เจ้าของทีม :
กุหลาบ Jack Walker ใช้นโยบายทุ่มซื้อตลอด (เคยทำสถิติซัตตันค่าตัวสูงสุด 5 ล้านปอนด์มาแล้วในยุคนั้น) เน้นซื้อของแพง ใช้งานระยะสั้น
ปู่แจ๊คเป็นแฟนทีมกุหลาบมาตลอดแกอยากเห็นทีมได้แชมป์ก่อนตาย ซึ่งก็ได้เห็นแล้วก็พอใจแล้ว ไม่มีแผนรองรับระยะยาว หลังแกตายก็มีกองทุนมารองรับแต่ก็บริหารแบบแกนๆ ไม่มีแผน ไม่มีเงินทุน สุดท้ายก็ขายให้แขกอินเดียขายไก่ไปเพราะได้ราคามากกว่า ซึ่งแขกขายไก่พอซื้อไปก็ไล่กุนซือตอนนั้นคือ Big Sam ที่ทำผลงานดีออกทันทีขอหาไม่เชื่อฟังนายหญิงและตั้งกุนซือจอมพยักหน้าขึ้นมาแทน .. อนาคตไม่ต้องพูดถึงเลื่อนชั้น รอลุ้นตกชั้นไปลีค 1 ในอีกไม่นาน ถ้าแขกขายไก่ยังทำทีมอยู่
จิ้งจอก คุณวิชัย เน้นซื้อของถูกแต่ใช้งานได้ตรงจุดและใช้งานได้นาน การบริหารมีทีมงาน มีแผนระยะสั้น ระยะยาว ระยะกลางรองรับ ธุรกิจกำลังโตจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูก จึงไม่บริหารด้วยเป้าหมายระยะสั้นเหมือนปู่แจ๊คที่เป็นอัศวินม้าขาว เมื่ออัศวินตายไป อณาจักรย่อมล้มครืน แต่ King Power บริหารแบบกองทัพ มีการแบ่งหน้าที่ แบ่งกำลังชัดเจน .. อนาคตทีมอาจไม่รุ่งแบบนี้ แต่เชื่อว่าน่าจะอยู่พรีเมียร์ลีคสบายๆต่อไปได้แน่นอนอีกหลายปี
กุนซือ :
คิง เคนนี่ คือ ผู้พากุหลาบเป็นแชมป์ และ เป็นผู้ทำให้กุหลาบเฉา เพราะการประการ "ลาออกอย่างฉับพลัน" ของตัวเค้าเอง เป้าหมายที่เดลกลิชดึงมาตอนนั้นเน้นนักเตะช่วงพีคทั้งหมด ไม่มีระยะยาว (เพราะตัวเองรู้ว่าจะอยู่ไม่นาน และปู่แจ๊คมีจ่ายอยู่แล้ว จึง ซื้อ ซื้อ ซื้อ .. เพียงอย่างเดียว) เมื่อเป็นแชมป์คิงเคนนี่ก็สละเรือถีบหัวส่งทีมทันที !! หากเปรียบเป็นคน คิงเคนนี่ คือ "ผู้เสพติดความสำเร็จ" ทั้งสมัยอยู่กับหงส์แดง เป็นักเตะก็เทพ เป็นกุนซือก็แชมป์ เมื่อทำกุหลาบเป็นแชมป์อีกทีมแล้ว เค้าก็ไม่กล้าแบกรับความกดดันใดๆอีกต่อไป เป็นคนกลัวความล้มเหลวเป็นอย่างมาก (เค้าเป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่แชมป์ลีคสูงสุดทั้ง สมัยนักเตะ และ ผู้จัดการทีม 2 สโมสร)
รานิเอรี่ กลับกัน เป็นคนที่กลางๆ สำเร็จบ้าง แต่ก็ล้มเหลวมากกว่าในยุคหลังๆ ก่อนมาคุมเลสเตอร์ก็คุมทีมชาติกรีซกล้าๆแพ้หมู่เกาะแฟโรห์มาแล้ว ดังนั้นจึงเป็นคนที่ไม่กลัวความล้มเหลว เหมือนคิง เคนนี่ แถมเมื่อแก่แล้วก็ได้บรรลุกระบวนท่าขั้นสูงของลี้น้อยมีดบิน ร้อยกระบี่มิสู้ปลิดชีพด้วยมีดบินเล่มเดียว ดังนั้นจึงไม่เปลี่ยนแผน เปลี่ยนทีมซี้ซั้วเหมือนสมัยก่อน แผนใดได้ผลก็ยึดไปตลอด
นักเตะ :
กุหลาบ อุดมไปด้วยนักเตะแพงๆ มาอยู่รวมกันในเวลาสั้นๆ นักเตะไม่สนิทกันนัก ไม่มีความผูกพันกับสโมสร ต่อยกันเองในสนามเกมยุโรปยังเคยมาแล้ว เมื่อผลงานไม่ดี การเสียสละระหว่างกันจึงไม่มี ต่างสละเรือไปเร็วกว่าการอพยพของคนบนเรือไททานิกเสียอีก
เลสเตอร์ เต็มไปด้วยนักเตะที่ราคาถูก ล้มลุกคลุกคลานมาในชีวิต สร้างทีมมาด้วยกัน ผูกพันกันเหนียวแน่น ต่างเสียสละเพื่อทีม สำรองไม่บ่น ตัวจริงไม่แอ๊ค ปีหน้าไปยุโรป ปีถัดไปอาจไม่ได้ไปอีก แม้มีการขายตัวหลักออกไป แต่วัฒนธรรมการทำเพื่อทีมเชื่อว่าจะคงอยู่ไปอีกนาน การทีมแตกคงไม่เกิดในเวลาอันสั้นแบบกุหลาบ
เงินทุน :
ปู่แจ๊ค ได้แชมป์แล้วหมดไฟเหมือนกัน คนในตระกูลก็ไม่มีใครอยากทุ่มต่อ มีเพียงกองทุนซึ่งไม่มีการเติมเงินที่เพียงพอ เมื่อการแข่งขันสูงขึ้น ก็ได้แต่รอวันขายทีมให้ได้กำไรคืนกลับเท่านั้น (สมัยก่อนลีคยังไม่บูม รายได้ของกุหลาบตอนเป็นแชมป์ก็ไม่มาก รวมกับรายได้การเล่น ชปล ไม่มหาศาลเหมือนสมัยนี้ เมื่อเป็นแชมป์สมัยนั้นรายได้จึงไม่ได้มีผลงานการเงินดีเหมือนแชมป์สมัยนี้) อีกอย่างความสำเร็จของฟุตบอลไม่ได้ถูกโยงเข้าไปที่การขยายธุรกิจหลักของตระกูลสักเท่าใด
คุณวิชัย นั้นต่างกันบริษัทกำลังโต การลงทุนคงมีต่อเนื่อง แม้ต่อไปอาจซื้อตัวไม่ถูกหวยเหมือนเดิม แต่เชื่อว่าเงินที่ได้จากการเป็นแชมป์และการไปเล่น ชปล คงทำให้การซื้อตัวมีคุณภาพมากขึ้น แต่คงไม่ทุ่มบ้าเลือด เพราะเห็นผลงานจากลีดส์ มาแล้วว่าทุ่มไป ถ้าไม่ได้ผล ทีมก็ล้มละลายได้ทันที .. อีกประการนึง King Power นำความสำเร็จของทีมมาต่อยอดให้ธุรกิจได้อยู่ตลอด การเพิ่มของเงินทุนต่อยอดจากความสำเร็จในสนามไปธุรกิจนอกสนามจึงมีมากกว่ากว่าสมัยกุหลาบ ที่เป็นแชมป์แล้วทีมก็ขาดทุนทันทีในเวลาอีกไม่นาน อีกประการคือสมัยกุหลาบเมื่อนโยบาย "ทุ่มซื้อ" นักเตะดัง ค่าเหนื่อยทีมย่อมแพง เมื่อทีมไม่สำเร็จในปีถัดไปจึงต้อง "รีบขาย" นักเตะเพื่อตัดขาดทุนค่าเหนื่อยทันที ต่างกับเลสเตอร์ค่าเหนื่อยน้อยกว่ามาก โครงสร้างการเงินทีม จึงไม่ต้อง "ถูกบีบ" ให้รีบขายนักเตะดังออกไปแต่อย่างใดเมื่อทีมผลงานไม่ดี
แฟนบอล :
สมัยก่อนการขายตัวของเทคโนโลยียังไม่มาก ฐานแฟนทั่วโลกเพิ่มได้ช้า ถิ่นแลงคาเชียร์ที่ทีมอยู่แฟนบอลกำลังซื้อ กำลังอุดหนุนทีมมีจำกัด รายรับของทีมจึงมีน้อยมาก ทำทีมไปยังไงก็ขาดทุน
สมัยนี้เทคโนโลยีก้าวไกล ฐานแฟนบอลเลสเตอร์ขยายเร็วกว่ามากและลามไปทั่วโลกที่คนชอบเชียร์มวยรอง การขายของ ขายลิขสิทธิ์ ขายภาพลักษณ์ จึงน่าจะทำรายได้ให้สโมสรได้มากกว่าสมัยกุหลาบได้แชมป์มาก ยิ่งแฟนบอลมากเท่าไหร่ทั่วโลก รายรับของทีมก็มากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นแฟนเลสเตอร์จึงทำให้ทีมมีสถานการณ์เงินที่มั่นคงกว่ากุหลาบช่วงที่เป็นแชมป์มากมาย
คำตัดสิน :
แม้เทพนิยายของจิ้งจอกอาจไม่เกิดขึ้นอีก แต่เชื่อว่าทีมสามารถประคับประคองไปได้ดีแต่นอน จากการที่ เจ้าของทีม ผุ้จัดการทีม และ แฟนบอล ยังคงเป็นเนื้อเดียวกัน ทีมเลสเตอร์ ซิตี้ จึงจะไม่ล้มเหลวภายในไม่กี่ปีเหมือนทีมกุหลาบอย่างแน่นอน ดีไม่ดี ถ้าปีหน้ามีโชคช่วยสักหน่อย จับพลัดจับผลูได้ไปเล่นยุโรปอีกปี ความสำเร็จของทีมเลสเตอร์อาจทำให้เลสเตอร์ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งใน Big 6 ในยุคต่อไปของพรีเมียร์ ลีคได้เลยด้วยซ้ำไป
สำหรับปีนี้ .. ขอแสดงความยินดีกับ King Power และแฟนของทีมจิ้งจอกด้วยจริงๆครับ
ความแตกต่างระหว่างเลสเตอร์ และ Blackburn Rover .. ทำไมจิ้งจอกจะไม่เป็นเหมือนกุหลาบ ???
กุหลาบ Jack Walker ใช้นโยบายทุ่มซื้อตลอด (เคยทำสถิติซัตตันค่าตัวสูงสุด 5 ล้านปอนด์มาแล้วในยุคนั้น) เน้นซื้อของแพง ใช้งานระยะสั้น
ปู่แจ๊คเป็นแฟนทีมกุหลาบมาตลอดแกอยากเห็นทีมได้แชมป์ก่อนตาย ซึ่งก็ได้เห็นแล้วก็พอใจแล้ว ไม่มีแผนรองรับระยะยาว หลังแกตายก็มีกองทุนมารองรับแต่ก็บริหารแบบแกนๆ ไม่มีแผน ไม่มีเงินทุน สุดท้ายก็ขายให้แขกอินเดียขายไก่ไปเพราะได้ราคามากกว่า ซึ่งแขกขายไก่พอซื้อไปก็ไล่กุนซือตอนนั้นคือ Big Sam ที่ทำผลงานดีออกทันทีขอหาไม่เชื่อฟังนายหญิงและตั้งกุนซือจอมพยักหน้าขึ้นมาแทน .. อนาคตไม่ต้องพูดถึงเลื่อนชั้น รอลุ้นตกชั้นไปลีค 1 ในอีกไม่นาน ถ้าแขกขายไก่ยังทำทีมอยู่
จิ้งจอก คุณวิชัย เน้นซื้อของถูกแต่ใช้งานได้ตรงจุดและใช้งานได้นาน การบริหารมีทีมงาน มีแผนระยะสั้น ระยะยาว ระยะกลางรองรับ ธุรกิจกำลังโตจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูก จึงไม่บริหารด้วยเป้าหมายระยะสั้นเหมือนปู่แจ๊คที่เป็นอัศวินม้าขาว เมื่ออัศวินตายไป อณาจักรย่อมล้มครืน แต่ King Power บริหารแบบกองทัพ มีการแบ่งหน้าที่ แบ่งกำลังชัดเจน .. อนาคตทีมอาจไม่รุ่งแบบนี้ แต่เชื่อว่าน่าจะอยู่พรีเมียร์ลีคสบายๆต่อไปได้แน่นอนอีกหลายปี
กุนซือ :
คิง เคนนี่ คือ ผู้พากุหลาบเป็นแชมป์ และ เป็นผู้ทำให้กุหลาบเฉา เพราะการประการ "ลาออกอย่างฉับพลัน" ของตัวเค้าเอง เป้าหมายที่เดลกลิชดึงมาตอนนั้นเน้นนักเตะช่วงพีคทั้งหมด ไม่มีระยะยาว (เพราะตัวเองรู้ว่าจะอยู่ไม่นาน และปู่แจ๊คมีจ่ายอยู่แล้ว จึง ซื้อ ซื้อ ซื้อ .. เพียงอย่างเดียว) เมื่อเป็นแชมป์คิงเคนนี่ก็สละเรือถีบหัวส่งทีมทันที !! หากเปรียบเป็นคน คิงเคนนี่ คือ "ผู้เสพติดความสำเร็จ" ทั้งสมัยอยู่กับหงส์แดง เป็นักเตะก็เทพ เป็นกุนซือก็แชมป์ เมื่อทำกุหลาบเป็นแชมป์อีกทีมแล้ว เค้าก็ไม่กล้าแบกรับความกดดันใดๆอีกต่อไป เป็นคนกลัวความล้มเหลวเป็นอย่างมาก (เค้าเป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่แชมป์ลีคสูงสุดทั้ง สมัยนักเตะ และ ผู้จัดการทีม 2 สโมสร)
รานิเอรี่ กลับกัน เป็นคนที่กลางๆ สำเร็จบ้าง แต่ก็ล้มเหลวมากกว่าในยุคหลังๆ ก่อนมาคุมเลสเตอร์ก็คุมทีมชาติกรีซกล้าๆแพ้หมู่เกาะแฟโรห์มาแล้ว ดังนั้นจึงเป็นคนที่ไม่กลัวความล้มเหลว เหมือนคิง เคนนี่ แถมเมื่อแก่แล้วก็ได้บรรลุกระบวนท่าขั้นสูงของลี้น้อยมีดบิน ร้อยกระบี่มิสู้ปลิดชีพด้วยมีดบินเล่มเดียว ดังนั้นจึงไม่เปลี่ยนแผน เปลี่ยนทีมซี้ซั้วเหมือนสมัยก่อน แผนใดได้ผลก็ยึดไปตลอด
นักเตะ :
กุหลาบ อุดมไปด้วยนักเตะแพงๆ มาอยู่รวมกันในเวลาสั้นๆ นักเตะไม่สนิทกันนัก ไม่มีความผูกพันกับสโมสร ต่อยกันเองในสนามเกมยุโรปยังเคยมาแล้ว เมื่อผลงานไม่ดี การเสียสละระหว่างกันจึงไม่มี ต่างสละเรือไปเร็วกว่าการอพยพของคนบนเรือไททานิกเสียอีก
เลสเตอร์ เต็มไปด้วยนักเตะที่ราคาถูก ล้มลุกคลุกคลานมาในชีวิต สร้างทีมมาด้วยกัน ผูกพันกันเหนียวแน่น ต่างเสียสละเพื่อทีม สำรองไม่บ่น ตัวจริงไม่แอ๊ค ปีหน้าไปยุโรป ปีถัดไปอาจไม่ได้ไปอีก แม้มีการขายตัวหลักออกไป แต่วัฒนธรรมการทำเพื่อทีมเชื่อว่าจะคงอยู่ไปอีกนาน การทีมแตกคงไม่เกิดในเวลาอันสั้นแบบกุหลาบ
เงินทุน :
ปู่แจ๊ค ได้แชมป์แล้วหมดไฟเหมือนกัน คนในตระกูลก็ไม่มีใครอยากทุ่มต่อ มีเพียงกองทุนซึ่งไม่มีการเติมเงินที่เพียงพอ เมื่อการแข่งขันสูงขึ้น ก็ได้แต่รอวันขายทีมให้ได้กำไรคืนกลับเท่านั้น (สมัยก่อนลีคยังไม่บูม รายได้ของกุหลาบตอนเป็นแชมป์ก็ไม่มาก รวมกับรายได้การเล่น ชปล ไม่มหาศาลเหมือนสมัยนี้ เมื่อเป็นแชมป์สมัยนั้นรายได้จึงไม่ได้มีผลงานการเงินดีเหมือนแชมป์สมัยนี้) อีกอย่างความสำเร็จของฟุตบอลไม่ได้ถูกโยงเข้าไปที่การขยายธุรกิจหลักของตระกูลสักเท่าใด
คุณวิชัย นั้นต่างกันบริษัทกำลังโต การลงทุนคงมีต่อเนื่อง แม้ต่อไปอาจซื้อตัวไม่ถูกหวยเหมือนเดิม แต่เชื่อว่าเงินที่ได้จากการเป็นแชมป์และการไปเล่น ชปล คงทำให้การซื้อตัวมีคุณภาพมากขึ้น แต่คงไม่ทุ่มบ้าเลือด เพราะเห็นผลงานจากลีดส์ มาแล้วว่าทุ่มไป ถ้าไม่ได้ผล ทีมก็ล้มละลายได้ทันที .. อีกประการนึง King Power นำความสำเร็จของทีมมาต่อยอดให้ธุรกิจได้อยู่ตลอด การเพิ่มของเงินทุนต่อยอดจากความสำเร็จในสนามไปธุรกิจนอกสนามจึงมีมากกว่ากว่าสมัยกุหลาบ ที่เป็นแชมป์แล้วทีมก็ขาดทุนทันทีในเวลาอีกไม่นาน อีกประการคือสมัยกุหลาบเมื่อนโยบาย "ทุ่มซื้อ" นักเตะดัง ค่าเหนื่อยทีมย่อมแพง เมื่อทีมไม่สำเร็จในปีถัดไปจึงต้อง "รีบขาย" นักเตะเพื่อตัดขาดทุนค่าเหนื่อยทันที ต่างกับเลสเตอร์ค่าเหนื่อยน้อยกว่ามาก โครงสร้างการเงินทีม จึงไม่ต้อง "ถูกบีบ" ให้รีบขายนักเตะดังออกไปแต่อย่างใดเมื่อทีมผลงานไม่ดี
แฟนบอล :
สมัยก่อนการขายตัวของเทคโนโลยียังไม่มาก ฐานแฟนทั่วโลกเพิ่มได้ช้า ถิ่นแลงคาเชียร์ที่ทีมอยู่แฟนบอลกำลังซื้อ กำลังอุดหนุนทีมมีจำกัด รายรับของทีมจึงมีน้อยมาก ทำทีมไปยังไงก็ขาดทุน
สมัยนี้เทคโนโลยีก้าวไกล ฐานแฟนบอลเลสเตอร์ขยายเร็วกว่ามากและลามไปทั่วโลกที่คนชอบเชียร์มวยรอง การขายของ ขายลิขสิทธิ์ ขายภาพลักษณ์ จึงน่าจะทำรายได้ให้สโมสรได้มากกว่าสมัยกุหลาบได้แชมป์มาก ยิ่งแฟนบอลมากเท่าไหร่ทั่วโลก รายรับของทีมก็มากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นแฟนเลสเตอร์จึงทำให้ทีมมีสถานการณ์เงินที่มั่นคงกว่ากุหลาบช่วงที่เป็นแชมป์มากมาย
คำตัดสิน :
แม้เทพนิยายของจิ้งจอกอาจไม่เกิดขึ้นอีก แต่เชื่อว่าทีมสามารถประคับประคองไปได้ดีแต่นอน จากการที่ เจ้าของทีม ผุ้จัดการทีม และ แฟนบอล ยังคงเป็นเนื้อเดียวกัน ทีมเลสเตอร์ ซิตี้ จึงจะไม่ล้มเหลวภายในไม่กี่ปีเหมือนทีมกุหลาบอย่างแน่นอน ดีไม่ดี ถ้าปีหน้ามีโชคช่วยสักหน่อย จับพลัดจับผลูได้ไปเล่นยุโรปอีกปี ความสำเร็จของทีมเลสเตอร์อาจทำให้เลสเตอร์ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งใน Big 6 ในยุคต่อไปของพรีเมียร์ ลีคได้เลยด้วยซ้ำไป
สำหรับปีนี้ .. ขอแสดงความยินดีกับ King Power และแฟนของทีมจิ้งจอกด้วยจริงๆครับ