สวัสดีครับพี่ ป้า น้า อาแห่งห้องคนบ้ามือหมุนที่เคารพรักทุกๆท่าน
มีโอกาสพาครอบครัวไปตะลุยแบกกระเป๋าเที่ยวระนองมาครับ
ไปเที่ยวช่วงหลังสงกรานต์ดีกว่าเยอะ คนน้อย รถไม่แน่น ไม่ต้องแย่งกันซื้อข้าวปลาอาหารให้ทุกข์ระทมหัวใจ
เพียงแต่ช่วงระยะเวลานี้มีการซ่อมถนนตลอดเส้นทางตั้งแต่อำเภอปราณบุรีไปจนถึงเมืองระนอง
ทำให้ใช้ความเร็วได้ไม่มากนัก ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อลึก ทำเอาช่วงล่างรถโฟลค์ตู้ของผมร้องกันระงมทีเดียว
ระนองเป็นเมืองเล็กๆ ไม่ค่อยมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายนักเมื่อเทียบกับเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ
ถึงแม้ทางจังหวัดจะพยายามส่งเสริมให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามามากๆ แต่ก็ไม่ได้ผลลัพธ์เป็นชิ้นเป็นอันเท่าใดนัก
เนื่องจากแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญมีน้อย เท่าที่ได้รับความนิยมก็มีเพียงน้ำพุร้อนสองสามแห่ง
รวมถึงภูเขาหัวโล้นที่ผมยังหาความสวยงามของมันไม่เจอจริงๆ
น้ำตกอีกสองสามแห่งที่ไม่ค่อยจะมีน้ำให้ชุ่มชื่นสักเท่าไหร่นัก
ระนองแคนยอนที่แทบไม่ต่างอะไรกับบ่อน้ำแถวๆบ้าน
นอกนั้นก็มีอนุสรณ์สถานต่างๆเช่นจวนผู้ว่าเก่า สุสานเจ้าเมือง ฯลฯ
ซึ่งในความเป็นจริงเราสามารถเที่ยวสถานที่เหล่านี้ให้ครบได้ภายในวันเดียวจริงๆครับ
นอกจากนี้ยังมีเกาะแก่งอีกเล็กน้อยที่เหมาะกับการแอดแวนเจอร์มากกว่าการพาครอบครัวไปเที่ยวแบบชิลๆ
มันจึงไม่เหมาะกับทริปครั้งนี้ของผมนักครับ
สมัยก่อนในช่วงที่สึนามิพัดถล่มภาคใต้ของเรานั้น ผมมาที่ระนองบ่อยกว่าบ้านของภรรยาอีกนะครับ
เนื่องจากทำงานให้กับองค์กรพัฒนาเอกชนระดับนานาชาติแห่งหนึ่ง ที่มาเปิดพื้นที่อยู่ที่ระนอง รวมถึงพังงาไปจนถึงภูเก็ต
อันดามันจึงเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของผมไปโดยปริยาย
สมัยนั้นระนองยังเป็นเมืองที่เงียบเชียบมากๆ ต่างจากปัจจุบันที่มีสิ่งปลูกสร้างมากมายเกิดขึ้น
ถนนหนทางเปลี่ยนไป ร้านค้าใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย ผู้คนมีความหนาแน่นมากขึ้น
รวมถึงมีสถานที่ท่องเที่ยวเกิดใหม่อีกหลายแห่งที่รอรับนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเยี่ยมเยือน
แต่ก็อย่างที่บอกครับ แห่ลงท่องเที่ยวต่างๆมันขาดความน่าสนใจ
มันไม่คุ้มค่าที่จะเดินทางมาเพื่อเที่ยวระนองเพียงแห่งเดียว
ระนองจึงยังคงเป็นได้เพียง
“ทางผ่าน” ในการเดินทางเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณไปเที่ยวที่สุสานเจ้าเมืองระนอง
แล้วคุณสามารถเดินอยู่ที่นั่นได้เกินยี่สิบนาที ถือว่าเข้าขั้นเก่งมากๆนะครับ
การไประนองแคนยอน ถ้าคุณใช้เวลาที่นั่นได้เกินครึ่งชั่วโมง ผมถือว่าคุณเป็นสุดยอดนักท่องเที่ยวเลยจริงๆ
เช่นเดียวกับที่น้ำพุร้อน ถ้าคุณฝังตัวอยู่ที่นั่นได้เกินหนึ่งชั่วโมง ก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากๆ
จึงไม่แปลกใจที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะพักค้างคืนที่ระนองเพียงคืนเดียว
จากนั้นก็จะเดินทางไปจุดหมายอื่นๆต่อไป ไม่ว่าจะเป็นพังงา ภูเก็ต กระบี่ เป็นต้น
ครั้งนี้ก็เช่นกันครับ ผมมาเที่ยวระนอง แต่เป้าหมายไม่ได้อยู่ที่ระนองครับ
แต่เป้าหมายหลักก็เพียงเพื่อเดินทางข้ามไปเกาะสองที่ฝั่งพม่าเท่านั้น
เนื่องจากพม่าได้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างสุดขั้วในช่วงปีที่ผ่านมา
ผมจึงอยากรู้ว่าคนพม่ามีทัศนคติอย่างไรกับรัฐบาลชุดใหม่ของพวกเขา
อยากรู้ว่าบรรยากาศรอบตัวในฝั่งพม่าจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหน
และอนาคตของพม่าจะเป็นอย่างไรต่อไป โดยเฉพาะหลังการรวมเป็นประชาคมอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบ
จากที่มองเห็นด้วยตาเปล่า พบว่าประชาชนที่นี่อยู่อย่างมี
“ความหวัง” มากกว่าในอดีตครับ
บรรยากาศรอบตัวเสมือนจะมีความปลอดภัยและผ่อนคลายมากขึ้น
ต่างจากในอดีตที่เราจะสามารถพบเห็นทหารเดินกันขวักไขว่เต็มท้องถนน พร้อมอาวุธครบมือ
ประชาชนไม่ต้องกลัวหรือกังวลใจกับการที่จะต้องถูกเรียกเก็บ
“ส่วย” เหมือนในอดีต
ไม่ต้องพะวงกับ
“อำนาจมืด” ที่มันจะเข้ามาคุกคามเมื่อไหร่ก็ได้ โดยที่เราไม่มีโอกาสรู้ตัว
ส่วนในเรื่องของการทำมาหากิน ก็ไม่ต่างจากในอดีตอย่างเห็นได้ชัดมากนักครับ
ใครทำงานอะไร ก็ทำกันไป แตกต่างกันเพียงยุคสมัยนี้ทำงานอย่างมีความหวังมากขึ้น
สังคมของพวกเขาดูเสมือนจะก้าวไปในทิศทางที่เป็นบวก มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่หลั่งไหลเข้าไปไม่หยุดหย่อน
กอรปกับทรัพยากรที่ยังคงมีอยู่อย่างมากมาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันเอื้อให้เกิดการลงทุนครับ
โดยเฉพาะประเทศของเขาไม่มีปัญหาในเรื่อง
”แรงงาน” แม้แต่น้อย
เชื่อว่าหากไม่เกิดการขัดแข้งขัดขากันเองในหมู่ผู้มีอำนาจในอนาคตที่กำลังมาถึง
พวกเขาก็จะแซงหน้าเราไปอีกอย่างแน่นอน
เหมือนที่เราถูกเวียดนาม มาเลเซีย ตลอดจนกัมพูชาแซงข้ามไปแล้ว
แหล่งท่องเที่ยวบนเกาะสองของพม่าที่อยู่ตรงข้ามจังหวัดระนองของเราก็มีสถานที่ท่องเที่ยวไม่มากนักครับ
ความจริงมันก็มีมากกว่านี้ แต่ต้องเดินทางด้วยรถยนต์ ซึ่งผมไม่ต้องการ
ผมต้องการเพียงเดินเที่ยวชมเมือง และวิถีชีวิตเท่านั้น
ซึ่งการเดินจากท่าเทียบเรือได้อย่างไม่ระบมหัวแม่เท้ามากนักก็คือการเดินไปอนุสาวรีย์บุเรงนอง
จากนั้นก็เดินกลับไปที่วัดแห่งหนึ่งบนยอดเขาใกล้ๆกับท่าเทียบเรือนั่นแหละ ผมจำชื่อไม่ได้
สุดท้ายก็เที่ยวชมตลาดเล็กๆที่ขายสินค้าท้องถิ่นที่นั่น เป็นอันเสร็จพิธีครับ
ที่เหลือก็เดินคุยกับผู้คน สอบถามสารทุกข์สุกดิบไปตามเรื่องเท่านั้นเอง
ผู้คนที่นี่เป็นมิตรมากครับ ไม่มีการโก่งราคาสินค้าเหมือนบ้านเรา อีกทั้งหลายคนก็สามารถพูดภาษาไทยได้
การเดินทางก็ให้ไปทำบัตรผ่านแดนที่ท่าเรือนั่นแหละครับ เสียเงินคนละ 30 บาทเท่านั้น
ส่วนเรือโดยสารก็มีค่าโดยสารเพียงคนละ 50 บาท นั่งเรือข้ามไปประมาณไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็ไปโผล่หายใจที่ฝั่งพม่าได้แล้ว
อย่าลืมนำบัตรประชาชนไปด้วยนะครับ บัตรประชาชนใบเดียวเที่ยวพม่าได้ทั้งวัน ว่างั้นเหอะ!!!
ขากลับเวะเที่ยวหัวหินอีกสองคืนครับ
จุดประสงค์ก็คือแวะเยี่ยมเพื่อนฝูงสมัยเด็กๆ
เพราะผมเคยใช้ชีวิตเป็นนักเรียนประจำอยู่ที่นั่นถึงสามปีสมัยมัธยมต้น
ที่หัวหินนี้ไม่ได้ไปไหนมากนัก ฝังตัวอยู่ที่พักเป็นหลัก รอเวลาเล่นน้ำทะเลกับลูกชายตอนบ่ายๆเท่านั้น
ช่วงเวลาที่เหลือก็ดูหนัง นั่งๆนอนๆ พักผ่อนกายาตามเรื่องตามราว
มีโอกาสออกไปเก็บภาพตามชายหาดมาบ้างเล็กน้อยเท่านั้น
สิ่งที่ได้เห็นที่หัวหินก็เป็นแง่มุมด้านบวกเป็นส่วนใหญ่ครับ
คือเราจะไม่ได้พบเจอภาพของเก้าอี้นอนริมชายหาดที่มีบรรดาขาใหญ่เอามาตั้งให้เกะกะลูกตาเหมือนเช่นในอดีต
เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้เขาเอาจริงครับ ปราบหมด ใครใคร่นั่งตรงไหน ใคร่นอนตรงไหน ก็ตามสะดวก
ไม่ว่าที่ตรงหาดทรายนั้นจะอยู่หน้าโรงแรมใหญ่ขนาดไหน ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมียามมาไล่เหมือนหมูเหมือนหมา
เพราะหาดทรายเป็นของทุกคน
ซึ่งเรื่องนี้ผมเคยนำเสนอไปแล้วเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้วครับ
และชื่นชมที่ยังสามารถควบคุมความเป็นระเบียบเรียบร้อยได้มานานถึงหนึ่งปีแล้ว
โดยครั้งนี้โชคดีครับ ที่ช่วงเวลานั้นมีการแข่งขันโปโลพอดี ไม่รู้เรียกถูกหรือเปล่า
เป็นกีฬาที่เอาคนมาขี่ม้าแล้วแย่งกันตีลูกบอลกลมๆนั่นแหละ
เลยได้ภาพมานิดหน่อย ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมไม่แจกลูกบอลไปคนละลูกไปเลย
จะได้ไม่ต้องมาแย่งกันตีก็ไม่รู้
HA HA HA!!!
ทริปนี้พกเลนส์ไป 5 ตัวครับ
MC Zenitar-N 2.8/16
Mir-24N 2/35
Helios 44-2 2/58
Kaleinar-5 2.8/100 MC
MTO-500A 8.5/550
...............
...............
ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรง เดินทางด้วยความไม่ประมาทเสมอครับ
สวัสดี!!!
แบกเป้ขึ้นรถตู้ อยู่ระนอง เที่ยวเกาะสอง กินปูดองที่หัวหิน!!!
สวัสดีครับพี่ ป้า น้า อาแห่งห้องคนบ้ามือหมุนที่เคารพรักทุกๆท่าน
มีโอกาสพาครอบครัวไปตะลุยแบกกระเป๋าเที่ยวระนองมาครับ
ไปเที่ยวช่วงหลังสงกรานต์ดีกว่าเยอะ คนน้อย รถไม่แน่น ไม่ต้องแย่งกันซื้อข้าวปลาอาหารให้ทุกข์ระทมหัวใจ
เพียงแต่ช่วงระยะเวลานี้มีการซ่อมถนนตลอดเส้นทางตั้งแต่อำเภอปราณบุรีไปจนถึงเมืองระนอง
ทำให้ใช้ความเร็วได้ไม่มากนัก ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อลึก ทำเอาช่วงล่างรถโฟลค์ตู้ของผมร้องกันระงมทีเดียว
ระนองเป็นเมืองเล็กๆ ไม่ค่อยมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายนักเมื่อเทียบกับเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ
ถึงแม้ทางจังหวัดจะพยายามส่งเสริมให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามามากๆ แต่ก็ไม่ได้ผลลัพธ์เป็นชิ้นเป็นอันเท่าใดนัก
เนื่องจากแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญมีน้อย เท่าที่ได้รับความนิยมก็มีเพียงน้ำพุร้อนสองสามแห่ง
รวมถึงภูเขาหัวโล้นที่ผมยังหาความสวยงามของมันไม่เจอจริงๆ
น้ำตกอีกสองสามแห่งที่ไม่ค่อยจะมีน้ำให้ชุ่มชื่นสักเท่าไหร่นัก
ระนองแคนยอนที่แทบไม่ต่างอะไรกับบ่อน้ำแถวๆบ้าน
นอกนั้นก็มีอนุสรณ์สถานต่างๆเช่นจวนผู้ว่าเก่า สุสานเจ้าเมือง ฯลฯ
ซึ่งในความเป็นจริงเราสามารถเที่ยวสถานที่เหล่านี้ให้ครบได้ภายในวันเดียวจริงๆครับ
นอกจากนี้ยังมีเกาะแก่งอีกเล็กน้อยที่เหมาะกับการแอดแวนเจอร์มากกว่าการพาครอบครัวไปเที่ยวแบบชิลๆ
มันจึงไม่เหมาะกับทริปครั้งนี้ของผมนักครับ
สมัยก่อนในช่วงที่สึนามิพัดถล่มภาคใต้ของเรานั้น ผมมาที่ระนองบ่อยกว่าบ้านของภรรยาอีกนะครับ
เนื่องจากทำงานให้กับองค์กรพัฒนาเอกชนระดับนานาชาติแห่งหนึ่ง ที่มาเปิดพื้นที่อยู่ที่ระนอง รวมถึงพังงาไปจนถึงภูเก็ต
อันดามันจึงเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของผมไปโดยปริยาย
สมัยนั้นระนองยังเป็นเมืองที่เงียบเชียบมากๆ ต่างจากปัจจุบันที่มีสิ่งปลูกสร้างมากมายเกิดขึ้น
ถนนหนทางเปลี่ยนไป ร้านค้าใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย ผู้คนมีความหนาแน่นมากขึ้น
รวมถึงมีสถานที่ท่องเที่ยวเกิดใหม่อีกหลายแห่งที่รอรับนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเยี่ยมเยือน
แต่ก็อย่างที่บอกครับ แห่ลงท่องเที่ยวต่างๆมันขาดความน่าสนใจ
มันไม่คุ้มค่าที่จะเดินทางมาเพื่อเที่ยวระนองเพียงแห่งเดียว
ระนองจึงยังคงเป็นได้เพียง “ทางผ่าน” ในการเดินทางเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณไปเที่ยวที่สุสานเจ้าเมืองระนอง
แล้วคุณสามารถเดินอยู่ที่นั่นได้เกินยี่สิบนาที ถือว่าเข้าขั้นเก่งมากๆนะครับ
การไประนองแคนยอน ถ้าคุณใช้เวลาที่นั่นได้เกินครึ่งชั่วโมง ผมถือว่าคุณเป็นสุดยอดนักท่องเที่ยวเลยจริงๆ
เช่นเดียวกับที่น้ำพุร้อน ถ้าคุณฝังตัวอยู่ที่นั่นได้เกินหนึ่งชั่วโมง ก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากๆ
จึงไม่แปลกใจที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะพักค้างคืนที่ระนองเพียงคืนเดียว
จากนั้นก็จะเดินทางไปจุดหมายอื่นๆต่อไป ไม่ว่าจะเป็นพังงา ภูเก็ต กระบี่ เป็นต้น
ครั้งนี้ก็เช่นกันครับ ผมมาเที่ยวระนอง แต่เป้าหมายไม่ได้อยู่ที่ระนองครับ
แต่เป้าหมายหลักก็เพียงเพื่อเดินทางข้ามไปเกาะสองที่ฝั่งพม่าเท่านั้น
เนื่องจากพม่าได้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างสุดขั้วในช่วงปีที่ผ่านมา
ผมจึงอยากรู้ว่าคนพม่ามีทัศนคติอย่างไรกับรัฐบาลชุดใหม่ของพวกเขา
อยากรู้ว่าบรรยากาศรอบตัวในฝั่งพม่าจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหน
และอนาคตของพม่าจะเป็นอย่างไรต่อไป โดยเฉพาะหลังการรวมเป็นประชาคมอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบ
จากที่มองเห็นด้วยตาเปล่า พบว่าประชาชนที่นี่อยู่อย่างมี “ความหวัง” มากกว่าในอดีตครับ
บรรยากาศรอบตัวเสมือนจะมีความปลอดภัยและผ่อนคลายมากขึ้น
ต่างจากในอดีตที่เราจะสามารถพบเห็นทหารเดินกันขวักไขว่เต็มท้องถนน พร้อมอาวุธครบมือ
ประชาชนไม่ต้องกลัวหรือกังวลใจกับการที่จะต้องถูกเรียกเก็บ “ส่วย” เหมือนในอดีต
ไม่ต้องพะวงกับ “อำนาจมืด” ที่มันจะเข้ามาคุกคามเมื่อไหร่ก็ได้ โดยที่เราไม่มีโอกาสรู้ตัว
ส่วนในเรื่องของการทำมาหากิน ก็ไม่ต่างจากในอดีตอย่างเห็นได้ชัดมากนักครับ
ใครทำงานอะไร ก็ทำกันไป แตกต่างกันเพียงยุคสมัยนี้ทำงานอย่างมีความหวังมากขึ้น
สังคมของพวกเขาดูเสมือนจะก้าวไปในทิศทางที่เป็นบวก มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่หลั่งไหลเข้าไปไม่หยุดหย่อน
กอรปกับทรัพยากรที่ยังคงมีอยู่อย่างมากมาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันเอื้อให้เกิดการลงทุนครับ
โดยเฉพาะประเทศของเขาไม่มีปัญหาในเรื่อง ”แรงงาน” แม้แต่น้อย
เชื่อว่าหากไม่เกิดการขัดแข้งขัดขากันเองในหมู่ผู้มีอำนาจในอนาคตที่กำลังมาถึง
พวกเขาก็จะแซงหน้าเราไปอีกอย่างแน่นอน
เหมือนที่เราถูกเวียดนาม มาเลเซีย ตลอดจนกัมพูชาแซงข้ามไปแล้ว
แหล่งท่องเที่ยวบนเกาะสองของพม่าที่อยู่ตรงข้ามจังหวัดระนองของเราก็มีสถานที่ท่องเที่ยวไม่มากนักครับ
ความจริงมันก็มีมากกว่านี้ แต่ต้องเดินทางด้วยรถยนต์ ซึ่งผมไม่ต้องการ
ผมต้องการเพียงเดินเที่ยวชมเมือง และวิถีชีวิตเท่านั้น
ซึ่งการเดินจากท่าเทียบเรือได้อย่างไม่ระบมหัวแม่เท้ามากนักก็คือการเดินไปอนุสาวรีย์บุเรงนอง
จากนั้นก็เดินกลับไปที่วัดแห่งหนึ่งบนยอดเขาใกล้ๆกับท่าเทียบเรือนั่นแหละ ผมจำชื่อไม่ได้
สุดท้ายก็เที่ยวชมตลาดเล็กๆที่ขายสินค้าท้องถิ่นที่นั่น เป็นอันเสร็จพิธีครับ
ที่เหลือก็เดินคุยกับผู้คน สอบถามสารทุกข์สุกดิบไปตามเรื่องเท่านั้นเอง
ผู้คนที่นี่เป็นมิตรมากครับ ไม่มีการโก่งราคาสินค้าเหมือนบ้านเรา อีกทั้งหลายคนก็สามารถพูดภาษาไทยได้
การเดินทางก็ให้ไปทำบัตรผ่านแดนที่ท่าเรือนั่นแหละครับ เสียเงินคนละ 30 บาทเท่านั้น
ส่วนเรือโดยสารก็มีค่าโดยสารเพียงคนละ 50 บาท นั่งเรือข้ามไปประมาณไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็ไปโผล่หายใจที่ฝั่งพม่าได้แล้ว
อย่าลืมนำบัตรประชาชนไปด้วยนะครับ บัตรประชาชนใบเดียวเที่ยวพม่าได้ทั้งวัน ว่างั้นเหอะ!!!
ขากลับเวะเที่ยวหัวหินอีกสองคืนครับ
จุดประสงค์ก็คือแวะเยี่ยมเพื่อนฝูงสมัยเด็กๆ
เพราะผมเคยใช้ชีวิตเป็นนักเรียนประจำอยู่ที่นั่นถึงสามปีสมัยมัธยมต้น
ที่หัวหินนี้ไม่ได้ไปไหนมากนัก ฝังตัวอยู่ที่พักเป็นหลัก รอเวลาเล่นน้ำทะเลกับลูกชายตอนบ่ายๆเท่านั้น
ช่วงเวลาที่เหลือก็ดูหนัง นั่งๆนอนๆ พักผ่อนกายาตามเรื่องตามราว
มีโอกาสออกไปเก็บภาพตามชายหาดมาบ้างเล็กน้อยเท่านั้น
สิ่งที่ได้เห็นที่หัวหินก็เป็นแง่มุมด้านบวกเป็นส่วนใหญ่ครับ
คือเราจะไม่ได้พบเจอภาพของเก้าอี้นอนริมชายหาดที่มีบรรดาขาใหญ่เอามาตั้งให้เกะกะลูกตาเหมือนเช่นในอดีต
เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้เขาเอาจริงครับ ปราบหมด ใครใคร่นั่งตรงไหน ใคร่นอนตรงไหน ก็ตามสะดวก
ไม่ว่าที่ตรงหาดทรายนั้นจะอยู่หน้าโรงแรมใหญ่ขนาดไหน ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมียามมาไล่เหมือนหมูเหมือนหมา
เพราะหาดทรายเป็นของทุกคน
ซึ่งเรื่องนี้ผมเคยนำเสนอไปแล้วเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้วครับ
และชื่นชมที่ยังสามารถควบคุมความเป็นระเบียบเรียบร้อยได้มานานถึงหนึ่งปีแล้ว
โดยครั้งนี้โชคดีครับ ที่ช่วงเวลานั้นมีการแข่งขันโปโลพอดี ไม่รู้เรียกถูกหรือเปล่า
เป็นกีฬาที่เอาคนมาขี่ม้าแล้วแย่งกันตีลูกบอลกลมๆนั่นแหละ
เลยได้ภาพมานิดหน่อย ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมไม่แจกลูกบอลไปคนละลูกไปเลย
จะได้ไม่ต้องมาแย่งกันตีก็ไม่รู้ HA HA HA!!!
ทริปนี้พกเลนส์ไป 5 ตัวครับ
MC Zenitar-N 2.8/16
Mir-24N 2/35
Helios 44-2 2/58
Kaleinar-5 2.8/100 MC
MTO-500A 8.5/550
...............
...............
ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรง เดินทางด้วยความไม่ประมาทเสมอครับ
สวัสดี!!!