ในการทำบุญโดยเฉพาะการใส่บาตร
เป็นวิถีที่ชาวพุทธส่วนใหญ่จะทำ แทบทุกคนต้องเคยปฏิบัติ
แต่การที่เราจะได้รับบุญกุศลจากที่เราใส่บาตรนั้น
ที่มาของบุญ, ปลายทาง และ การปฏิบัติที่ถูกต้องนั้นควรทำอย่างไร?
อย่างแรกเลยเป้าหมายของการใส่บาตรที่มีพระสงฆ์มาบิณฑบาตรนั้น
ก็เพื่อที่ว่าพระสงฆ์ที่มาบิณฑบาตร จะได้นำอาหารคาวหวานหรือน้ำสะอาด
หรือปัจจัยต่างๆที่เราใส่ให้ในการบิณฑบาตรครั้งนั้น ไปใช้ในการดำรงชีวิต
เพราะพระสงฆ์นั้นถือว่าเป็นผู้ขอ
และเป็นผู้ที่ไม่สามารถหาปัจจัยต่างๆ
เหล่านี้ได้ด้วยตนเอง
ดังนั้นการที่เราในฐานะของชาวพุทธช่วยเหลือพระสงฆ์
ในการให้ปัจจัยในการดำรงชีพของท่านก็เท่ากับว่า
มีส่วนช่วยในการทำให้พระสงฆ์นั้นได้ปฏิบัติตนอยู่ในคำสอน
ในศีลและในทางปฏิบัติที่ดี ตามแนวของพระพุทธศาสนา
การใส่บาตรจึงเป็นเหมือนกับการช่วยส่งเสริมให้บุคคลที่ได้ทำความดี
ได้ดำรงอยู่ในศีล และบุคคลนั้นก็เป็นพระด้วย
ซึ่งพระสงฆ์นั้นจะถือศีลได้มากกว่าคนธรรมดา และ ก็มีการปฏิบัติที่เคร่งครัดกว่า
ดังนั้นในการใส่บาตรเราจึงควรตั้งจิตอธิฐานในการใส่บาตร
โดยตั้งจิตไปให้พระสงฆ์ที่ได้รับสิ่งของต่างๆ ที่เราถวายไปต่างละครั้ง
ให้ท่านสามารถนำปัจจัยต่างๆเหล่านั้น ไปใช้เพื่อทำให้การดำเนินชีวิตของพระสงฆ์นั้น
ดีขึ้น สะดวกขึ้น สบายขึ้นและทำให้เหล่าพระสงฆ์ทั้งหลายปฏิบัติธรรม ปฏิบัติศีล
ได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีอุปสรรคใดๆ
ถ้าหากเราตั้งจิตในการใส่บาตรได้แบบนี้ก็เท่ากับว่าเราคือ ผู้ที่ได้ให้ความช่วยเหลือ
ได้ส่งเสริมได้สานต่อ และ ได้เป็นผู้ที่ประคับประคองพระพุทธศาสนา
ชีวิต และ การปฏิบัติของสงฆ์โดยไม่มีอุปสรรค
บุญกุศลจากการใส่บาตรเกิดขึ้นจากการที่เราเป็นผู้ที่ได้กระทำการเหล่านี้
ดังนั้นหากการใส่บาตรหากถูกใส่ให้โดยจิตใจที่คาดหวังถึงความร่ำรวยโชคลาภ
วาสนา ความมั่งคั่ง สุขภาพ หรือความสบายใจอื่นๆ ผลของบุญย่อมบังเกิดน้อยลง
หรืออาจไม่บังเกิดเลย
เพราะเท่ากับว่าการใส่บาตรนั้น ใส่ด้วยจิตใจที่หวังซึ่งผลต่อตนเอง
ไม่ได้เป็นการหวังต่อผู้อื่น ดังนั้นการทำบุญใส่บาตรที่จะได้ผล
ผู้ใส่บาตรควรจะระลึกถึงว่า สิ่งของที่ตนเองใส่ไปนั้น
ใส่ให้พระสงฆ์ผู้นั้น ทำเพื่อให้เกิดความอยู่ดีต่อพระสงฆ์ไม่ใช่ต่อตนเอง
เราทำการใส่บาตรเพื่อให้สงฆ์ เกิดความสุข ความเจริญทางร่างกาย และ จิตใจ
และความสุขสบายเพิ่มขึ้นนั้นทำให้เหล่าสงฆ์อยู่ในศีลในธรรม
ศึกษาคำสอนของพระพุทธศาสนาได้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ
การใส่บาตรจึงเป็นผลช่วยทำให้ผู้อื่นได้บรรลุถึงมรรคผล นิพพาน
ดังนั้น การใส่บาตรจึงให้ผลได้มากกว่าการถวายทานทั่วไป
แต่ผู้ที่ใส่บาตรจะต้องมีจิตที่ตั้งมั่น และ ระลึกถึงผลของการใส่อย่างถูกต้อง
นอกจากนี้ในการที่พระสงฆ์ในปัจจุบันทำการให้ศีลให้พรกลับมายัง
ผู้ที่ไปใส่บาตรนั้น จริงๆแล้วในการรับศีลรับพร บุคคลที่รับควรจะตั้งจิตให้ว่าง
และรับพรที่พระสงฆ์ให้มา ไม่ควรตั้งจิตที่จะคิดว่าอยากจะเอาพร จากบุญกุศลที่ทำ
ให้เกิดอะไรกับตนเพราะการคิดอย่างนั้นเท่ากับการปิดกั้นคำสอน, พรต่างๆ
หรือ บุญกุศล หรือสิ่งที่พระสงฆ์ได้ให้ตอบแทนมา
แต่ต่อให้พระสงฆ์จะให้ศีลให้พรหรือไม่ก็ตาม
สิ่งที่พระสงฆ์จะให้เรากับมาอย่างแน่นอนนั้นก็คือ
บุญกุศลที่เกิดจากการที่เราทำให้กับท่าน
ทำให้ท่านได้ปฏิบัติศีล ปฏิบัติธรรมต่างต่อเนื่องโดยไม่มีอุปสรรคนั้นเอง
การกระทำด้วยความตั้งใจแบบนี้ของเราจึงจะทำให้เราได้บุญ บุญเกิดขึ้นจากตรงนี้
ศรราม สอนบุญ
ในการทำบุญโดยเฉพาะการใส่บาตร
เป็นวิถีที่ชาวพุทธส่วนใหญ่จะทำ แทบทุกคนต้องเคยปฏิบัติ
แต่การที่เราจะได้รับบุญกุศลจากที่เราใส่บาตรนั้น
ที่มาของบุญ, ปลายทาง และ การปฏิบัติที่ถูกต้องนั้นควรทำอย่างไร?
อย่างแรกเลยเป้าหมายของการใส่บาตรที่มีพระสงฆ์มาบิณฑบาตรนั้น
ก็เพื่อที่ว่าพระสงฆ์ที่มาบิณฑบาตร จะได้นำอาหารคาวหวานหรือน้ำสะอาด
หรือปัจจัยต่างๆที่เราใส่ให้ในการบิณฑบาตรครั้งนั้น ไปใช้ในการดำรงชีวิต
เพราะพระสงฆ์นั้นถือว่าเป็นผู้ขอ
และเป็นผู้ที่ไม่สามารถหาปัจจัยต่างๆ
เหล่านี้ได้ด้วยตนเอง
ดังนั้นการที่เราในฐานะของชาวพุทธช่วยเหลือพระสงฆ์
ในการให้ปัจจัยในการดำรงชีพของท่านก็เท่ากับว่า
มีส่วนช่วยในการทำให้พระสงฆ์นั้นได้ปฏิบัติตนอยู่ในคำสอน
ในศีลและในทางปฏิบัติที่ดี ตามแนวของพระพุทธศาสนา
การใส่บาตรจึงเป็นเหมือนกับการช่วยส่งเสริมให้บุคคลที่ได้ทำความดี
ได้ดำรงอยู่ในศีล และบุคคลนั้นก็เป็นพระด้วย
ซึ่งพระสงฆ์นั้นจะถือศีลได้มากกว่าคนธรรมดา และ ก็มีการปฏิบัติที่เคร่งครัดกว่า
ดังนั้นในการใส่บาตรเราจึงควรตั้งจิตอธิฐานในการใส่บาตร
โดยตั้งจิตไปให้พระสงฆ์ที่ได้รับสิ่งของต่างๆ ที่เราถวายไปต่างละครั้ง
ให้ท่านสามารถนำปัจจัยต่างๆเหล่านั้น ไปใช้เพื่อทำให้การดำเนินชีวิตของพระสงฆ์นั้น
ดีขึ้น สะดวกขึ้น สบายขึ้นและทำให้เหล่าพระสงฆ์ทั้งหลายปฏิบัติธรรม ปฏิบัติศีล
ได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีอุปสรรคใดๆ
ถ้าหากเราตั้งจิตในการใส่บาตรได้แบบนี้ก็เท่ากับว่าเราคือ ผู้ที่ได้ให้ความช่วยเหลือ
ได้ส่งเสริมได้สานต่อ และ ได้เป็นผู้ที่ประคับประคองพระพุทธศาสนา
ชีวิต และ การปฏิบัติของสงฆ์โดยไม่มีอุปสรรค
บุญกุศลจากการใส่บาตรเกิดขึ้นจากการที่เราเป็นผู้ที่ได้กระทำการเหล่านี้
ดังนั้นหากการใส่บาตรหากถูกใส่ให้โดยจิตใจที่คาดหวังถึงความร่ำรวยโชคลาภ
วาสนา ความมั่งคั่ง สุขภาพ หรือความสบายใจอื่นๆ ผลของบุญย่อมบังเกิดน้อยลง
หรืออาจไม่บังเกิดเลย
เพราะเท่ากับว่าการใส่บาตรนั้น ใส่ด้วยจิตใจที่หวังซึ่งผลต่อตนเอง
ไม่ได้เป็นการหวังต่อผู้อื่น ดังนั้นการทำบุญใส่บาตรที่จะได้ผล
ผู้ใส่บาตรควรจะระลึกถึงว่า สิ่งของที่ตนเองใส่ไปนั้น
ใส่ให้พระสงฆ์ผู้นั้น ทำเพื่อให้เกิดความอยู่ดีต่อพระสงฆ์ไม่ใช่ต่อตนเอง
เราทำการใส่บาตรเพื่อให้สงฆ์ เกิดความสุข ความเจริญทางร่างกาย และ จิตใจ
และความสุขสบายเพิ่มขึ้นนั้นทำให้เหล่าสงฆ์อยู่ในศีลในธรรม
ศึกษาคำสอนของพระพุทธศาสนาได้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ
การใส่บาตรจึงเป็นผลช่วยทำให้ผู้อื่นได้บรรลุถึงมรรคผล นิพพาน
ดังนั้น การใส่บาตรจึงให้ผลได้มากกว่าการถวายทานทั่วไป
แต่ผู้ที่ใส่บาตรจะต้องมีจิตที่ตั้งมั่น และ ระลึกถึงผลของการใส่อย่างถูกต้อง
นอกจากนี้ในการที่พระสงฆ์ในปัจจุบันทำการให้ศีลให้พรกลับมายัง
ผู้ที่ไปใส่บาตรนั้น จริงๆแล้วในการรับศีลรับพร บุคคลที่รับควรจะตั้งจิตให้ว่าง
และรับพรที่พระสงฆ์ให้มา ไม่ควรตั้งจิตที่จะคิดว่าอยากจะเอาพร จากบุญกุศลที่ทำ
ให้เกิดอะไรกับตนเพราะการคิดอย่างนั้นเท่ากับการปิดกั้นคำสอน, พรต่างๆ
หรือ บุญกุศล หรือสิ่งที่พระสงฆ์ได้ให้ตอบแทนมา
แต่ต่อให้พระสงฆ์จะให้ศีลให้พรหรือไม่ก็ตาม
สิ่งที่พระสงฆ์จะให้เรากับมาอย่างแน่นอนนั้นก็คือ
บุญกุศลที่เกิดจากการที่เราทำให้กับท่าน
ทำให้ท่านได้ปฏิบัติศีล ปฏิบัติธรรมต่างต่อเนื่องโดยไม่มีอุปสรรคนั้นเอง
การกระทำด้วยความตั้งใจแบบนี้ของเราจึงจะทำให้เราได้บุญ บุญเกิดขึ้นจากตรงนี้