สวัสดีค่ะนี่เป็นกระทู้แรกในชีวิต ของเรานะคะ ถ้าผิดพลาดประการใดต้องขอโทษด้วยค่ะ ขอเกริ่นเรื่องก่อนนะคะเพื่อความเข้าใจที่จะได้รับรู้ตรงกัน
เราเป็นนักเรียนสายศิลป์ภาษาโรงเรียนหนึ่งค่ะ ตอนม.3เรายังไม่แน่ชัดว่าเราควรไปสายไหนดี เพราะเราไม่ชอบ วิทย์-คณิตเอามากๆ เพราะเรียนไม่รู้เรื่องค่ะ เราเถียงคอเป็นเอ็นเลยว่าเราจะเข้าสายศิลป์ภาษาเพราะเราชอบภาษามากๆ เราเลยเลือก สายศิลป์ภาษาฝรั่งเศสเป็นอันดับแรก รองมาคือจีน และสึดท้ายคือวิทย์-คณิต ค่ะ ใจจริงอยากเข้าเอ็มอีพีนะคะเพราะอยากเรียนแบบสองภาษาแต่ทางโรงเรียนรับเกรด3.50ขึ้นไปซะงั้น แต่เราเกรดเฉลี่ยรวมแล้วได้แค่3.05 พอผลประกาศรายชื่อนักกเรียนที่ผ่านการคัดเลือกม.4 และหาชื่อตัวเองในกระดาษแผ่นท้ายๆตั้งนาน ก็หาไม่เจอจนใฝ่สูงมาเปิดอ่านหน้าแรก ที่ไม่คิดว่าจะมีชื่อตัวเองแต่ดันมีชื่อตัวเองซะงั้น วินาทีที่รู้ตัวว่าสอบคัดเลือกนักเรียนเดิมได้ที่30ต้นๆ จากนักเรียนเดิมเกือบ4xxคน เราช็อกมาก เพราะว่าเราทำข้อสอบได้คะแนนเยอะกว่าเพื่อนเราที่ได้เกรดเฉลี่ย3.8X เราก็งงนะคะว่าตรวจข้อสอบผิดรึเปล่า เพราะเราโง่มาก เข้าขั้นมากถึงมากที่สุด คือเราเป็นคนที่เริ่มดูถูกตัวเอง ตั้งแต่พ่อแม่แยกทาง เราเลยไปอยู่กับแม่และครอบครัวทางยายที่ต่างจังหวัดเลยทำให้เราไม่มีโอกาสพบปะผู้คนมากนัก เพราะเราไม่ค่อยพูด และดูเหมือนหยิ่งด้วยบุคคลิกที่ไม่ค่อยยิ้ม รวมกับการที่ม.ต้นเราอาจจะเล่นมากไป และอยู่กับเพื่อนผิดกลุ่มที่เอาแต่เล่นเลยทำให้เรียนไม่เก่ง(ไม่สนใจเรียน)เราโง่มากขนาดแก้สมการยังไม่ถูกเลยค่ะ มันแย่มากๆ และเราอยู่กับแม่คนเดียวซึ่งแม่ก็ทำงานเงินเดือนไม่มากนัก ค่าใช้จ่ายก็เยอะ ช่วงแแรกๆก็เรียนพิเศษค่ะ แต่เรียนได้2ปี ก็ต้องเลิกเรียน.เพราะมีปัญหากับแม่นิดหน่อย ถ้ากลับไปได้เราคงจะตั้งใจเรียนให้มากกว่านี้ แต่ตอนนี้เราอยู่กับปัจจุบันดีกว่าเนอะ ^ ^ กลับมาทีเรื่องสอบคัดเลือกลำดับสอบคัดเลือกของเราจะได้คัดเลือกอยู่ห้องที่1 แต่เราดันไปโผล่ห้องที่10 ซึ่งเป็นสายภาษา ตอนนั้นเราเสียใจขนาดที่โทรไปร้องไห้หาพ่อ(เราไม่ค่อยสนิทกับพ่อเท่าไหร่ค่ะตอนนั้น)ว่าทำไมเราต้องได้มาอยู่ห้องแบบนี้ เพราะแวปแรกที่เห็นรายชื่อเพื่อนในห้อง คือช็อกมาก เพราะมีแต่เด็กที่---เยอะมาก เรากลัวรับสภาพไม่ไหวเลยเล่าเรื่องให้พ่อฟังเกี่ยวกับความเจ็บใจที่ว่าทำไมเราได้มาอยู่ห้องกากๆแบบนี้ ตอนนั้นคิดได้อยากเดียวว่า ห้องนี้แย่มาก คิดที่จะย้ายแต่ก็ไม่อยาก?? พอเปิดเทอมมาเทอมแรกเราเรียนได้และแฮปปี้ดีค่ะ ทั้งเพื่อนทั้งคุณครู แต่หลังๆเริ่มไม่ค่อยดีช่วงสิงหาคม เริ่มมีปัญหากับเพื่อนเรื่องเพื่อนที่เป็นผู้ชายโดยที่เพื่อนผู้หญิงคนนึงคิดว่าเราชอบเพื่อนกลุ่มเราที่เป็นผู้ชาย เลยทะเลาะกันหนักเลย จนเพื่อนไม่ชอบหน้า (ทะเลาะกันเรื่องผู้ชาย55) แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยตัวคนเดียวค่ะเทอมแรก เราได้เกรดเฉลี่ยแค่ 3.27 เราคิดว่ามันถือว่าน้อยในการเรียนสายศิลป์ อาจจะเพราะมีการเรียนฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ในเทอมแรก ทำให้เราทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถึงขั้นไม่ดี แต่วิชาคณิตห้องเรามีเพื่อนที่เป็นชายหวานแหว๋วได้เกรด2 นอกนั้นได้เกรด1,0ทั้งห้อง ซึ้งเราก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าทำไมเกรดเราถึงได้แค่นี้ทั้งที่เราพยายามเต็มที่แล้ว อาจเพราะอาจารย์เรามีอคติเกี่ยวกับห้องสายภาษามาก่อน แต่เราไม่โทษอาจารย์ค่ะ เราเลือกที่จะโทษตัวเรามากกว่าที่ไม่พยายามเรียนให้ดี
พอเข้าเทอมสองไม่มีวิชาจำพวกวิทย์เพิ่มค่ะ แต่มีดาราศาสตร์อยู่ เราเรียนได้ค่ะ แต่ขี้เกียจไปเพราะสัปดาห์นึงเรามีคาบว่างทั้งหมด6คาบ ที่ไม่นับเวลาอาจารย์ไม่มาสอน อาจารย์ไม่ว่าง อาจารย์มีธุระ ถ้านับรวมๆก็ปรพมาณ สัปดาห์ละ8-10คาบค่ะ โดยเฉพาะวันศุกร์และพุธ แทบไม่ต้องมาโรงเรียนค่ะเพราะมีเรียนแค่2วิชา แต่อย่างว่าแหล่ะค่ะ เรียนสายนี้ต้องขยันที่จะเรียนรู้ด้วยตนเองซึ่งเราพลาด เราขี้เกียจเองค่ะ (ข้อเสียของเราคือเราเป็นคนที่ชอบมีคนมาบังคับให้ทำเรียน แต่ก็ไม่มีใครบังคับ เราก็จึงปล่อยตัวให้ขี้เกียจ)จึงทำให้เกรดสุขศึกษาของเรามีปัญหา ได้เกรด2ซะอย่างนั้นพอถามอาจารย์อาจารย์บอกว่าเราไม่ส่งงานซึ่งเราส่งค่ะ แต่สุดท้ายอาจารย์ก็นิ่งเฉยไม่ปรับเกรดให้เราอยู่ดีค่ะ เทอมสองเกรดที่ได้มาจากความขยันในตอนแรกจนมาพลาดท่าขี้เกียจในช่วง3เดือนท้าย เพราะคาบว่างเยอะมากๆทำให้ไม่อยากมาโรงเรียนทำให้เราได้เกรดเฉลี่ย 3.53 เราก็คิดนะคะ ถ้าเราขยันสม่ำเสมอ เราอาจจะได้ 3.80อัพก็ได้ วิชาที่ได้เกรดน้อยๆ-3.5 คือ เกรด1คณิตศาสตร์(เจ้าเดิมค่ะ) และ สุขศึกษา(2) หน้าที่พลเมือง(3) ดาราศาสตร์(3.5) ไทยเพิ่มเติม(3.5) ค่ะ ซึ่งถือว่าเกรดเป็นที่น่าพอใจค่ะ แต่ไม่พอใจพอ... แล้วเราก็ปิดเทอมค่ะอย่างที่เกริ่นมาค่ะเราชอบเรียนภาษาอังกฤษมากๆเราเลยใช้เวลาปิดเทอมทำสมึดจดบันทึก ตั้งแต่เรื่องเริ่มๆของวิชาอังกฤษจนถึงเริ่องปกติๆและจะเพิ่มขึนถ้ามีเวลาว่าง เพราะตอนเทอมแรกสมัครสอบโครงการแลกเปลี่ยนโครงการหนึ่งเราผ่านการสอบข้อเขียนแบบงงๆและผ่านสอบสัมภาษณ์ แต่โชคดันไม่เข้าข้าง เราได้ สำรองNHอันดับที่2 รองจากพี่อีกคน ซึ่งประสบการณ์แบบนี้ทำให้เราคิดอยากที่จะพัฒนาการเรียนเรามากขึ้น..
วันที่24เมษา เรากลับกรุงเทพเพื่อมาอยู่บ้านพ่อในช่วงใกล้เปิดเทอม และภรรยาใหม่พ่อเรามีเพื่อนสนิทเป็นอาจารย์สอนภาษอังกฤษในโรงเรียนชื่อดังในจังหวัด นนทบุรี เราได้มีโอกาสคุยกับอาจารย์ทางโทรศัพท์และอาจารย์ได้ถามถึงจุดมุ่งหมายทำไมถึงอยากไปอเมริกา ทำไมถึงอยากอยู่เมืองนอก และได้เล่า(อธิบาย)เกี่ยวกับประสบการณ์ของตัวอาจารย์เองเวลาที่อยู่เมืองนอก และเล่าถึงทัศนคติของคนต่างชาติที่มีต่อคนเอเชีย และจุดที่เปลี่ยนความคิดเราก็มาถึง ตอนที่อาจารย์ถามว่า เรียนสายศิลป์อะไร สัปดาห์นึงเรียนกี่คาบ เราเลยตอบตามความจริงว่าอาจารย์ไม่ค่อยมีเวลามาสอน เพราะอาจารย์งานเยอะมากๆ สัปดาห์นึงอาจได้เรียนเต็มทุกคาบ แต่บางสัปดาห์อาจารย์ไปดูงานต่างประเทศ ก็อาจจะว่างไปประมาณ2สัปดาห์ แต่จะมีการบ้านไว้ให้ทำ และเราจุกมากที่อาจารย์พูดกลับมาว่า เรียนน้อยแบบนี้เราจะเรียนทันคนอื่นมั้ย หรือว่าเรียนให้จบๆไป ซึ่งเราตึกมากๆและเห็นด้วยกับอาจารย์ อาจารย์ก็แนะนำมาเรื่องการเรียนหลายๆเรื่อง และทุกเรื่องที่อาจารย์เล่ามาก็ล้วนเป็นปัญหาในการเรียนของเราเกือบทั้งหมด เล่นเราไม่ค่อยได้เรียนเราจะเรียนทันสายศิลป์โรงเรียนอื่นรึเปล่า เพราะทุกวันนี้เราได้ติดตัวคงไม่ถึงครึ่งนึงของ ม.4โรงเรียนอื่นด้วยซ้ำ+อาจารย์สอนไวไปนิดนึง ซึ่งเราก็โทษตัวเราอีกแหล่ะค่ะที่ไม่พยายามปรับตัว และเราก็พูดเรื่องจบแล้วทำงานอะไรได้บ้าง เราก็ตอบเท่าทที่เรารู้ อาจารย์เลยแนะนำวิธีต่างๆและอธิบายเรื่องต่างๆมา จนเราอาจารย์ก็ถามว่า ที่โรงเรียนมีสายอื่นอีกมั้ย เราก็บอกว่ามี สายศิลป์ภาษาฝรั่งเศส,จีน,เอ็มอีพี,กิ๊ฟเต็ท ฝรังเศส-ญี่ปุ่น,จีน-ญี่ปุ่น ที่เพิ่งเปิด
อาจารย์ก็ถามว่าทำไมไม่เรียนเอ็มอีพี หรือวิทย์คณิตเราก็ตอบว่าเรากลัวเราไม่ไหว แต่สุดท้ายอาจารย์ก็แนะนำมาว่าถ้าอยากเรียนแล้วได้ความรู้ก็ลองซิ่วดูมั้ย เรียนแบบช้าๆแต่ชัวร์ดีกว่าเรียนแล้วไม่ได้อะไรเลย จนทำให้เราได้ถามพี่ๆที่เรียนอยู่ว่ายากมากรึเปล่า ซึ่งบางคนก็บอกยากมากบางคนก็บอกไม่ยาก ซึ่งตอนนี้เรากดดันและเครียดมากๆ เรื่องค่าเทอมทางพ่อเราจะออกให้ เราเลยลองคุยกับแม่ ตอนแรกก็เหมือนจะดี แต่แม่มีเหตุผลที่เราเกิดปีเบบี้บูม เรียนก่อนทำงานก่อน ไม่มีใครแย่ง แล้วดูเหมือนว่าแม่จะโกรธเรามากๆ แล้วแม่ก็บอกต่างๆนาๆ นึกว่าเราจะย้ายไปอยู่ห้องกับคนที่แอบชอบหรือเพื่อนด้วย,ซึ่งมันไม่มีเลย ทำให้เราที่ต้องกลับมานั่งคิดแล้วคิดเล่าจนทนไม่ไหว ปรึกษาทุกๆคนที่ปรึกษาได้ จนเรามานั่งตั้งกระทู้ถาม แต่ในความรู้สึกเราๆก็หวั่นๆว่าเราจะเรียนได้มั้ย,จะเข้ากับเพื่อนได้รึเปล่า,เราจะเรียนไหวรึเปล่า,เราจะรับไม่ไหวจนต้องย้ายกลับสายศิลป์หรือว่าจะทนเรียนเอ็มอีพีต่อ,ถ้าเกรดเราตก เกรดน้อย เราจะรับได้มั้ย เราจะเกรดถึงที่จะเข้ามหาลัยได้มั้ย เพราะมันน่าจะยากมาก พี่ที่รู้จักก็บอกว่า ถ้าทางไหนที่มันดีก็ไปทางนั้น เพื่อนน้าก็บอกว่าชอบทางไหนก็ไปทางนั้น ,ซึ่งเราสับสนและเครียดมาก
ตอนนี้ถ้าเราจะกลับไปเรียนม.4ใหม่เรากะจะเรียนให้เต็มที่ แต่เราอาจจะต้องทำใจสักพัก เพราะว่ามันค่อนข้างยากที่จะมาทำใจว่าเราซ้ำชั้น อาจจะต้องกังวลเรื่องเพื่อนนที่เป็นรุ่นน้อง แต่มันคือความผิดพลาดของเราที่เราสร้างขึ้นเราต้องรับผิดชอบการกระทำนั้นเอง แต่ถ้าเราเรียนสายศิลป์เราก็กังวลเรื่องที่ไม่ค่อยได้เรียนแล้วก็การรองรับบของมหาลัยด้วยค่ะ
เราควรทำยังไงดีคะ ควรเรียนสายศิลป์ต่อดีมั้ยหรือว่าย้ายสายไปเรียนกับม.4ใหม่ ?
แล้วเรียนเอ็มอีพียากมากมั้ยคะ?
สุดท้ายค่ะ สำหรับใครที่กำลังจะขึ้นระดับม.ปลายหรือกำลังลังเลเหมือนเราอยู่ เราอยากให้รีบหาตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆจะได้ไม่มาเสียใจภายหลังแบบเราค่ะ
ต้องขอโทษด้วยนะคะที่อาจจะกระทู้ยาวไป หรืออาจจะพิมพ์ไม่เข้าใจ รบกวนช่วยตอบคำตามหน่อยนะคะ หรือสงสัยอะไรคอมเมนต์ถามได้ค่ะ
ขอบคุณค่ะ
ปล.เราพิมพ์ในโทรศัพท์อาจจะมีคำผิดเยอะหน่อยนะคะ แล้วก็ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำตอบค่ะ
อยู่ม.5สายศิลป์ภาษาจะย้าย(ซ้ำชั้น)ไปวิทย์คณิตMEPดีมั้ยคะ+เล่าประสบการณ์คิดผิดชีวิตเปลี่ยน,ลังเล สับสน และ กดดัน
เราเป็นนักเรียนสายศิลป์ภาษาโรงเรียนหนึ่งค่ะ ตอนม.3เรายังไม่แน่ชัดว่าเราควรไปสายไหนดี เพราะเราไม่ชอบ วิทย์-คณิตเอามากๆ เพราะเรียนไม่รู้เรื่องค่ะ เราเถียงคอเป็นเอ็นเลยว่าเราจะเข้าสายศิลป์ภาษาเพราะเราชอบภาษามากๆ เราเลยเลือก สายศิลป์ภาษาฝรั่งเศสเป็นอันดับแรก รองมาคือจีน และสึดท้ายคือวิทย์-คณิต ค่ะ ใจจริงอยากเข้าเอ็มอีพีนะคะเพราะอยากเรียนแบบสองภาษาแต่ทางโรงเรียนรับเกรด3.50ขึ้นไปซะงั้น แต่เราเกรดเฉลี่ยรวมแล้วได้แค่3.05 พอผลประกาศรายชื่อนักกเรียนที่ผ่านการคัดเลือกม.4 และหาชื่อตัวเองในกระดาษแผ่นท้ายๆตั้งนาน ก็หาไม่เจอจนใฝ่สูงมาเปิดอ่านหน้าแรก ที่ไม่คิดว่าจะมีชื่อตัวเองแต่ดันมีชื่อตัวเองซะงั้น วินาทีที่รู้ตัวว่าสอบคัดเลือกนักเรียนเดิมได้ที่30ต้นๆ จากนักเรียนเดิมเกือบ4xxคน เราช็อกมาก เพราะว่าเราทำข้อสอบได้คะแนนเยอะกว่าเพื่อนเราที่ได้เกรดเฉลี่ย3.8X เราก็งงนะคะว่าตรวจข้อสอบผิดรึเปล่า เพราะเราโง่มาก เข้าขั้นมากถึงมากที่สุด คือเราเป็นคนที่เริ่มดูถูกตัวเอง ตั้งแต่พ่อแม่แยกทาง เราเลยไปอยู่กับแม่และครอบครัวทางยายที่ต่างจังหวัดเลยทำให้เราไม่มีโอกาสพบปะผู้คนมากนัก เพราะเราไม่ค่อยพูด และดูเหมือนหยิ่งด้วยบุคคลิกที่ไม่ค่อยยิ้ม รวมกับการที่ม.ต้นเราอาจจะเล่นมากไป และอยู่กับเพื่อนผิดกลุ่มที่เอาแต่เล่นเลยทำให้เรียนไม่เก่ง(ไม่สนใจเรียน)เราโง่มากขนาดแก้สมการยังไม่ถูกเลยค่ะ มันแย่มากๆ และเราอยู่กับแม่คนเดียวซึ่งแม่ก็ทำงานเงินเดือนไม่มากนัก ค่าใช้จ่ายก็เยอะ ช่วงแแรกๆก็เรียนพิเศษค่ะ แต่เรียนได้2ปี ก็ต้องเลิกเรียน.เพราะมีปัญหากับแม่นิดหน่อย ถ้ากลับไปได้เราคงจะตั้งใจเรียนให้มากกว่านี้ แต่ตอนนี้เราอยู่กับปัจจุบันดีกว่าเนอะ ^ ^ กลับมาทีเรื่องสอบคัดเลือกลำดับสอบคัดเลือกของเราจะได้คัดเลือกอยู่ห้องที่1 แต่เราดันไปโผล่ห้องที่10 ซึ่งเป็นสายภาษา ตอนนั้นเราเสียใจขนาดที่โทรไปร้องไห้หาพ่อ(เราไม่ค่อยสนิทกับพ่อเท่าไหร่ค่ะตอนนั้น)ว่าทำไมเราต้องได้มาอยู่ห้องแบบนี้ เพราะแวปแรกที่เห็นรายชื่อเพื่อนในห้อง คือช็อกมาก เพราะมีแต่เด็กที่---เยอะมาก เรากลัวรับสภาพไม่ไหวเลยเล่าเรื่องให้พ่อฟังเกี่ยวกับความเจ็บใจที่ว่าทำไมเราได้มาอยู่ห้องกากๆแบบนี้ ตอนนั้นคิดได้อยากเดียวว่า ห้องนี้แย่มาก คิดที่จะย้ายแต่ก็ไม่อยาก?? พอเปิดเทอมมาเทอมแรกเราเรียนได้และแฮปปี้ดีค่ะ ทั้งเพื่อนทั้งคุณครู แต่หลังๆเริ่มไม่ค่อยดีช่วงสิงหาคม เริ่มมีปัญหากับเพื่อนเรื่องเพื่อนที่เป็นผู้ชายโดยที่เพื่อนผู้หญิงคนนึงคิดว่าเราชอบเพื่อนกลุ่มเราที่เป็นผู้ชาย เลยทะเลาะกันหนักเลย จนเพื่อนไม่ชอบหน้า (ทะเลาะกันเรื่องผู้ชาย55) แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยตัวคนเดียวค่ะเทอมแรก เราได้เกรดเฉลี่ยแค่ 3.27 เราคิดว่ามันถือว่าน้อยในการเรียนสายศิลป์ อาจจะเพราะมีการเรียนฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ในเทอมแรก ทำให้เราทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถึงขั้นไม่ดี แต่วิชาคณิตห้องเรามีเพื่อนที่เป็นชายหวานแหว๋วได้เกรด2 นอกนั้นได้เกรด1,0ทั้งห้อง ซึ้งเราก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าทำไมเกรดเราถึงได้แค่นี้ทั้งที่เราพยายามเต็มที่แล้ว อาจเพราะอาจารย์เรามีอคติเกี่ยวกับห้องสายภาษามาก่อน แต่เราไม่โทษอาจารย์ค่ะ เราเลือกที่จะโทษตัวเรามากกว่าที่ไม่พยายามเรียนให้ดี
พอเข้าเทอมสองไม่มีวิชาจำพวกวิทย์เพิ่มค่ะ แต่มีดาราศาสตร์อยู่ เราเรียนได้ค่ะ แต่ขี้เกียจไปเพราะสัปดาห์นึงเรามีคาบว่างทั้งหมด6คาบ ที่ไม่นับเวลาอาจารย์ไม่มาสอน อาจารย์ไม่ว่าง อาจารย์มีธุระ ถ้านับรวมๆก็ปรพมาณ สัปดาห์ละ8-10คาบค่ะ โดยเฉพาะวันศุกร์และพุธ แทบไม่ต้องมาโรงเรียนค่ะเพราะมีเรียนแค่2วิชา แต่อย่างว่าแหล่ะค่ะ เรียนสายนี้ต้องขยันที่จะเรียนรู้ด้วยตนเองซึ่งเราพลาด เราขี้เกียจเองค่ะ (ข้อเสียของเราคือเราเป็นคนที่ชอบมีคนมาบังคับให้ทำเรียน แต่ก็ไม่มีใครบังคับ เราก็จึงปล่อยตัวให้ขี้เกียจ)จึงทำให้เกรดสุขศึกษาของเรามีปัญหา ได้เกรด2ซะอย่างนั้นพอถามอาจารย์อาจารย์บอกว่าเราไม่ส่งงานซึ่งเราส่งค่ะ แต่สุดท้ายอาจารย์ก็นิ่งเฉยไม่ปรับเกรดให้เราอยู่ดีค่ะ เทอมสองเกรดที่ได้มาจากความขยันในตอนแรกจนมาพลาดท่าขี้เกียจในช่วง3เดือนท้าย เพราะคาบว่างเยอะมากๆทำให้ไม่อยากมาโรงเรียนทำให้เราได้เกรดเฉลี่ย 3.53 เราก็คิดนะคะ ถ้าเราขยันสม่ำเสมอ เราอาจจะได้ 3.80อัพก็ได้ วิชาที่ได้เกรดน้อยๆ-3.5 คือ เกรด1คณิตศาสตร์(เจ้าเดิมค่ะ) และ สุขศึกษา(2) หน้าที่พลเมือง(3) ดาราศาสตร์(3.5) ไทยเพิ่มเติม(3.5) ค่ะ ซึ่งถือว่าเกรดเป็นที่น่าพอใจค่ะ แต่ไม่พอใจพอ... แล้วเราก็ปิดเทอมค่ะอย่างที่เกริ่นมาค่ะเราชอบเรียนภาษาอังกฤษมากๆเราเลยใช้เวลาปิดเทอมทำสมึดจดบันทึก ตั้งแต่เรื่องเริ่มๆของวิชาอังกฤษจนถึงเริ่องปกติๆและจะเพิ่มขึนถ้ามีเวลาว่าง เพราะตอนเทอมแรกสมัครสอบโครงการแลกเปลี่ยนโครงการหนึ่งเราผ่านการสอบข้อเขียนแบบงงๆและผ่านสอบสัมภาษณ์ แต่โชคดันไม่เข้าข้าง เราได้ สำรองNHอันดับที่2 รองจากพี่อีกคน ซึ่งประสบการณ์แบบนี้ทำให้เราคิดอยากที่จะพัฒนาการเรียนเรามากขึ้น..
วันที่24เมษา เรากลับกรุงเทพเพื่อมาอยู่บ้านพ่อในช่วงใกล้เปิดเทอม และภรรยาใหม่พ่อเรามีเพื่อนสนิทเป็นอาจารย์สอนภาษอังกฤษในโรงเรียนชื่อดังในจังหวัด นนทบุรี เราได้มีโอกาสคุยกับอาจารย์ทางโทรศัพท์และอาจารย์ได้ถามถึงจุดมุ่งหมายทำไมถึงอยากไปอเมริกา ทำไมถึงอยากอยู่เมืองนอก และได้เล่า(อธิบาย)เกี่ยวกับประสบการณ์ของตัวอาจารย์เองเวลาที่อยู่เมืองนอก และเล่าถึงทัศนคติของคนต่างชาติที่มีต่อคนเอเชีย และจุดที่เปลี่ยนความคิดเราก็มาถึง ตอนที่อาจารย์ถามว่า เรียนสายศิลป์อะไร สัปดาห์นึงเรียนกี่คาบ เราเลยตอบตามความจริงว่าอาจารย์ไม่ค่อยมีเวลามาสอน เพราะอาจารย์งานเยอะมากๆ สัปดาห์นึงอาจได้เรียนเต็มทุกคาบ แต่บางสัปดาห์อาจารย์ไปดูงานต่างประเทศ ก็อาจจะว่างไปประมาณ2สัปดาห์ แต่จะมีการบ้านไว้ให้ทำ และเราจุกมากที่อาจารย์พูดกลับมาว่า เรียนน้อยแบบนี้เราจะเรียนทันคนอื่นมั้ย หรือว่าเรียนให้จบๆไป ซึ่งเราตึกมากๆและเห็นด้วยกับอาจารย์ อาจารย์ก็แนะนำมาเรื่องการเรียนหลายๆเรื่อง และทุกเรื่องที่อาจารย์เล่ามาก็ล้วนเป็นปัญหาในการเรียนของเราเกือบทั้งหมด เล่นเราไม่ค่อยได้เรียนเราจะเรียนทันสายศิลป์โรงเรียนอื่นรึเปล่า เพราะทุกวันนี้เราได้ติดตัวคงไม่ถึงครึ่งนึงของ ม.4โรงเรียนอื่นด้วยซ้ำ+อาจารย์สอนไวไปนิดนึง ซึ่งเราก็โทษตัวเราอีกแหล่ะค่ะที่ไม่พยายามปรับตัว และเราก็พูดเรื่องจบแล้วทำงานอะไรได้บ้าง เราก็ตอบเท่าทที่เรารู้ อาจารย์เลยแนะนำวิธีต่างๆและอธิบายเรื่องต่างๆมา จนเราอาจารย์ก็ถามว่า ที่โรงเรียนมีสายอื่นอีกมั้ย เราก็บอกว่ามี สายศิลป์ภาษาฝรั่งเศส,จีน,เอ็มอีพี,กิ๊ฟเต็ท ฝรังเศส-ญี่ปุ่น,จีน-ญี่ปุ่น ที่เพิ่งเปิด
อาจารย์ก็ถามว่าทำไมไม่เรียนเอ็มอีพี หรือวิทย์คณิตเราก็ตอบว่าเรากลัวเราไม่ไหว แต่สุดท้ายอาจารย์ก็แนะนำมาว่าถ้าอยากเรียนแล้วได้ความรู้ก็ลองซิ่วดูมั้ย เรียนแบบช้าๆแต่ชัวร์ดีกว่าเรียนแล้วไม่ได้อะไรเลย จนทำให้เราได้ถามพี่ๆที่เรียนอยู่ว่ายากมากรึเปล่า ซึ่งบางคนก็บอกยากมากบางคนก็บอกไม่ยาก ซึ่งตอนนี้เรากดดันและเครียดมากๆ เรื่องค่าเทอมทางพ่อเราจะออกให้ เราเลยลองคุยกับแม่ ตอนแรกก็เหมือนจะดี แต่แม่มีเหตุผลที่เราเกิดปีเบบี้บูม เรียนก่อนทำงานก่อน ไม่มีใครแย่ง แล้วดูเหมือนว่าแม่จะโกรธเรามากๆ แล้วแม่ก็บอกต่างๆนาๆ นึกว่าเราจะย้ายไปอยู่ห้องกับคนที่แอบชอบหรือเพื่อนด้วย,ซึ่งมันไม่มีเลย ทำให้เราที่ต้องกลับมานั่งคิดแล้วคิดเล่าจนทนไม่ไหว ปรึกษาทุกๆคนที่ปรึกษาได้ จนเรามานั่งตั้งกระทู้ถาม แต่ในความรู้สึกเราๆก็หวั่นๆว่าเราจะเรียนได้มั้ย,จะเข้ากับเพื่อนได้รึเปล่า,เราจะเรียนไหวรึเปล่า,เราจะรับไม่ไหวจนต้องย้ายกลับสายศิลป์หรือว่าจะทนเรียนเอ็มอีพีต่อ,ถ้าเกรดเราตก เกรดน้อย เราจะรับได้มั้ย เราจะเกรดถึงที่จะเข้ามหาลัยได้มั้ย เพราะมันน่าจะยากมาก พี่ที่รู้จักก็บอกว่า ถ้าทางไหนที่มันดีก็ไปทางนั้น เพื่อนน้าก็บอกว่าชอบทางไหนก็ไปทางนั้น ,ซึ่งเราสับสนและเครียดมาก
ตอนนี้ถ้าเราจะกลับไปเรียนม.4ใหม่เรากะจะเรียนให้เต็มที่ แต่เราอาจจะต้องทำใจสักพัก เพราะว่ามันค่อนข้างยากที่จะมาทำใจว่าเราซ้ำชั้น อาจจะต้องกังวลเรื่องเพื่อนนที่เป็นรุ่นน้อง แต่มันคือความผิดพลาดของเราที่เราสร้างขึ้นเราต้องรับผิดชอบการกระทำนั้นเอง แต่ถ้าเราเรียนสายศิลป์เราก็กังวลเรื่องที่ไม่ค่อยได้เรียนแล้วก็การรองรับบของมหาลัยด้วยค่ะ
เราควรทำยังไงดีคะ ควรเรียนสายศิลป์ต่อดีมั้ยหรือว่าย้ายสายไปเรียนกับม.4ใหม่ ?
แล้วเรียนเอ็มอีพียากมากมั้ยคะ?
สุดท้ายค่ะ สำหรับใครที่กำลังจะขึ้นระดับม.ปลายหรือกำลังลังเลเหมือนเราอยู่ เราอยากให้รีบหาตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆจะได้ไม่มาเสียใจภายหลังแบบเราค่ะ
ต้องขอโทษด้วยนะคะที่อาจจะกระทู้ยาวไป หรืออาจจะพิมพ์ไม่เข้าใจ รบกวนช่วยตอบคำตามหน่อยนะคะ หรือสงสัยอะไรคอมเมนต์ถามได้ค่ะ
ขอบคุณค่ะ
ปล.เราพิมพ์ในโทรศัพท์อาจจะมีคำผิดเยอะหน่อยนะคะ แล้วก็ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำตอบค่ะ