เราเป็นคน ตจว. ที่มาหางานทำที่ กทม. ตอนนี้อยู่หอพัก สาเหตุที่เราไม่หางานทำแถวๆบ้านเราเพราะมันไม่ค่อยมีงานที่เราอยากทำ แถมบริษัทส่วนใหญ่ก็กดเงินเดือน ส่วนบริษัทที่ไม่กดเงินเดือนก็มักจะตั้งอยู่ในทำเลที่ไม่ดีและเดินทางไปลำบาก (เช่น โรงงาน) ดังนั้นเราจึงเดินทางมาอยู่ กทม. ซะเลย
พอมาอยู่ กทม. ก็มีบริษัทที่เรียกเราไปสัมภาษณ์งานอยู่บ้าง ส่วนใหญ่ก็อยู่ไกลจากที่พักเรา ต้องใช้เวลาเดินทาง 2-3 ชั่วโมงต่อเที่ยว บางบริษัทเดินทางไปลำบากมาก ตั้งอยู่ในซอยลึกมาก รถโดยสารก็ไม่ค่อยมี บางบริษัทก็เดินทางไปง่ายๆ เพราะมีทั้งรถเมล์และรถไฟฟ้า ถึงจะเดินทางไกลก็ตามเราเจอบริษัทที่ชอบแล้วแต่เขายังไม่ติดต่อมาบอกเราว่าจะรับเราเข้าทำงานไหม เพราะเพิ่งไปสัมภาษณ์มาไม่กี่วันนี้เอง แต่เราก็เรียกเงินเดือนไปแค่ 15K ก็ถือว่าไม่มากสำหรับคนจบวุฒิ ป.ตรีและเคยมีประสบการณ์ทำงานมาก่อน (แต่ HR ก็ชอบขอต่อรองให้น้อยลงอีก) เราอยากได้งานที่นั่นเพราะได้หยุดวันเสาร์-อาทิตย์ด้วย(เรากำลังเรียน ป.ตรีใบที่ 2 ของ มสธ. อยู่ แล้ววันสอบก็ตรงกับวันเสาร์-อาทิตย์) บางบริษัทก็จะรับเราเข้าทำงาน มีอบรมให้ด้วย แต่มีเงื่อนไขว่าเราต้องทำงานกับเขาอย่างน้อย 2 ปี ถ้าลาออกก่อนจะมีค่าปรับหลายหมื่น เงินเดือน 13K หยุดสัปดาห์ละ 1 วัน เราก็เลยไม่เอางานนั้น ไม่กล้าเสี่ยงกับเงื่อนไข
ตอนที่เราอยู่ กทม. ก็มีบริษัทแถวๆบ้านเราติดต่อเราให้ไปสัมภาษณ์งานเหมือนกัน แต่พ่อเราบอกว่า ถ้าเราอยากได้งานที่ กทม. ก็อยู่ที่ กทม. เลย ไม่ต้องกลับมาสัมภาษณ์งานแถวบ้านแล้ว เลือกเอาสักที่พอ เพราะไม่อยากให้เดินทางไปๆมาๆ มันเปลืองค่าเดินทางมาก เราก็เลยตัดสินใจไม่กลับไปบ้าน เพราะคิดว่างานแถวๆบ้านก็คงให้เงินเดือนน้อยเราเคยถาม HR ที่บริษัทนั้นว่าเงินเดือนเท่าไหร่ เขาก็ไม่บอก แต่เราคิดว่าคงได้แค่ 9K แหละ เพราะเราสมัครแค่ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียน (ขนาดตำแหน่งช่างยังได้แค่ 9K เลย ตอนเราไปสมัครงาน เราได้ยิน HR คุยโทรศัพท์เรียกผู้สมัครคนอื่นมาเริ่มงานตำแหน่งช่าง เงินเดือน 9K แถมต้องมีผู้ค้ำประกันอีก) แต่เราเคยผ่านงานที่เงินเดือนมากกว่า 9K แล้ว จึงไม่ต้องการเงินเดือนแค่นั้นอีก(เราเรียนจบด้าน HR แต่เราไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องทำงานด้าน HR ขอแค่เป็นงานอะไรก็ได้ที่เราทำได้ และมีเงินเดือนที่โอเคหน่อย)
ตอนนี้เราก็อยู่ในช่วงที่หางานและรองานต่อไป เรารู้สึกอยากไปลงคอร์สเรียนภาษาอังกฤษและภาษาจีนมาก แต่เราก็คิดว่ารอให้ได้งานก่อนดีกว่า จะได้รู้ว่ามีเวลาว่างไปเรียนเมื่อไหร่บ้าง และเผื่อจะต้องย้ายที่พักด้วย แล้วทีนี้จู่ๆ แม่ก็โทรมาบอกเราว่า ลุงอยากจะใช้บ้านของตัวเองเปิดเป็นหอพักให้คนมาเช่า แต่ยังหาคนมาช่วยดูแลหอพักไม่ได้ ลูกๆของลุงก็ไม่อยากช่วย (เพราะต่างคนต่างมีงานดีๆทำแล้ว) ลุงฝากแม่มาถามเราว่า เราอยากไปช่วยดูแลหอพักให้ลุงไหม ลุงจะให้เงินเดือน 20Kถ้าเราตกลงรับงานนี้ ลุงก็จะรีบไปจ้างช่างมาทำหอพักให้เลย ใช้เวลาไม่เกิน 2 เดือนก็เสร็จ เราก็บอกไปว่า “เอาสิ เงินเดือนตั้ง 20K จริงๆถ้าให้ 15K ก็เอาแล้วนะ ได้อยู่ใกล้บ้านด้วย แต่ต้องทำทุกวันไหม มีวันหยุดหรือเปล่า” แม่ก็บอกว่าเดี๋ยวค่อยถามลุงให้
เรารู้สึกดีใจกับข่าวนี้ แค่ 2 เดือนในการสร้างหอพัก เรารอได้อยู่แล้ว แต่เราก็ยังไม่ปักใจเชื่อ 100% ว่าลุงจะสร้างหอพักจริงๆ เพราะถึงลุงจะพูดเกริ่นๆเรื่องนี้ไว้นานแล้ว แต่ตอนนี้บ้านลุงเปิดเป็นร้านขายของอยู่เปิดขายมานานตั้งแต่เรายังไม่เกิด เราก็เริ่มรู้สึกสับสนว่าตอนนี้จะหางานอื่นทำไปก่อนดี หรือจะรอลุงสร้างหอพักให้เสร็จก่อนดี ถ้าหางานอื่นทำไปก่อน ก็คงทำได้แค่แป๊บเดียว พอลุงสร้างหอพักเสร็จ เราก็ต้องลาออกจากงานเพื่อกลับไปทำงานให้ลุงแทน แต่เราก็ไม่อยากนั่งรอเฉยๆ เพราะไม่มั่นใจว่าลุงจะสร้างหอพักจริงไหม
ถ้าคุณเป็นเรา คุณจะรู้สึกสับสนเหมือนเราไหม และถ้าคุณเป็นเรา คุณจะทำยังไงกับชีวิตต่อไป
รู้สึกสับสน กับการหางานทำ
พอมาอยู่ กทม. ก็มีบริษัทที่เรียกเราไปสัมภาษณ์งานอยู่บ้าง ส่วนใหญ่ก็อยู่ไกลจากที่พักเรา ต้องใช้เวลาเดินทาง 2-3 ชั่วโมงต่อเที่ยว บางบริษัทเดินทางไปลำบากมาก ตั้งอยู่ในซอยลึกมาก รถโดยสารก็ไม่ค่อยมี บางบริษัทก็เดินทางไปง่ายๆ เพราะมีทั้งรถเมล์และรถไฟฟ้า ถึงจะเดินทางไกลก็ตามเราเจอบริษัทที่ชอบแล้วแต่เขายังไม่ติดต่อมาบอกเราว่าจะรับเราเข้าทำงานไหม เพราะเพิ่งไปสัมภาษณ์มาไม่กี่วันนี้เอง แต่เราก็เรียกเงินเดือนไปแค่ 15K ก็ถือว่าไม่มากสำหรับคนจบวุฒิ ป.ตรีและเคยมีประสบการณ์ทำงานมาก่อน (แต่ HR ก็ชอบขอต่อรองให้น้อยลงอีก) เราอยากได้งานที่นั่นเพราะได้หยุดวันเสาร์-อาทิตย์ด้วย(เรากำลังเรียน ป.ตรีใบที่ 2 ของ มสธ. อยู่ แล้ววันสอบก็ตรงกับวันเสาร์-อาทิตย์) บางบริษัทก็จะรับเราเข้าทำงาน มีอบรมให้ด้วย แต่มีเงื่อนไขว่าเราต้องทำงานกับเขาอย่างน้อย 2 ปี ถ้าลาออกก่อนจะมีค่าปรับหลายหมื่น เงินเดือน 13K หยุดสัปดาห์ละ 1 วัน เราก็เลยไม่เอางานนั้น ไม่กล้าเสี่ยงกับเงื่อนไข
ตอนที่เราอยู่ กทม. ก็มีบริษัทแถวๆบ้านเราติดต่อเราให้ไปสัมภาษณ์งานเหมือนกัน แต่พ่อเราบอกว่า ถ้าเราอยากได้งานที่ กทม. ก็อยู่ที่ กทม. เลย ไม่ต้องกลับมาสัมภาษณ์งานแถวบ้านแล้ว เลือกเอาสักที่พอ เพราะไม่อยากให้เดินทางไปๆมาๆ มันเปลืองค่าเดินทางมาก เราก็เลยตัดสินใจไม่กลับไปบ้าน เพราะคิดว่างานแถวๆบ้านก็คงให้เงินเดือนน้อยเราเคยถาม HR ที่บริษัทนั้นว่าเงินเดือนเท่าไหร่ เขาก็ไม่บอก แต่เราคิดว่าคงได้แค่ 9K แหละ เพราะเราสมัครแค่ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียน (ขนาดตำแหน่งช่างยังได้แค่ 9K เลย ตอนเราไปสมัครงาน เราได้ยิน HR คุยโทรศัพท์เรียกผู้สมัครคนอื่นมาเริ่มงานตำแหน่งช่าง เงินเดือน 9K แถมต้องมีผู้ค้ำประกันอีก) แต่เราเคยผ่านงานที่เงินเดือนมากกว่า 9K แล้ว จึงไม่ต้องการเงินเดือนแค่นั้นอีก(เราเรียนจบด้าน HR แต่เราไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องทำงานด้าน HR ขอแค่เป็นงานอะไรก็ได้ที่เราทำได้ และมีเงินเดือนที่โอเคหน่อย)
ตอนนี้เราก็อยู่ในช่วงที่หางานและรองานต่อไป เรารู้สึกอยากไปลงคอร์สเรียนภาษาอังกฤษและภาษาจีนมาก แต่เราก็คิดว่ารอให้ได้งานก่อนดีกว่า จะได้รู้ว่ามีเวลาว่างไปเรียนเมื่อไหร่บ้าง และเผื่อจะต้องย้ายที่พักด้วย แล้วทีนี้จู่ๆ แม่ก็โทรมาบอกเราว่า ลุงอยากจะใช้บ้านของตัวเองเปิดเป็นหอพักให้คนมาเช่า แต่ยังหาคนมาช่วยดูแลหอพักไม่ได้ ลูกๆของลุงก็ไม่อยากช่วย (เพราะต่างคนต่างมีงานดีๆทำแล้ว) ลุงฝากแม่มาถามเราว่า เราอยากไปช่วยดูแลหอพักให้ลุงไหม ลุงจะให้เงินเดือน 20Kถ้าเราตกลงรับงานนี้ ลุงก็จะรีบไปจ้างช่างมาทำหอพักให้เลย ใช้เวลาไม่เกิน 2 เดือนก็เสร็จ เราก็บอกไปว่า “เอาสิ เงินเดือนตั้ง 20K จริงๆถ้าให้ 15K ก็เอาแล้วนะ ได้อยู่ใกล้บ้านด้วย แต่ต้องทำทุกวันไหม มีวันหยุดหรือเปล่า” แม่ก็บอกว่าเดี๋ยวค่อยถามลุงให้
เรารู้สึกดีใจกับข่าวนี้ แค่ 2 เดือนในการสร้างหอพัก เรารอได้อยู่แล้ว แต่เราก็ยังไม่ปักใจเชื่อ 100% ว่าลุงจะสร้างหอพักจริงๆ เพราะถึงลุงจะพูดเกริ่นๆเรื่องนี้ไว้นานแล้ว แต่ตอนนี้บ้านลุงเปิดเป็นร้านขายของอยู่เปิดขายมานานตั้งแต่เรายังไม่เกิด เราก็เริ่มรู้สึกสับสนว่าตอนนี้จะหางานอื่นทำไปก่อนดี หรือจะรอลุงสร้างหอพักให้เสร็จก่อนดี ถ้าหางานอื่นทำไปก่อน ก็คงทำได้แค่แป๊บเดียว พอลุงสร้างหอพักเสร็จ เราก็ต้องลาออกจากงานเพื่อกลับไปทำงานให้ลุงแทน แต่เราก็ไม่อยากนั่งรอเฉยๆ เพราะไม่มั่นใจว่าลุงจะสร้างหอพักจริงไหม
ถ้าคุณเป็นเรา คุณจะรู้สึกสับสนเหมือนเราไหม และถ้าคุณเป็นเรา คุณจะทำยังไงกับชีวิตต่อไป