คิดว่ามันเป็นปัญหาสังคมรึเปล่า
ทำให้การติดต่อสื่อสารของคนในประเทศ ไม่สะดวกเท่าที่ควร
เพราะสมองต้องใช้เวลาในการแยกแยะคำที่จะพูดคุยกับคนประเภทต่างๆ
เมื่อเทียบกับภาษาอังกฤษ ที่มีสรรพนามใช้อย่างละตัว แล้วง่ายกว่าเยอะ
ทำให้ความสัมพันธ์ของคนในประเทศมีปัญหา แทนที่จะพูดคุยกันด้วยเหตุผลมากขึ้น กลับใช้อารมณ์มาแคุยกันมากขึ้น
โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิง ที่เลือกใช้สรรพนาม มาพูดได้ยากกว่าผู้ชาย ที่ใช้เพียงแค่ ผม ก็สามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์
เวลาคุยอะไรที่ค่อนข้างมีปัญหา เลยใช้คำว่าเพศแม่ มาโจมตีในทันที ซึ่งผู้หญิงฝรั่ง ไม่ได้คิดแบบหญิงไทย ได้
ง่ายและพร่ำเพรื่อขนาดนี้ แต่ใช้ความฉลาดในการพูดคุยที่เป็นเหตุผลมากกว่า นอกจากนี้แล้ว ก็คือการใช้กำลัง ซึ่งเกิดขึ้นได้
ง่ายกว่าเช่นกัน หากหลุดสรรพนามที่เป็นคำหยาบออกไป เช่น mึง เมื่อพูดไปแล้ว จะไม่สามารถเรียกกลับได้
แต่หากเทียบในภาษาอังกฤษ หากพูด you ออกไป มันไม่เป็นปัญหาที่กระทบอะไรมาก สามารถกลับมาแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น
รวมไปถึงทำให้เกิดการแบ่งชนชั้นกันเอง ในกลุ่มสามัญชน โดยไม่จำเป็น ทำให้คนเราไม่เท่าเทียมกัน
ทั้งที่ควรจะเท่าเทียมกัน ในสังคมประชาธิปไตย
คนไทยส่วนใหญ่ อยากได้ประชาธิปไตย แต่ประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นได้ยังไง หากยังใช้ภาษาที่แบ่งชนชั้น และเป็นการกดขี่ในรูป
ภาษา ? ประชาธิปไตยแบบไหนกัน ที่คนไม่เท่าเทียมกัน แม้ในเรื่องพื้นๆอย่างการพูดคุยระหว่างกัน ?
แถมยังทำให้มีคำหยาบ เพิ่มขึ้นในภาษาได้ง่ายกว่าปกติ
ดูอย่างภาษาอังกฤษเป็นตัวอย่าง ไม่มีสรรพนาม ที่ถูกจัดว่าเป็นคำหยาบคาย เช่น กู mึง ที่คนไทยใช้
ดูสิ แม้แต่พันทิป ยังแบนคำว่า mึง แม้คำๆนี้จะถูกใช้พูดทั่วบ้านทั่วเมือง
เพราะมีแค่ i กับ you (รวมไปถึงตัวผันสรรพนามตามกาล เช่น me my mine myself)
ไม่มีคำที่ถูกจัดว่าเป็นคำหยาบเลย
ทุกคนสามารถพูดคุยกันได้ โดยสรรพนามชุดเดียวกัน
ไม่มีใครคุยด้วยสรรพนามที่สุภาพกว่าปกติ ที่อาจทำให้ถูกหมั่นไส้ได้ด้วยก็ได้ จากคนไม่ดี
หรือใช้คำหยาบจนคนไม่ชอบหน้า
นอกจากนี้แล้ว การพูดคุยด้วยคำหยาบ ศาสนาพุทธยังจัดว่าเป็นบาปกรรม ทำให้ชีวิตตกต่ำ
แต่ทำไม คนไทยจึงยินดี ในการสร้างกรรมที่จะทำให้ชีวิตตกต่ำ ด้วยการใช้สรรพนามที่เป็นคำหยาบ เช่น กู mึง
ในแฮร์รี่ พอตเตอร์ บ้านเรเวนคลอ จัดเป็นบ้านที่เพาะพันธุ์ตัวมาร
แต่ฮอกวอตส์ ก็ยังคงบ้านนี้ไว้ เพราะเขารู้ดีว่า ความชั่วเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่เราต้องยอมรับที่จะอยู่กับมันให้ได้อย่างเท่าเทียม
ไม่ใช่ผลักไสให้ไปอยู่ในมุมมืด หรือลดชั้นให้ต่ำกว่า เพราะความแบ่งแยกนี่ต่างหากคือความชั่วที่แท้จริง
การลดชั้น ให้คนชั่ว ไปใช้สรรพนาม กู ค่านิยมในจุดนี้ ก็คือ การผลักไสคนชั่วให้ไปอยู่ที่ๆต่ำกว่าอย่างนึง
แทนที่คนชั่วจะสรรพนามแบบเดียวกับคนดี อย่างเช่น i กับ you ในภาษาอังกฤษ จะไม่ดีกว่าเหรอ
รวมไปถึงคนชั้นล่าง ก็น่าที่จะพูดคุย ด้วยสรรพนามแบบเดียวกับคนชั้นสูงด้วย
คนในครอบครัว ก็ควรที่จะใช้สรรพนามแบบเดียวกัน ไม่ใช่มาแยกยิบย่อย เป็น พ่อแม่พี่น้องลุงป้าน้าอาลูกหลาน อะไรเยอะแยะ
เต็มไปหมด มันไม่เป็นความเยอะไปหน่อยเหรอ
และที่น่าตลกคือ แม้แต่คนในบางอาชีพ ก็ยังใช้อาชีพในการแทนตัวเอง เช่น ครู หมอ อาจารย์
ทั้งที่คนอาชีพอื่น ก้ไม่มีใครตัวเองด้วยอาชีพแบบนี้
คนชาติอื่น ก้ไม่น่ามีใครทำ
แล้วแถมยังเรื่องความสัมพันธ์ ความสนิท ของเพื่อน หรือคนกลุ่มอื่น
ที่ต้องคอยเลือกคำ มาให้เหมาะสมกับความสนิท
แต่ความสนิทของคนเรามันไม่ถาวร มันขึ้นอยู่กับเวลา
หากจากกันนาน แล้วเปลี่ยนมาใช้สรรพนาม ที่ใช้คุยกับคนแปลกหน้า มันจะไม่เป็นปัญหาต่อเพื่อนฝูงเหรอ
ทำยังไง ประเทศไทยจึงจะปฏิวัติให้ใช้สรรพนามเหลืออย่างละตัวได้
ทำให้การติดต่อสื่อสารของคนในประเทศ ไม่สะดวกเท่าที่ควร
เพราะสมองต้องใช้เวลาในการแยกแยะคำที่จะพูดคุยกับคนประเภทต่างๆ
เมื่อเทียบกับภาษาอังกฤษ ที่มีสรรพนามใช้อย่างละตัว แล้วง่ายกว่าเยอะ
ทำให้ความสัมพันธ์ของคนในประเทศมีปัญหา แทนที่จะพูดคุยกันด้วยเหตุผลมากขึ้น กลับใช้อารมณ์มาแคุยกันมากขึ้น
โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิง ที่เลือกใช้สรรพนาม มาพูดได้ยากกว่าผู้ชาย ที่ใช้เพียงแค่ ผม ก็สามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์
เวลาคุยอะไรที่ค่อนข้างมีปัญหา เลยใช้คำว่าเพศแม่ มาโจมตีในทันที ซึ่งผู้หญิงฝรั่ง ไม่ได้คิดแบบหญิงไทย ได้
ง่ายและพร่ำเพรื่อขนาดนี้ แต่ใช้ความฉลาดในการพูดคุยที่เป็นเหตุผลมากกว่า นอกจากนี้แล้ว ก็คือการใช้กำลัง ซึ่งเกิดขึ้นได้
ง่ายกว่าเช่นกัน หากหลุดสรรพนามที่เป็นคำหยาบออกไป เช่น mึง เมื่อพูดไปแล้ว จะไม่สามารถเรียกกลับได้
แต่หากเทียบในภาษาอังกฤษ หากพูด you ออกไป มันไม่เป็นปัญหาที่กระทบอะไรมาก สามารถกลับมาแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น
รวมไปถึงทำให้เกิดการแบ่งชนชั้นกันเอง ในกลุ่มสามัญชน โดยไม่จำเป็น ทำให้คนเราไม่เท่าเทียมกัน
ทั้งที่ควรจะเท่าเทียมกัน ในสังคมประชาธิปไตย
คนไทยส่วนใหญ่ อยากได้ประชาธิปไตย แต่ประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นได้ยังไง หากยังใช้ภาษาที่แบ่งชนชั้น และเป็นการกดขี่ในรูป
ภาษา ? ประชาธิปไตยแบบไหนกัน ที่คนไม่เท่าเทียมกัน แม้ในเรื่องพื้นๆอย่างการพูดคุยระหว่างกัน ?
แถมยังทำให้มีคำหยาบ เพิ่มขึ้นในภาษาได้ง่ายกว่าปกติ
ดูอย่างภาษาอังกฤษเป็นตัวอย่าง ไม่มีสรรพนาม ที่ถูกจัดว่าเป็นคำหยาบคาย เช่น กู mึง ที่คนไทยใช้
ดูสิ แม้แต่พันทิป ยังแบนคำว่า mึง แม้คำๆนี้จะถูกใช้พูดทั่วบ้านทั่วเมือง
เพราะมีแค่ i กับ you (รวมไปถึงตัวผันสรรพนามตามกาล เช่น me my mine myself)
ไม่มีคำที่ถูกจัดว่าเป็นคำหยาบเลย
ทุกคนสามารถพูดคุยกันได้ โดยสรรพนามชุดเดียวกัน
ไม่มีใครคุยด้วยสรรพนามที่สุภาพกว่าปกติ ที่อาจทำให้ถูกหมั่นไส้ได้ด้วยก็ได้ จากคนไม่ดี
หรือใช้คำหยาบจนคนไม่ชอบหน้า
นอกจากนี้แล้ว การพูดคุยด้วยคำหยาบ ศาสนาพุทธยังจัดว่าเป็นบาปกรรม ทำให้ชีวิตตกต่ำ
แต่ทำไม คนไทยจึงยินดี ในการสร้างกรรมที่จะทำให้ชีวิตตกต่ำ ด้วยการใช้สรรพนามที่เป็นคำหยาบ เช่น กู mึง
ในแฮร์รี่ พอตเตอร์ บ้านเรเวนคลอ จัดเป็นบ้านที่เพาะพันธุ์ตัวมาร
แต่ฮอกวอตส์ ก็ยังคงบ้านนี้ไว้ เพราะเขารู้ดีว่า ความชั่วเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่เราต้องยอมรับที่จะอยู่กับมันให้ได้อย่างเท่าเทียม
ไม่ใช่ผลักไสให้ไปอยู่ในมุมมืด หรือลดชั้นให้ต่ำกว่า เพราะความแบ่งแยกนี่ต่างหากคือความชั่วที่แท้จริง
การลดชั้น ให้คนชั่ว ไปใช้สรรพนาม กู ค่านิยมในจุดนี้ ก็คือ การผลักไสคนชั่วให้ไปอยู่ที่ๆต่ำกว่าอย่างนึง
แทนที่คนชั่วจะสรรพนามแบบเดียวกับคนดี อย่างเช่น i กับ you ในภาษาอังกฤษ จะไม่ดีกว่าเหรอ
รวมไปถึงคนชั้นล่าง ก็น่าที่จะพูดคุย ด้วยสรรพนามแบบเดียวกับคนชั้นสูงด้วย
คนในครอบครัว ก็ควรที่จะใช้สรรพนามแบบเดียวกัน ไม่ใช่มาแยกยิบย่อย เป็น พ่อแม่พี่น้องลุงป้าน้าอาลูกหลาน อะไรเยอะแยะ
เต็มไปหมด มันไม่เป็นความเยอะไปหน่อยเหรอ
และที่น่าตลกคือ แม้แต่คนในบางอาชีพ ก็ยังใช้อาชีพในการแทนตัวเอง เช่น ครู หมอ อาจารย์
ทั้งที่คนอาชีพอื่น ก้ไม่มีใครตัวเองด้วยอาชีพแบบนี้
คนชาติอื่น ก้ไม่น่ามีใครทำ
แล้วแถมยังเรื่องความสัมพันธ์ ความสนิท ของเพื่อน หรือคนกลุ่มอื่น
ที่ต้องคอยเลือกคำ มาให้เหมาะสมกับความสนิท
แต่ความสนิทของคนเรามันไม่ถาวร มันขึ้นอยู่กับเวลา
หากจากกันนาน แล้วเปลี่ยนมาใช้สรรพนาม ที่ใช้คุยกับคนแปลกหน้า มันจะไม่เป็นปัญหาต่อเพื่อนฝูงเหรอ