ย้อนหลังไปเมื่อประมาณ 20 ปีเศษ ที่แล้ว
ผมได้ไปบวชพระธรรมทายาท ตอนปิดเรียนภาคฤดูร้อน ที่วัดพระธรรมกาย ปทุมธานี ประมาณ 2 เดือน
สองสามวันแรก โดนส่งไปละลายพฤติกรรม ที่ ค่ายแก่งกระจาน เพชรบุรี ครับ
ฝึกออกกำลังกาย ฝึกการปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนๆจากหลายๆสถาบันที่มารวมตัวกัน เด็กหนุ่มมากมายมาจากทั่วประเทศมารวมกันที่นี่
ได้รู้จักเพื่อนต่างสถาบันหลายคนครับ มีตั้งแต่ ปี 6 5 4 3 2 1 แก่กว่านั้นก็มี สนุกครับ ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน
กลับมาจากแก่งกระจานก็แต่งชุดขาวก่อน ประมาณ 1 เดือน หัดสวดมนต์ ขานคำบวช หัดอดข้าวเย็น หัดกิริยามารยาท หัดอะไรอีกหลายอย่าง ได้นอนกลด เรียงกันตามลำดับอายุ เป็นแถวเป็นแนว กลางทุ่งนา เช้าๆ ตี 4 ก็ลุกขึ้นทำวัตรสวดมนต์ นั่งสมาธิ กินอาหารเช้า สวดมนต์ต่ออีก นั่งสมาธิ ฟังพระอาจารย์มาบรรยายธรรม กินข้าวมื้อกลางวัน เย็นกินน้ำปานะ ฟังธรรม นั่งสมาธิ เข้านอน
ตอนนั้นเป็นหน้าร้อนครับ อาหารที่ญาติโยมและที่ทางวัดจัดเตรียมให้ ก็ถือว่าดีครับ อยู่ดีกินดีกันทุกคน ถ้าวันไหนมีทุเรียน ก็อร่อยเหาะครับ เฉพาะตอนกินนะ แต่หลังจากกินเสร็จ พี่น้องเรอกันเอิ้กอ้าก เหม็นกลิ่นทุเรียนคลุ้งไปหมด อุดจมูกกันแทบไม่ทัน แต่ก็หนีไปไหนไม่ได้ครับ เพราะเขาห้ามออกไปไหน
หลังจากนั้นก็ไปเข้าพิธีอุปสมบทที่ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ครับ สมัยนั้น ท่านสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ของพวก
เราทุกคน ผมจำบรรยากาศวันนั้นได้ดี พ่อแม่ผู้ปกครอง ร้องไห้กันระงมวัด
บวชเสร็จก็กลับมาวัด เช้าก็ไปเดินบิณฑบาตกันเป็นแถวเป็นแนว กิจกรรมทั่วไป ก็ฟังเทศน์ฟังธรรมกันเหมือนตอนนุ่งชุดขาวนั่นแหละครับ
ทีเด็ด มีตอนก่อนสึก เราได้ไปเดินธุดงค์กันที่เขาใหญ่ วิ่งหนีทากดูดเลือดกันจีวรปลิว บางคนโดนปลิง โดนทาก ดูดซะจนเลือดแดง เต็มสบงไปหมด ต้องมานั่งแกะกัน ลำบากพอดูครับ ธุดงค์ไปตามวัด ตามโรงเรียน จังหวัดต่างๆ 7 วัน เดินกันวันละ 20 กิโล ขาลากกันเลยทีเดียว เรื่องอาหารการกินนี่ต้องบอกเลยครับว่า ไม่อั้น นมสด นมเปรี้ยว อยากกินไรกินไปเลย วัดไม่หวง
กลับจากธุดงค์แล้ว ก็ทำพิธีสึก แล้วต่างคนต่างก็ร่ำลา เดินทางกลับไปตามภูมิลำเนาที่จากมา และ แยกย้ายกันไปตามโชคชะตาที่ขีดคั่นไว้ ป่านนี้เพื่อนๆ เหล่านั้น คงจะได้เป็น คุณหมอ เป็นวิศวกร เป็นนักบัญชี เป็นดารา เป็นพิธีกร เป็นผู้ประกาศข่าว เป็นโน้ส อุดม ฯลฯ ได้ดิบได้ดีกันหลายคน เรายังได้เจอกันบ้าง ตอนที่โตกันแล้ว
บางคนก็กลับไปทำงานให้วัด บางคนก็เข้าวัดทุกวันอาทิตย์ บางคนก็บวชต่อ ฯลฯ แต่สำหรับผม ตั้งแต่ออกมาจากวัดในวันนั้น ผมก็ยังไม่เคยกลับไปอีกเลย
เล่ามาเท่าที่จำได้นะครับ ผมไม่ได้มีคติ หรือ อคติ อะไรกับวัดพระธรรมกาย
แค่ได้ยินข่าวตามสื่อ เลยทำให้นึกถึงบรรยากาศครั้งสมัยยังเป็นหนุ่มน้อย ครับ เรื่องคดีความไม่ขอออกความเห็น
ผม กับ ธรรมกาย (โจ ขิง)
ผมได้ไปบวชพระธรรมทายาท ตอนปิดเรียนภาคฤดูร้อน ที่วัดพระธรรมกาย ปทุมธานี ประมาณ 2 เดือน
สองสามวันแรก โดนส่งไปละลายพฤติกรรม ที่ ค่ายแก่งกระจาน เพชรบุรี ครับ
ฝึกออกกำลังกาย ฝึกการปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนๆจากหลายๆสถาบันที่มารวมตัวกัน เด็กหนุ่มมากมายมาจากทั่วประเทศมารวมกันที่นี่
ได้รู้จักเพื่อนต่างสถาบันหลายคนครับ มีตั้งแต่ ปี 6 5 4 3 2 1 แก่กว่านั้นก็มี สนุกครับ ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน
กลับมาจากแก่งกระจานก็แต่งชุดขาวก่อน ประมาณ 1 เดือน หัดสวดมนต์ ขานคำบวช หัดอดข้าวเย็น หัดกิริยามารยาท หัดอะไรอีกหลายอย่าง ได้นอนกลด เรียงกันตามลำดับอายุ เป็นแถวเป็นแนว กลางทุ่งนา เช้าๆ ตี 4 ก็ลุกขึ้นทำวัตรสวดมนต์ นั่งสมาธิ กินอาหารเช้า สวดมนต์ต่ออีก นั่งสมาธิ ฟังพระอาจารย์มาบรรยายธรรม กินข้าวมื้อกลางวัน เย็นกินน้ำปานะ ฟังธรรม นั่งสมาธิ เข้านอน
ตอนนั้นเป็นหน้าร้อนครับ อาหารที่ญาติโยมและที่ทางวัดจัดเตรียมให้ ก็ถือว่าดีครับ อยู่ดีกินดีกันทุกคน ถ้าวันไหนมีทุเรียน ก็อร่อยเหาะครับ เฉพาะตอนกินนะ แต่หลังจากกินเสร็จ พี่น้องเรอกันเอิ้กอ้าก เหม็นกลิ่นทุเรียนคลุ้งไปหมด อุดจมูกกันแทบไม่ทัน แต่ก็หนีไปไหนไม่ได้ครับ เพราะเขาห้ามออกไปไหน
หลังจากนั้นก็ไปเข้าพิธีอุปสมบทที่ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ครับ สมัยนั้น ท่านสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ของพวก
เราทุกคน ผมจำบรรยากาศวันนั้นได้ดี พ่อแม่ผู้ปกครอง ร้องไห้กันระงมวัด
บวชเสร็จก็กลับมาวัด เช้าก็ไปเดินบิณฑบาตกันเป็นแถวเป็นแนว กิจกรรมทั่วไป ก็ฟังเทศน์ฟังธรรมกันเหมือนตอนนุ่งชุดขาวนั่นแหละครับ
ทีเด็ด มีตอนก่อนสึก เราได้ไปเดินธุดงค์กันที่เขาใหญ่ วิ่งหนีทากดูดเลือดกันจีวรปลิว บางคนโดนปลิง โดนทาก ดูดซะจนเลือดแดง เต็มสบงไปหมด ต้องมานั่งแกะกัน ลำบากพอดูครับ ธุดงค์ไปตามวัด ตามโรงเรียน จังหวัดต่างๆ 7 วัน เดินกันวันละ 20 กิโล ขาลากกันเลยทีเดียว เรื่องอาหารการกินนี่ต้องบอกเลยครับว่า ไม่อั้น นมสด นมเปรี้ยว อยากกินไรกินไปเลย วัดไม่หวง
กลับจากธุดงค์แล้ว ก็ทำพิธีสึก แล้วต่างคนต่างก็ร่ำลา เดินทางกลับไปตามภูมิลำเนาที่จากมา และ แยกย้ายกันไปตามโชคชะตาที่ขีดคั่นไว้ ป่านนี้เพื่อนๆ เหล่านั้น คงจะได้เป็น คุณหมอ เป็นวิศวกร เป็นนักบัญชี เป็นดารา เป็นพิธีกร เป็นผู้ประกาศข่าว เป็นโน้ส อุดม ฯลฯ ได้ดิบได้ดีกันหลายคน เรายังได้เจอกันบ้าง ตอนที่โตกันแล้ว
บางคนก็กลับไปทำงานให้วัด บางคนก็เข้าวัดทุกวันอาทิตย์ บางคนก็บวชต่อ ฯลฯ แต่สำหรับผม ตั้งแต่ออกมาจากวัดในวันนั้น ผมก็ยังไม่เคยกลับไปอีกเลย
เล่ามาเท่าที่จำได้นะครับ ผมไม่ได้มีคติ หรือ อคติ อะไรกับวัดพระธรรมกาย
แค่ได้ยินข่าวตามสื่อ เลยทำให้นึกถึงบรรยากาศครั้งสมัยยังเป็นหนุ่มน้อย ครับ เรื่องคดีความไม่ขอออกความเห็น