สวัสดีค่ะ นี่เป็นกระทู้แรกของเราที่จะมารีวิวการไปเที่ยวเกาหลีด้วยตัวเองในแบบฉบับช็อป ชิม ติ่ง โดยจะเที่ยวในโซลและเกาะนามิ เป็นเวลา 7 วัน 5 คืน เราเป็นคนวางแผนจัดการทริปนี้ทั้งหมด โดยมีผู้ร่วมชะตากรรม เอ้ย! ผู้ร่วมทางเป็นคุณป้า น้องสาว และเพื่อนอีก 1 คน รวมเราแล้วก็เป็น 4 คน ฉะนั้นเราจะต้องพาทุกคนเที่ยวและกลับถึงไทยให้ได้ 555 บอกเลยว่าเราวางแผนจะไปเที่ยวเกาหลีมานานมาก ศึกษาอ่านหนังสือ อ่านกระทู้ อ่านรีวิวมาเยอะมาก แต่พอไปจริงๆ ก็รู้สึกเหมือนไปเริ่มใหม่เลย แผนที่วางมานี่เปลี่ยนสลับวันกัน แต่ก็ได้เที่ยวจนครบตามที่ตั้งใจ มีหลงบ้างอะไรบ้าง เอ๊ะ! (ก็ธรรมดาสำหรับมือใหม่หัดเที่ยว) แต่มันก็สนุกดี ได้ประสบการณ์ใหม่ๆมาเยอะเลย โอเคจะไม่นอกเรื่องแล้ว หากผิดพลาดประการใดหรือแท็กผิดห้องก็ขออภัยด้วยนะคะ
-> แผนคร่าวๆที่จะไปมี พระราชวังเคียงบกคุง จตุรัสควางฮวามุน หมู่บ้านวัฒนธรรมบุกชอน ย่านอีแด(มหาลัยสตรีอีฮวา) ย่านฮงกิก เอ็นโซลทาวเวอร์ ย่านเมียงดง ย่านดงแดมุน เกาะนามิ ย่านอัพกูจอง SM coex mall และล็อตเต้เวิร์ล
ก่อนการเดินทาง
- หนังสือที่เราใช้เป็นเล่มหลักในการวางแผนคือ สองขาพาตะลุยเกาหลี seoul และรอบโซล ของสำนักพิมพ์ DPLUS แต่เล่มนี้ยังไม่ค่อยอัพเดทเท่าไหร่ ควรหาเล่มที่อัพเดทมากกว่านี้หน่อย เราชอบเล่มนี้ตรงที่มันเดินตามได้จริง แต่บางสถานที่ก็ไม่มีแล้วเดี๋ยวจะเล่าต่อข้างล่าง
- เราเดินทางไปเกาหลีวันที่ 25 มีนาคม – 31 มีนาคม 7 วัน 5 คืน (วันแรกเรานั่งเครื่องบินข้ามวัน) ฤดูที่เราไปคือฤดูใบไม้ผลิ อุณหภูมิ 10-16 องศาเซลเซียส ใบไม้ที่นั้นจะเป็นกิ่งก้านแห้งๆ บางต้นผลิใบบางต้นก็ยังไม่ผลิ หญ้าก็ยังแห้งๆ ไม่เขียวมาก
- การแต่งตัว ก็เตรียมเสื้อกันหนาวหนาๆหน่อย ผ้าพันคอ(ตามใจชอบ) ลองจอน(สำหรับคนที่หนาวง่ายๆหน่อย) กางเกงขายาว อาจเป็นยีนส์หรือเลกกิ้ง แต่ใครคิดว่าตัวเองสตรองพอจะใส่สั้นได้ก็ตามสบายเลย เพราะสาวๆเกาหลีใส่สั้นๆกันเยอะอยู่ รองเท้าควรเป็นผ้าใบที่ใส่แล้วเดินมากๆไม่เจ็บเท้า ควรคุ้นเคยกับรองเท้า เพราะจะได้ไม่โดนกัด และไม่เจ็บเท้าจนเสียอารมณ์ในการเดิน และควรนำถุงเท้าไปด้วย อาจจะนำใส่ไปคู่นึงแล้วไปหาซื้อใหม่ที่เกาหลีเลยก็ได้ เพราะมีขายคู่ละ 1000 วอน อยู่ทั่วๆไป คือเจอบ่อยมากร้านขายถุงเท้าเนี่ย และก็คนเกาหลีเวลาเขาแต่งตัวเขาจะชอบใส่สีเข้มๆ แต่งโทนมืดๆทั้งนั้นเลยที่เราเห็นส่วนใหญ่นะ
- การจองตั๋วและเครื่องบิน : เราจองก่อนล่วงหน้าเกือบ 1 เดือนผ่านทางเว็บ airasiago.com ซึ่งถ้าคนอยากได้ตั๋วถูกๆ ประหยัดหน่อยควรจองช่วงโปรโมชั่นหรือล่วงหน้าเป็นปี แต่พอดีเรารีบไป เพราะหลังจากเดือนเมษายนตั๋วมันจะแพงเอามากๆ เลยรีบจองก่อน ก่อนหน้านี้ไม่ได้จองไว้ เพราะยังไม่แน่นอนเรื่องตารางเวลาว่าจะไปวันไหนดี เราจองตั๋วเครื่องบินจากสนามบินหาดใหญ่ – สนามบินอินชอน ของสายการบินแอร์เอเชีย บินแบบ Fly-Thru และเราก็จองพร้อมกับที่พัก 5 คืนเลยและจองเพิ่มสัมภาระ 20 กิโลกรัม รวมค่าเสียหายต่อคน คือ 21102.6บาท (ราคานี้รวมค่าเครื่องบินจากหาดใหญ่ไปดอนเมือง จากดอนเมืองไปอินชอน และก็ค่าที่พัก และภาษีค่าธรรมเนียมค่ากระเป๋าทุกอย่างแล้ว)
- เราพักโรงแรมเดิมตลอดเวลา 5 คืน คือโรงแรมRamada Encore Seoul Dongdaemun ซึ่งอยู่ที่สถานีรถไฟใต้ดิน sinseol dong มีรถไฟสาย1สีน้ำเงิน และสาย2 สีเขียวผ่าน และมีรถบัสจากสนามบินผ่านด้วย ทำให้การเดินทางสะดวกมากๆ แถมยังใกล้แหล่งช็อปปิ้งอย่างดงแดมุน และบริเวณรอบๆโรงแรมมีร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านยา มินิมาร์ท เซเว่น อยู่เต็มไปหมดเลย โดยเราจองห้องพักเป็น 2 ห้อง เป็นแบบ standard twin bed room
- การแลกเงิน เราอยู่ที่หาดใหญ่เลยแลกเงินจากร้าน kin exchange แต่เห็นรีวิวที่ผ่านๆมาเค้าจะไปแลกกันที่ร้านซุปเปอร์ริชที่กรุงเทพกัน เราแลกเป็นเงินวอนและแลกเป็นดอลล่าไปเผื่อด้วย ปล.แลกเป็นดอลล่าร์แล้วเอาไปแลกเป็นวอนที่ดงแดมุนเรทดีมากๆ มีร้านให้แลกเปลี่ยนเยอะเลย ในห้างล็อตเต้ก็มี ที่เกาหลีจะรับแลกเงินเยน ดอลล่าร์สหรัฐ ดอลล่าร์ฮ่องกง อาจจะมีอีกแต่ที่เราเห็นมีประมาณนี้
- สิ่งของที่เตรียมไป : เราพยายามนำของไปให้น้อยที่สุด เพราะเราคิดว่าเราจะต้องซื้อกลับมาเยอะแน่ๆ สิ่งที่เตรียมไปก็มีเสื้อผ้า แปรงสีฟันยาสีฟัน ลิปมัน(จำเป็นมากปากแห้งเร็วมากๆ) เครื่องสำอาง+สกินแคร์ (หรือจะไปซื้อที่โน่นเอาเลยก็ได้) โลชั่น หวี สายชาร์จโทรศัพท์ สายชาร์จกล้อง กล้องถ่ายรูปพร้อมเมม ปลั๊กพ่วง หัวปลั๊กแปลงนานาชาติ(ตอนหลังที่โรงแรมมีให้ ไม่รู้เอาไปทำไม) ยาพารา ยาแก้ปวดท้อง ยาแก้ภูมิแพ้ ใครเป็นโรคอะไรก็ให้พกยาประจำตัวไปด้วย เพราะร้านยาเกาหลีฉลากยาเค้าเป็นภาษาเกาหลี และก็พกร่มคันเล็กไป เพราะดูพยากรณ์อากาศเค้าบอกจะมีฝนตกปรอยๆ และที่สำคัญเราจะไปช็อปเยอะ เลยต้องเตรียมกระเป๋าสะพายข้างไปเพิ่ม และสะพายหลังเพิ่ม เพราะที่เกาหลีถ้าซื้อของในห้างเค้าคิดค่าถุงกระดาษเพิ่ม 100 วอน เราควรเตรียมถุงผ้าไปเอง หรือไปหาซื้อสวยๆที่นั่นเลยก็ได้ ราคาไม่แพงแถมสวยด้วย
- ข้อควรระวัง! พาสปอร์ตควรมีอายุมากกว่าหกเดือนนะ อย่าลืมเช็กดูล่ะ
- ไวฟาย : ก่อนเราจะไปเราได้ทำการเช่าไวฟายพกพาของ easywifi โดยจะนัดรับและคืนที่สนามบินดอนเมืองเลยค่ะ ค่าใช้จ่ายก็อยู่ที่เราเช่ากี่วัน และเลือกเครื่องแบบไหน ของเราเป็น ไวฟาย EGG 4G unlimited เช่า 6 วัน ราคา 2300 บาท ทางร้านบริการดีมาก เวลาไลน์ไปตอบเร็วมากค่ะ บางคนก็เลือกที่จะเช่าไวฟายที่สนามบินอินชอน แต่เราไม่มีบัตรเครดิตเลยคิดว่าเช่าจากไทยแล้วโอนเงินนี่แหละสะดวกสุดแล้ว โดยรับในไทยและส่งคืนที่ไทยเลย หากมีปัญหาเมื่อไปถึงเกาหลีแล้วก็สามารถติดต่อขอเปลี่ยนได้
- แอพพลิเคชั่น : หลักๆเราใช้ กูเกิลแมพนำทาง (เวลาเสิร์จหาบางทีต้องเสิร์จชื่อสถานที่เป็นภาษาเกาหลีเอา ก็อย่าลืมใส่แป้นพิมพ์ภาษาเกาหลีด้วยนะ) และก็โหลดเพิ่มเติมคือ Seoul Metro Subway Map & Route ซึ่งเป็นแอพรถไฟใต้ดินในโซล
วันเดินทาง
วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม 2559
ลาก่อนประเทศไทย
เครื่องออกจากสนามบินหาดใหญ่เวลา 22.20 น. เราก็นัดเจอกันก่อนเวลาและไปเช็กอินโหลดกระเป๋ากันก่อน โดยตอนเช็กอินเราจะได้สติ๊กเกอร์สีแดงที่เขียนว่า Fly-Thru มาแปะไว้ที่เสื้อ และได้การ์ดสีฟ้ามาเขียนก่อน และตอนนั้นก็รีบเขียนกันสุดฤทธิ์เพราะ ตม.จะปิดแล้ว พอเขียนเสร็จก็ต้องรีบวิ่งไปที่ ตม. ต้องสแกนกระเป๋า และถ้าใส่รองเท้าผ้าใบหุ้มข้อก็ต้องถอดออก ไปสแกนด้วย และตัวเราก็ต้องเข้าเครื่องสแกนเป็นตู้กระจก เข้าไปแล้วชูมือขึ้นแล้วหมุนๆ เอ้ย ไม่ใช่ ชูมือให้เครื่องกระจกนั้นมันตรวจ พอผ่านก็ไปจ็อบออกจากประเทศได้เลย กระเป๋าที่เราโหลดเค้าจะส่งไปที่อินชอนเลย ไม่ต้องมารับที่ดอนเมืองอีกรอบ
นี่รูปตอนอยู่สนามบินหาดใหญ่มีแค่กรุ๊ปเรากรุ๊ปเดียววังเวงมาก และตอนเช็กอินเราจะได้สติ๊กเกอร์สีแดงมาแปะไว้ที่เสื้อสำหรับคนบินตรงจะแกะได้ก็ต่อเมื่อถึงสนามบินอินชอนแล้ว
ไวฟายของช๊านนนนนนนนนน
เรามาถึงดอนเมืองเวลา 23.45น. มีพนักงานของแอร์เชียถือป้ายชื่อพวกเราสี่คนอยู่ แหม่...รู้สึกเขินเกิดมาไม่เคยมีใครถือป้ายมารับที่สนามบิน 555 จากนั้นเราก็เดินตามเค้าไป แต่แล้วก็เกิดปัญหาตรงที่เราเช่าไวฟาย และเราจ็อบออกแล้ว เราไม่สามารถออกไปรับเครื่องไวฟายได้เพราะตามพาสปอร์ตไม่ได้อยู่ในไทยแล้ว เราเลยบอกพนักงานที่มารับเราไป พี่เค้าเลยจัดการติดต่อให้ จนมีเจ้าหน้าที่อีกคนพาเราไปรับเครื่องไวฟายที่จุดนัดมาและพาเรากลับเข้าไปเหมือนเดิม เกือบเสียไวฟายไปฟรีๆแล้วไหมล่ะ นาทีนั้นตกใจมาก ความงกบังเกิดหน้ามืดตามัวยังไงก็ต้องเอาไวฟายไปให้ด้ายยยยยยย!!!! และเมื่อรับไวฟายพกพามาเจ้าเครื่องไวฟายจะอยู่ในกระเป๋าสีส้มพร้อมที่ชาร์จแบต (เราลืมถ่ายรูปมา) เราจะเปิดไวฟายและเล่นได้ก็ต่อเมื่ออยู่ที่เกาหลีแล้วเท่านั้น ระหว่างนี้เราต้องไปเช็กอินอีกครั้งสำหรับเที่ยวบินไปอินชอน กว่าเครื่องจะออกก็ตอน 02.22 น. เราเลยต้องนั่งรออีกพักนึง เดินเล่นซื้อน้ำเปล่าราคาแพงขวด 35 บาทในสนามบินกิน พอขึ้นเครื่องบินก็จะมีแอร์มาแจกใบตม.และใบศุลกากรเกาหลีให้เรากรอก วิธีการกรอกก็ดูได้จากในหนังสือเมนูอาหารหน้าที่นั่งของท่าน(เลียนเสียงแอร์) มันจะมีบอกอยู่หน้าท้ายๆของเมนู ว่าตรงไหนคืออะไร ส่วนใบศุลการกรถ้าเราไม่ได้พาอะไรผิดสำแดงและพาเงินดอลล่าร์ไม่เกินที่กำหนดไปก็ติ๊ก No ให้หมด เที่ยวบินที่เราไปไม่มีอาหารให้นะ ต้องสั่งจองก่อนล่วงหน้ากันเอาเอง หรือจะมาซื้อบนเครื่องก็ได้ราคาก็แพงกว่ากินบนพื้นดิน
กำลังไปต่อเครื่อง
อยู่บนเครื่องแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะมีคนเกาหลีและคนไทยนิดหน่อย
[CR] [Review]รีวิวประสบการณ์เที่ยวเกาหลีฉบับช็อป ชิม ติ่ง 7วัน 5คืน
-> แผนคร่าวๆที่จะไปมี พระราชวังเคียงบกคุง จตุรัสควางฮวามุน หมู่บ้านวัฒนธรรมบุกชอน ย่านอีแด(มหาลัยสตรีอีฮวา) ย่านฮงกิก เอ็นโซลทาวเวอร์ ย่านเมียงดง ย่านดงแดมุน เกาะนามิ ย่านอัพกูจอง SM coex mall และล็อตเต้เวิร์ล
ก่อนการเดินทาง
- หนังสือที่เราใช้เป็นเล่มหลักในการวางแผนคือ สองขาพาตะลุยเกาหลี seoul และรอบโซล ของสำนักพิมพ์ DPLUS แต่เล่มนี้ยังไม่ค่อยอัพเดทเท่าไหร่ ควรหาเล่มที่อัพเดทมากกว่านี้หน่อย เราชอบเล่มนี้ตรงที่มันเดินตามได้จริง แต่บางสถานที่ก็ไม่มีแล้วเดี๋ยวจะเล่าต่อข้างล่าง
- เราเดินทางไปเกาหลีวันที่ 25 มีนาคม – 31 มีนาคม 7 วัน 5 คืน (วันแรกเรานั่งเครื่องบินข้ามวัน) ฤดูที่เราไปคือฤดูใบไม้ผลิ อุณหภูมิ 10-16 องศาเซลเซียส ใบไม้ที่นั้นจะเป็นกิ่งก้านแห้งๆ บางต้นผลิใบบางต้นก็ยังไม่ผลิ หญ้าก็ยังแห้งๆ ไม่เขียวมาก
- การแต่งตัว ก็เตรียมเสื้อกันหนาวหนาๆหน่อย ผ้าพันคอ(ตามใจชอบ) ลองจอน(สำหรับคนที่หนาวง่ายๆหน่อย) กางเกงขายาว อาจเป็นยีนส์หรือเลกกิ้ง แต่ใครคิดว่าตัวเองสตรองพอจะใส่สั้นได้ก็ตามสบายเลย เพราะสาวๆเกาหลีใส่สั้นๆกันเยอะอยู่ รองเท้าควรเป็นผ้าใบที่ใส่แล้วเดินมากๆไม่เจ็บเท้า ควรคุ้นเคยกับรองเท้า เพราะจะได้ไม่โดนกัด และไม่เจ็บเท้าจนเสียอารมณ์ในการเดิน และควรนำถุงเท้าไปด้วย อาจจะนำใส่ไปคู่นึงแล้วไปหาซื้อใหม่ที่เกาหลีเลยก็ได้ เพราะมีขายคู่ละ 1000 วอน อยู่ทั่วๆไป คือเจอบ่อยมากร้านขายถุงเท้าเนี่ย และก็คนเกาหลีเวลาเขาแต่งตัวเขาจะชอบใส่สีเข้มๆ แต่งโทนมืดๆทั้งนั้นเลยที่เราเห็นส่วนใหญ่นะ
- การจองตั๋วและเครื่องบิน : เราจองก่อนล่วงหน้าเกือบ 1 เดือนผ่านทางเว็บ airasiago.com ซึ่งถ้าคนอยากได้ตั๋วถูกๆ ประหยัดหน่อยควรจองช่วงโปรโมชั่นหรือล่วงหน้าเป็นปี แต่พอดีเรารีบไป เพราะหลังจากเดือนเมษายนตั๋วมันจะแพงเอามากๆ เลยรีบจองก่อน ก่อนหน้านี้ไม่ได้จองไว้ เพราะยังไม่แน่นอนเรื่องตารางเวลาว่าจะไปวันไหนดี เราจองตั๋วเครื่องบินจากสนามบินหาดใหญ่ – สนามบินอินชอน ของสายการบินแอร์เอเชีย บินแบบ Fly-Thru และเราก็จองพร้อมกับที่พัก 5 คืนเลยและจองเพิ่มสัมภาระ 20 กิโลกรัม รวมค่าเสียหายต่อคน คือ 21102.6บาท (ราคานี้รวมค่าเครื่องบินจากหาดใหญ่ไปดอนเมือง จากดอนเมืองไปอินชอน และก็ค่าที่พัก และภาษีค่าธรรมเนียมค่ากระเป๋าทุกอย่างแล้ว)
- เราพักโรงแรมเดิมตลอดเวลา 5 คืน คือโรงแรมRamada Encore Seoul Dongdaemun ซึ่งอยู่ที่สถานีรถไฟใต้ดิน sinseol dong มีรถไฟสาย1สีน้ำเงิน และสาย2 สีเขียวผ่าน และมีรถบัสจากสนามบินผ่านด้วย ทำให้การเดินทางสะดวกมากๆ แถมยังใกล้แหล่งช็อปปิ้งอย่างดงแดมุน และบริเวณรอบๆโรงแรมมีร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านยา มินิมาร์ท เซเว่น อยู่เต็มไปหมดเลย โดยเราจองห้องพักเป็น 2 ห้อง เป็นแบบ standard twin bed room
- การแลกเงิน เราอยู่ที่หาดใหญ่เลยแลกเงินจากร้าน kin exchange แต่เห็นรีวิวที่ผ่านๆมาเค้าจะไปแลกกันที่ร้านซุปเปอร์ริชที่กรุงเทพกัน เราแลกเป็นเงินวอนและแลกเป็นดอลล่าไปเผื่อด้วย ปล.แลกเป็นดอลล่าร์แล้วเอาไปแลกเป็นวอนที่ดงแดมุนเรทดีมากๆ มีร้านให้แลกเปลี่ยนเยอะเลย ในห้างล็อตเต้ก็มี ที่เกาหลีจะรับแลกเงินเยน ดอลล่าร์สหรัฐ ดอลล่าร์ฮ่องกง อาจจะมีอีกแต่ที่เราเห็นมีประมาณนี้
- สิ่งของที่เตรียมไป : เราพยายามนำของไปให้น้อยที่สุด เพราะเราคิดว่าเราจะต้องซื้อกลับมาเยอะแน่ๆ สิ่งที่เตรียมไปก็มีเสื้อผ้า แปรงสีฟันยาสีฟัน ลิปมัน(จำเป็นมากปากแห้งเร็วมากๆ) เครื่องสำอาง+สกินแคร์ (หรือจะไปซื้อที่โน่นเอาเลยก็ได้) โลชั่น หวี สายชาร์จโทรศัพท์ สายชาร์จกล้อง กล้องถ่ายรูปพร้อมเมม ปลั๊กพ่วง หัวปลั๊กแปลงนานาชาติ(ตอนหลังที่โรงแรมมีให้ ไม่รู้เอาไปทำไม) ยาพารา ยาแก้ปวดท้อง ยาแก้ภูมิแพ้ ใครเป็นโรคอะไรก็ให้พกยาประจำตัวไปด้วย เพราะร้านยาเกาหลีฉลากยาเค้าเป็นภาษาเกาหลี และก็พกร่มคันเล็กไป เพราะดูพยากรณ์อากาศเค้าบอกจะมีฝนตกปรอยๆ และที่สำคัญเราจะไปช็อปเยอะ เลยต้องเตรียมกระเป๋าสะพายข้างไปเพิ่ม และสะพายหลังเพิ่ม เพราะที่เกาหลีถ้าซื้อของในห้างเค้าคิดค่าถุงกระดาษเพิ่ม 100 วอน เราควรเตรียมถุงผ้าไปเอง หรือไปหาซื้อสวยๆที่นั่นเลยก็ได้ ราคาไม่แพงแถมสวยด้วย
- ข้อควรระวัง! พาสปอร์ตควรมีอายุมากกว่าหกเดือนนะ อย่าลืมเช็กดูล่ะ
- ไวฟาย : ก่อนเราจะไปเราได้ทำการเช่าไวฟายพกพาของ easywifi โดยจะนัดรับและคืนที่สนามบินดอนเมืองเลยค่ะ ค่าใช้จ่ายก็อยู่ที่เราเช่ากี่วัน และเลือกเครื่องแบบไหน ของเราเป็น ไวฟาย EGG 4G unlimited เช่า 6 วัน ราคา 2300 บาท ทางร้านบริการดีมาก เวลาไลน์ไปตอบเร็วมากค่ะ บางคนก็เลือกที่จะเช่าไวฟายที่สนามบินอินชอน แต่เราไม่มีบัตรเครดิตเลยคิดว่าเช่าจากไทยแล้วโอนเงินนี่แหละสะดวกสุดแล้ว โดยรับในไทยและส่งคืนที่ไทยเลย หากมีปัญหาเมื่อไปถึงเกาหลีแล้วก็สามารถติดต่อขอเปลี่ยนได้
- แอพพลิเคชั่น : หลักๆเราใช้ กูเกิลแมพนำทาง (เวลาเสิร์จหาบางทีต้องเสิร์จชื่อสถานที่เป็นภาษาเกาหลีเอา ก็อย่าลืมใส่แป้นพิมพ์ภาษาเกาหลีด้วยนะ) และก็โหลดเพิ่มเติมคือ Seoul Metro Subway Map & Route ซึ่งเป็นแอพรถไฟใต้ดินในโซล
วันเดินทาง
วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม 2559
ลาก่อนประเทศไทย
เครื่องออกจากสนามบินหาดใหญ่เวลา 22.20 น. เราก็นัดเจอกันก่อนเวลาและไปเช็กอินโหลดกระเป๋ากันก่อน โดยตอนเช็กอินเราจะได้สติ๊กเกอร์สีแดงที่เขียนว่า Fly-Thru มาแปะไว้ที่เสื้อ และได้การ์ดสีฟ้ามาเขียนก่อน และตอนนั้นก็รีบเขียนกันสุดฤทธิ์เพราะ ตม.จะปิดแล้ว พอเขียนเสร็จก็ต้องรีบวิ่งไปที่ ตม. ต้องสแกนกระเป๋า และถ้าใส่รองเท้าผ้าใบหุ้มข้อก็ต้องถอดออก ไปสแกนด้วย และตัวเราก็ต้องเข้าเครื่องสแกนเป็นตู้กระจก เข้าไปแล้วชูมือขึ้นแล้วหมุนๆ เอ้ย ไม่ใช่ ชูมือให้เครื่องกระจกนั้นมันตรวจ พอผ่านก็ไปจ็อบออกจากประเทศได้เลย กระเป๋าที่เราโหลดเค้าจะส่งไปที่อินชอนเลย ไม่ต้องมารับที่ดอนเมืองอีกรอบ
ไวฟายของช๊านนนนนนนนนน
เรามาถึงดอนเมืองเวลา 23.45น. มีพนักงานของแอร์เชียถือป้ายชื่อพวกเราสี่คนอยู่ แหม่...รู้สึกเขินเกิดมาไม่เคยมีใครถือป้ายมารับที่สนามบิน 555 จากนั้นเราก็เดินตามเค้าไป แต่แล้วก็เกิดปัญหาตรงที่เราเช่าไวฟาย และเราจ็อบออกแล้ว เราไม่สามารถออกไปรับเครื่องไวฟายได้เพราะตามพาสปอร์ตไม่ได้อยู่ในไทยแล้ว เราเลยบอกพนักงานที่มารับเราไป พี่เค้าเลยจัดการติดต่อให้ จนมีเจ้าหน้าที่อีกคนพาเราไปรับเครื่องไวฟายที่จุดนัดมาและพาเรากลับเข้าไปเหมือนเดิม เกือบเสียไวฟายไปฟรีๆแล้วไหมล่ะ นาทีนั้นตกใจมาก ความงกบังเกิดหน้ามืดตามัวยังไงก็ต้องเอาไวฟายไปให้ด้ายยยยยยย!!!! และเมื่อรับไวฟายพกพามาเจ้าเครื่องไวฟายจะอยู่ในกระเป๋าสีส้มพร้อมที่ชาร์จแบต (เราลืมถ่ายรูปมา) เราจะเปิดไวฟายและเล่นได้ก็ต่อเมื่ออยู่ที่เกาหลีแล้วเท่านั้น ระหว่างนี้เราต้องไปเช็กอินอีกครั้งสำหรับเที่ยวบินไปอินชอน กว่าเครื่องจะออกก็ตอน 02.22 น. เราเลยต้องนั่งรออีกพักนึง เดินเล่นซื้อน้ำเปล่าราคาแพงขวด 35 บาทในสนามบินกิน พอขึ้นเครื่องบินก็จะมีแอร์มาแจกใบตม.และใบศุลกากรเกาหลีให้เรากรอก วิธีการกรอกก็ดูได้จากในหนังสือเมนูอาหารหน้าที่นั่งของท่าน(เลียนเสียงแอร์) มันจะมีบอกอยู่หน้าท้ายๆของเมนู ว่าตรงไหนคืออะไร ส่วนใบศุลการกรถ้าเราไม่ได้พาอะไรผิดสำแดงและพาเงินดอลล่าร์ไม่เกินที่กำหนดไปก็ติ๊ก No ให้หมด เที่ยวบินที่เราไปไม่มีอาหารให้นะ ต้องสั่งจองก่อนล่วงหน้ากันเอาเอง หรือจะมาซื้อบนเครื่องก็ได้ราคาก็แพงกว่ากินบนพื้นดิน