้าเพิ่งจะทำพันธสัญญากับสถาบันที่ให้ทุนเมื่อปีทีแล้วนี่เอง เหอะๆ เราจบพอดีเลยนี่ ช่างเหมาะเจาะอะไรอย่างงี้ แล้วทีนี้เราจะเอายังไงต่อดีล่ะ ควรจะทำยังไงดี เราพยายามบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร มันต้องมีทางสิ ยัง......ยังไม่สิ้นหวังหรอก น้ำตาเราเริ่มเอ่อขึ้นมาที่สองตา ไม่ ไม่ ไม่ อย่าร้องสิ มันต้อง....มีทางออกสิ อย่า....อย่า..... แต่น้ำตาเจ้ากรรมกลับไหลลงมาอาบสองแก้มของเราไม่หยุด ความสิ้นหวังท่วมท้นหัวใจ คำว่า 'พ่ายแพ้' ปรากฎขึ้นมาในหัว ประทับตราตรึงเหมือนรอยแผล เราร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่กระนั้น ส่วนลึกในใจของฉันก็ยังบอกให้หวังต่อ อย่ายอมแพ้ หรือว่าจริงๆ แล้วเราแค่หลอกตัวเองก็เท่านั้น อันที่จริง เราก้คิดว่าตัวเองก็น่าจะยังไม่สิ้นหนดทางเสียทีเดียว หากเราเข้าร่วมกิจกรรมกับมหาลัยสักแห่งก็น่าจะขอให้ที่นั่นช่วยเขียนจดหมายแนะนำและส่งยื่นเอกสารให้ได้มั้ง? ไม่รู้ว่าความหวังนี่จะเป็นยาชูกำลังหรือว่ายาพิษที่กัดกร่อนหัวใจกันแน่ ถ้าเป็นพวกคุณจะยังหวังอยู่ไหมค่ะ? หรือว่าถ้าในสถานการณ์ที่คล้ายกันแบบนี้คุณจะทำยังไง?
ป.ล.ขอบคุณที่อ่านเรื่องของเราเรื่องนี้นะคะ
เมื่อปัญหามาบั่นทอนความหวัง คุณจะยังฝันต่อไปอีกไหม?
พอเราขึ้นมหาลัยปีสี่ เรามีความฝันว่า อยากจะไปเรียนภาษาจีนต่อที่ประเทศจีนทันทีหลังจากเรียนจบ เพราะเราอยากรีบไปเรียนและกลับมาทำงานที่ไทย เราลองหาข้อมูลดูในเว็บไซด์ของสถาบันที่ให้ทุน บนหน้าเว็บบอกรายละเอียดและข้อมูลต่างๆ ที่เราต้องเตรียมสำหรับยื่นใบสมัคร เราเตรียมข้อมูลทุกอย่างตามที่เค้ากำหนด แต่เหลืออย่างเดียวนั่นคือ หนังสือรับรองวุฒิการศึกษา เราเลยไปสอบถามที่สำนักงานของมหาวิทยาลัย เจ้าหน้าที่บอกว่า หนังสือรับรองวุฒิการศึกษาจะได้รับหลังจากรับปริญญาแล้ว ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็คงทำอะไรต่อไม่ได้ แต่เราก็ยังอยากไปนะ เลยตัดสินใจว่าจะรอรับปริญญาให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปก็ได้
หลังจากนั้นเราเรียนจบก็กลับมาที่บ้านเกิด แต่ว่าก็ยังอีกหลายเดือนกว่าจะถึงช่วงรับปริญญาของมหาลัยเรา ระหว่างนั้นเราก็เข้าไปดูข้อมูลในเว็บไซด์ของสถาบันอยู่ตลอด เรารอว่าเมื่อไหร่เค้าจะอัพเดตข้อมูลที่จะใช้ในการเรียนต่อในปี 2016 และช่วงนั้นเราเข้ากทม.ไปเรียนพิเศษภาษาจีนทุกวันเสาร์ที่สถาบันOCA เพราะเรายังไม่อยากปล่อยทิ้งภาษาจีนที่เรียนมา และยังอยากจะหาความรู้เพิ่มเติมอีก เพื่อตอนไปใช้ชีวิตที่จีนจะได้ไม่เป็นปัญหามากนัก นอกจากนี้เรายังทำงานกับแม่ เพื่อเก็บเงินเอาไว้ใช้ตอนอยู่ที่จีน เราไม่อยากขอเงินแม่ใช้แบบเปล่าๆ มันรู้สึกไม่ดียังไงก็ไม่รู้ เลยขอทำงานแลกกับเงินดีกว่า เพราะเรารู้สึกว่าเงินที่ได้มาเป็นเงินของเราจริงๆ และถ้าหากเราขอเงินแม่ไปเรียน เราไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า เพราะแค่ค่าเทอมในการเรียนปีหนึ่งก็แสนกว่าบาทแล้ว และตอนนั้นธุรกิจแม่ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ด้วย
แต่ก็ใช่ว่าเรื่องที่เราจะไปเรียนต่อต่างประเทศ คนในครอบครัวเราจะเห็นด้วยนัก แม่ไม่ค่อยอยากให้เราไป เพราะเป็นห่วงเรา พ่อก็คิดว่า จะไปเรียนทำไมให้มันลำบาก เรียนภาษาจีนที่ไทยดีกว่า ส่วนน้าก็ห่วงว่าเราจะไปเจออันตรายตอนไปเรียนอยู่ที่จีน เพราะที่ประเทศจีนก็ค่อนข้างอันตรายอยู่จากในข่าวน่ะนะ เรื่องพวกนี้เราก็คิดนะ แต่ว่า......เราชอบภาษาจีน อยากเรียนรู้ให้มากกว่านี้อีก มากกว่าตอนที่เรียนอยู่ในมหาลัย มากกว่าตอนที่เราเรียนอยู่ที่ประเทศ ไทย ตอนอายุประมาณสิบขวบกว่า เราเคยไปเที่ยวประเทศจีนกับน้า นั่นเป็นประสบการณ์ที่แย่มากๆสำหรับเรา คงจะเป็นประมาณ culture shock เลยล่ะ 555555 โดยเฉพาะเรื่องการเข้าห้องน้ำของคนจีน ถ้าใครเคยไปก็คงจะรู้นะ.... ฮึบ ฮึบ แต่ก็นั่นแหละ พอลองถามใจตัวเองว่าต้องการอะไร สิ่งที่เรา 'ยี้!!' ในตอนแรกก็กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย ฮ่าาาาาาาา Fightคะงานนี้
เพื่อนของเราก็ร่วมอุดมการณ์ล่าฝันไปด้วยกัน พวกนางแต่ละคนก็มีฝันของนาง บ้างก็อยากทำงานที่ชอบ บ้างก็อยากเรียนต่อคณะที่อยากเรียน พวกนางจะคอยบอกให้เราสู้ๆกับความฝัน ซึ่งสิ่งเหล่าเป็นเหมือนยาชูกำลังสำหรับเราเลย แล้วช่วงเวลาของความวุ่นวายในวันรับปริญญาก็จบลง เส้นทางของเราจะเริ่มขึ้นต่อจากนี้ เราโทรไปหาตามมหาลัยต่างๆที่เป็นพันธมิตรกับสถาบันที่ให้ทุน สอบถามเรื่องเอกสาร วันเวลาที่เปิดรับสมัคร ถามทุกเรื่องที่อยากรู้ซึ่งทำให้เรารู้ว่าบางมหาลัยจะทำเรื่องเรียนต่อให้กับคนที่เรียนกับเค้าเท่านั้น ไม่เป็นไร...ยังมีอีกหลายแห่งที่รับคนนอกด้วยนี่ จนกระทั่งเว็บไซต์หลักของสถาบันที่ให้ทุนอัพเดตกำหนดการรับสมัครนร.ทุนปี 2016 เอกสารทุกอย่างที่จำเป็นเราเตรียมเกือบครบแล้ว ทีนี้ก็เหลือแต่จดหมายแนะนำซึ่งต้องขอจากทางมหาลัยที่เป็นพันธมิตรกับสถาบันที่ให้ทุนเท่านั้น พอถึงตรงนี้เราเริ่มหนักใจ มหาลัยที่ตอนแรกประกาศว่ารับคนนอกด้วยกลับบอกเราว่า ทางสถาบันที่ให้ทุนจะให้เฉพาะนร.ของสถาบันเท่านั้น ซึ่งเป็นกฎใหม่ของปีนี้ เราไม่เชื่อและคิดว่ามหาลัยนั้นคงจะกักที่ไว้ให้นร.ของตัวเองเท่านั้น ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ เราจะไม่ยอมแพ้ ต้องมีสักที่สิ จากนั้นเราจึงโทรหาอีกมหาลัยหนึ่งซึ่งเค้าก็ยอมเขียนจดหมายแนะนำ เราดีใจมากๆ ดีใจจนพูดไม่ออกเลย ฮ่าาาาาาาาา แต่ก็ด้วยความที่เราไม่ใช่นร.ของมหาลัย อาจารย์ที่จัดการด้านนี้ก็เลยบอกให้เราไปให้อาจารย์ของมหาลัยเราช่วยเขียนจดหมายแนะนำให้ แล้วค่อยส่งให้เค้าอีกที เราก็รีบไปจัดการอย่างไม่รอช้า ติดต่อกับอาจารย์ที่มหาลัยของเรา ทำทุกอย่างจนเสร็จสิ้น ถึงจะมีปัญหาเข้ามาบ้าง แต่ขอแค่ได้จดหมายแนะนำมา เราก็มีความสุขแล้ว
และแล้วเราก็ได้มันมา เรารีบใส่ข้อมูลลงไปในเว็บไซต์หลักของสถาบันทันที กดส่ง แล้วก็รอคอย รอโอกาส รอเวลา และถ้าหากว่าเราไม่ได้รับทุน เราก็พร้อมที่จะยอมรับมัน เราเข้าเช็คสถานะการสมัครเราของเกือบทุกวัน รอว่าเมื่อไหร่มันจะเปลี่ยน จนวันหนึ่งสถานะของเราเปลี่ยน เปลี่ยนเป็น ปฏิเสธ(驳回) เพราะข้อมูลไม่ครบ เราก็เริ่มร้อนรน เราไม่รู้ว่าขาดข้อมูลอะไร เราเลยไลน์ไปถามอาจารย์คนนั้น แต่เค้าไม่ตอบ เราก็เลยไปถามคนอื่นที่สมัครเหมือนกันกับเรา บางคนก็ว่าเราขาดใบเกรด บางคนก็ว่าจดหมายแนะนำจากอาจารย์สองท่าน เราไม่แน่ใจเลย ในใจเรากำลังสั่นไหว ความรู้สึกหวาดหวั่นเริ่มตีตื้นขึ้นมาที่คอ เราไม่เหลือทางแล้ว เมื่อวานเราเลยพยายามติดต่อไปหาอาจารย์คนนั้นอีกรอบ ทีนี้อาจารย์คนนั้นโทรกลับมาหาเรา เค้าบอกว่าที่เราไม่ได้เป็นเพราะเราไม่ใช่นร.ของสถาบันที่ให้ทุน และเราก็ไม่ได้เข้าร่วมกิจกร้รมใดๆที่เกี่ยวข้องกับสถาบันด้วย แล้วที่ตลกร้ายยิ่งกว่าคือ มหาลัยที่เราเรียนจบมา เค้าเพิ่งจะทำพันธสัญญากับสถาบันที่ให้ทุนเมื่อปีทีแล้วนี่เอง เหอะๆ เราจบพอดีเลยนี่ ช่างเหมาะเจาะอะไรอย่างงี้ แล้วทีนี้เราจะเอายังไงต่อดีล่ะ ควรจะทำยังไงดี เราพยายามบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร มันต้องมีทางสิ ยัง......ยังไม่สิ้นหวังหรอก น้ำตาเราเริ่มเอ่อขึ้นมาที่สองตา ไม่ ไม่ ไม่ อย่าร้องสิ มันต้อง....มีทางออกสิ อย่า....อย่า..... แต่น้ำตาเจ้ากรรมกลับไหลลงมาอาบสองแก้มของเราไม่หยุด ความสิ้นหวังท่วมท้นหัวใจ คำว่า 'พ่ายแพ้' ปรากฎขึ้นมาในหัว ประทับตราตรึงเหมือนรอยแผล เราร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่กระนั้น ส่วนลึกในใจของฉันก็ยังบอกให้หวังต่อ อย่ายอมแพ้ หรือว่าจริงๆ แล้วเราแค่หลอกตัวเองก็เท่านั้น อันที่จริง เราก้คิดว่าตัวเองก็น่าจะยังไม่สิ้นหนดทางเสียทีเดียว หากเราเข้าร่วมกิจกรรมกับมหาลัยสักแห่งก็น่าจะขอให้ที่นั่นช่วยเขียนจดหมายแนะนำและส่งยื่นเอกสารให้ได้มั้ง? ไม่รู้ว่าความหวังนี่จะเป็นยาชูกำลังหรือว่ายาพิษที่กัดกร่อนหัวใจกันแน่ ถ้าเป็นพวกคุณจะยังหวังอยู่ไหมค่ะ? หรือว่าถ้าในสถานการณ์ที่คล้ายกันแบบนี้คุณจะทำยังไง?
ป.ล.ขอบคุณที่อ่านเรื่องของเราเรื่องนี้นะคะ