สวัสดีค่ะ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกนะคะที่เขียนเป็นเรื่องราว ก่อนหน้านี้มีแต่ตั้งกระทู้ถามค่ะ
ผิดพลาดยังไงขออภัยไว้ล่วงหน้านะคะ และเรื่องนี้ผ่านมาหลายปีแล้วนะคะ อาจมีการเรียงลำดับเหตุการณ์ผิดพลาดบ้าง แต่ใจความสำคัญไม่ตกหล่นแน่นอนค่ะ ตามหัวข้อเลยค่ะ เราอยากจะแชร์ประสบการณ์ที่เราเคยเป็น HPV หรือหูดหงอนไก่ จนเคยเกือบต้องตัดปากมดลูกมาแล้วว่าอย่าเชื่อมั่นต่อการวินิจฉัยจากแพทย์เพียงคนเดียวค่ะ
ย้อนหลังกลับไป 5 ปี ตอนนั้นเราเพิ่งคบกับแฟนได้ไม่ถึงปี ปกติเราเป็นคนตรวจสุขภาพประจำปีตลอดค่ะ แล้ววันนึงเราได้รับผลตรวจร่างกายที่เราไปตรวจมาที่รพ.ชื่อดังแถว ๆ งามวงศ์วาน เราอ่านพบว่ามีความผิดปกติจากการตรวจปากมดลูก เราไม่รอช้าค่ะรีบติดต่อกลับไปที่รพ. ทางพยาบาลแนะนำให้เรากลับเข้าไปพบคุณหมอผู้หญิงที่แผนกสูติท่านหนึ่งทันที เราก็รีบเข้าไปพบทันทีวันนั้นเลย จำได้เลยวันนั้นแฟนเรารับปริญญา (ไม่ใช่รักวัยเรียนนะคะ เราอายุห่างจากแฟนหลายปีค่ะ)
คุณหมอได้แนะนำให้เรามีการเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อจากปากมดลูกไปตรวจค่ะ เพราะสงสัยว่าเราจะเป็นหูดหงอนไก่ หรือ HPV หมออธิบายเราว่า เชื้อ HPV มีหลายชนิด มีทั้งที่ไม่อันตรายหายเองได้และชนิดที่สามารถพัฒนากลายเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ ใจเราตอนนั้นตกไปอยู่ตาตุ่ม ได้แต่ภาวนาว่าอย่าได้เป็นชนิดที่อันตรายเลย จากนั้นเรายินยอมให้หมอส่องกล้องและตัดชิ้นเนื้อทันที เราจำได้ดีว่าครั้งนั้นเป็นการตรวจปากมดลูกที่กดดันที่สุดในชีวิตเรา ห้องมันเย็นและวังเวงมาก ๆ
ตัดชิ้นเนื้อเสร็จเราก็รอฟังผล เหมือนเดิมค่ะ กดดัน เครียดมาก ๆ ต้องบอกว่าครอบครัวเรากลัวโรคมะเร็งมาก ๆ ค่ะ เพราะเราสูญเสียพี่สาวคนนึงไปเพราะเป็นมะเร็งตอนอายุแค่ 32 ปีเท่านั้น ทันทีที่รู้ว่าตัวเองมีความเสี่ยง เรางี้แทบบ้าเลย ตอนนั้นไปคนเดียวด้วย เพราะแฟนอยู่งานรับปริญญา ตอนนั้นเราไม่บอกแฟนค่ะ เราไม่อยากทำลายวันสำคัญของเค้า อาศัยช่วงที่เค้าเข้าห้องประชุมมาพบหมอและกะว่ากลับไปหาตอนเค้าออกมาและพบว่าเราไม่ได้เป็นอะไร เราหวังไว้เช่นนั้นค่ะ...
ทันทีที่ผลออกมา หมอบอกว่าเราเป็นชนิดที่อันตราย และมีเปอร์เซ็นที่จะพัฒนาไปเป็นมะเร็งได้... .................. เข้าใจเลยใจตกไปอยู่ตาตุ่มรู้สึกยังไง หมอยังบอกอีกว่ามันก็มีโอกาสหายได้เอง กี่เปอร์เซ็นไม่แน่ใจ ถามหน่อยใครจะรอให้หายเองคะ ร้อยทั้งร้อยก็ต้องรักษาอยู่แล้ว หมอแนะนำให้เราตัดปากมดลูกออกค่ะ ตัดกี่เซนไม่แน่ใจ แต่ถามเรื่องผลกระทบคือ หากเราตั้งครรภ์เราจะมีโอกาสแท้งเพราะปากมดลูกบางลง ตอนนั้นเราอายุ 20 ปลาย ๆ เท่านั้น ลูกสักคนก็ยังไม่มี ตอนนั้นบอกตามตรง งง ๆ ค่ะ คิดอะไรไม่ออก มึน ๆ คือถ้าเลือกรักษาหากมีลูกก็อาจแท้ง ถ้าไม่รักษาก็อาจเป็นมะเร็ง
หลังจากออกจากห้องตรวจ พยาบาลแลดูสูงอายุก็เดินตามเรามาทันที แจ้งราคาโดยประมาณสำหรับการผ่าตัด พยายามนัดวันผ่าให้กับเรา แต่ตอนนั้นเราคิดอะไรไม่ออก ไม่อยากตัดสินใจคนเดียวเลยบอกว่าแล้วจะโทรมาแจ้ง พยาบาลเลยยื่นนามบัตรคุณหมอท่านนั้นมาให้แทน
จากนั้นเราก็รีบไปงานรับปริญญาแฟนค่ะ เค้าออกจากหอประชุมแล้ว เรางี้ต้องปั้นหน้าตลอดงาน แต่ในใจมันเครียด เอาแต่คิดไปมาว่าจะเป็นมะเร็งมั้ยๆๆๆ ยอมรับเลยว่านอยมาก อย่างกับว่าเป็นมะเร็งแล้ว 5555
หลังจากเสร็จงานแฟนเราก็กลับมาที่ห้อง แล้วก็ถึงเวลาที่ต้องเอ่ยปากบอก ทันทีที่มองหน้าแฟนน้ำตาก็ไหลค่ะ ยังไม่ได้พูดอะไรเลย มันจุก.. แฟนเห็นเราร้องไห้เลยร้องตาม ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่ามันเป็นห่าอะไร 5555
จากนั้นเราก็ปรึกษาพ่อแม่ และครอบครัว ทุกคนแนะนำให้เราไปตรวจที่รพ.อื่น เพราะอยากได้ความเห็นจากแพทย์ท่านอื่นด้วย เราเห็นด้วยตามนั้น เราจึงไปตรวจอีกครั้งที่รพ.รัฐแถวปทุมวัน เจออาจารย์หมอผู้ชายท่านหนึ่งดูสูงอายุ หลังจากที่เจอครั้งแรก ท่านก็ให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงทางเลือกในการรักษาหากเราเป็นจริง ๆ คือมีการผ่าเย็น (จำชือวิธีการไม่แน่ชัดค่ะ แต่ประมาณว่าใช้ความเย็นมาจี้เฉพาะจุดที่เป็น เพื่อหลีกเลี่ยงการตัดปากมดลูกเพราะเราอายุยังน้อยค่ะ ไม่อยากให้เกิดการเสี่ยงหากมีการตั้งครรภ์) ณ จุดนี้เราแอบนึกเคืองที่รพ.แรกว่าทำไมไม่บอกเราว่ามีวิธีการอื่นนอกจากการผ่าตัด จากนั้นหมอก็นัดเรามาส่องกล้องอีกที ตัดไปที่วันส่องกล้องเลย คำแรกที่หมอพูดคือ “ไม่เห็นมีอะไรเลย” เรางี้งงเป็นไก่ตาแตก คืออะไรคะหมอ? หมอบอกว่าส่องแล้วไม่พบอะไร ให้เรานัดดูอีกที 6 เดือน
จบจากที่ ๆ สอง เรายังไม่มั่นใจค่ะ เราไปตรวจซ้ำอีกครั้งที่รพ.เชี่ยวชาญด้านมะเร็งแถวหลักสี่ ได้ความเห็นเหมือนกันคือ “ไม่เห็นมีอะไรเลย” แล้วที่หมอท่านแรกบอกเราคืออะไร? ที่เราเครียดแทบตายคืออะไร??? จากนั้นคุณหมอก็มีการปาดเนื้อเยื่อเราไปตรวจอีกครั้งเพื่อความมั่นใจและนัดฟังผล ผลออกมาคือไม่พบเซลที่ผิดปกติแต่ให้มีการตรวจซ้ำทุกปี สรุปคือเราไม่ได้เป็นอะไรเลย แต่คุณหมอก็แนะนำให้เราฉีดวัคซีนป้องกัน HPV ทั้งหมด 3 เข็ม เราก็ไม่รอช้าจัดเลย (วัคซีนตัวนี้เป็นตัวที่ฉีดแล้วหน่วง ปวดที่สุดที่เคยฉีดเลยค่ะ พยาบาลแนะนำให้คนอื่นขับรถให้ แต่เราไปคนเดียวขับเองค่ะ ใครจะฉีดตัวนี้หาพลขับไปด้วยนะคะ)
จิง ๆ วัคซีนตัวนี้ใครมีลูกหลาน ไม่จำเป็นต้องก่อน 11 ปีนะคะ หรือ หนุ่ม ๆ สาว ๆ อย่างเรา ๆ ก็ควรฉีดนะคะ ย้ำว่าทั้งเด็กชาย เด็กหญิง ผู้ชาย และผู้หญิงค่ะ ทำไมเพศชายต้องฉีดด้วย? เพราะเชื้อตัวนี้จะไม่แสดงอาการในเพศชายค่ะ แต่คุณจะเป็นพาหะแทน หากคุณมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ผู้หญิงคนนั้นก็จะได้รับเชื้อไปค่ะ ส่วนผู้หญิงก็ฉีดป้องกันไว้ไม่ให้ติดเชื้อค่ะ เพราะฉะนั้นควรรณรงค์ให้ไปฉีดวัคซีนตัวนี้กันนะคะ
สรุปคือเหตุการณ์ที่รพ.แรกคืออะไรเราก็ไม่อยากไปคิดแล้ว เพราะวันนี้หมอ 2 รพ.ยืนยันว่าเราปลอดภัยดี และปัจจุบันเรามีลูกชายที่น่ารักวัย 2 ขวบแล้ว 1 คน และตั้งใจจะมีอีก 1 คนค่ะ ทุกครั้งที่มองหน้าเค้าก็อดคิดไม่ได้ว่าหากวันนั้นตัดสินใจผ่าไปโดยที่ไม่รีเช็คเลย วันนี้เรา(อาจ)ไม่ได้พบกันก็ได้
เจตนาของเราเพียงแค่อยากให้ทุกคนที่หากมีการเจ็บป่วยที่เป็นเคสใหญ่ ๆ บางทีอย่าได้เชื่อหมอเพียงคนเดียวทั้งหมด ทุกอย่างผิดพลาดกันได้ อย่างน้อยหาความเห็นที่ 2 หรือ 3 ยอมเสียเวลาสักหน่อย แต่ได้ความสบายใจว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาดแล้วมาเสียใจทีหลังค่ะ
แชร์ประสบการณ์ติดเชื้อ HPV จนเกือบต้องตัดปากมดลูก
ย้อนหลังกลับไป 5 ปี ตอนนั้นเราเพิ่งคบกับแฟนได้ไม่ถึงปี ปกติเราเป็นคนตรวจสุขภาพประจำปีตลอดค่ะ แล้ววันนึงเราได้รับผลตรวจร่างกายที่เราไปตรวจมาที่รพ.ชื่อดังแถว ๆ งามวงศ์วาน เราอ่านพบว่ามีความผิดปกติจากการตรวจปากมดลูก เราไม่รอช้าค่ะรีบติดต่อกลับไปที่รพ. ทางพยาบาลแนะนำให้เรากลับเข้าไปพบคุณหมอผู้หญิงที่แผนกสูติท่านหนึ่งทันที เราก็รีบเข้าไปพบทันทีวันนั้นเลย จำได้เลยวันนั้นแฟนเรารับปริญญา (ไม่ใช่รักวัยเรียนนะคะ เราอายุห่างจากแฟนหลายปีค่ะ)
คุณหมอได้แนะนำให้เรามีการเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อจากปากมดลูกไปตรวจค่ะ เพราะสงสัยว่าเราจะเป็นหูดหงอนไก่ หรือ HPV หมออธิบายเราว่า เชื้อ HPV มีหลายชนิด มีทั้งที่ไม่อันตรายหายเองได้และชนิดที่สามารถพัฒนากลายเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ ใจเราตอนนั้นตกไปอยู่ตาตุ่ม ได้แต่ภาวนาว่าอย่าได้เป็นชนิดที่อันตรายเลย จากนั้นเรายินยอมให้หมอส่องกล้องและตัดชิ้นเนื้อทันที เราจำได้ดีว่าครั้งนั้นเป็นการตรวจปากมดลูกที่กดดันที่สุดในชีวิตเรา ห้องมันเย็นและวังเวงมาก ๆ
ตัดชิ้นเนื้อเสร็จเราก็รอฟังผล เหมือนเดิมค่ะ กดดัน เครียดมาก ๆ ต้องบอกว่าครอบครัวเรากลัวโรคมะเร็งมาก ๆ ค่ะ เพราะเราสูญเสียพี่สาวคนนึงไปเพราะเป็นมะเร็งตอนอายุแค่ 32 ปีเท่านั้น ทันทีที่รู้ว่าตัวเองมีความเสี่ยง เรางี้แทบบ้าเลย ตอนนั้นไปคนเดียวด้วย เพราะแฟนอยู่งานรับปริญญา ตอนนั้นเราไม่บอกแฟนค่ะ เราไม่อยากทำลายวันสำคัญของเค้า อาศัยช่วงที่เค้าเข้าห้องประชุมมาพบหมอและกะว่ากลับไปหาตอนเค้าออกมาและพบว่าเราไม่ได้เป็นอะไร เราหวังไว้เช่นนั้นค่ะ...
ทันทีที่ผลออกมา หมอบอกว่าเราเป็นชนิดที่อันตราย และมีเปอร์เซ็นที่จะพัฒนาไปเป็นมะเร็งได้... .................. เข้าใจเลยใจตกไปอยู่ตาตุ่มรู้สึกยังไง หมอยังบอกอีกว่ามันก็มีโอกาสหายได้เอง กี่เปอร์เซ็นไม่แน่ใจ ถามหน่อยใครจะรอให้หายเองคะ ร้อยทั้งร้อยก็ต้องรักษาอยู่แล้ว หมอแนะนำให้เราตัดปากมดลูกออกค่ะ ตัดกี่เซนไม่แน่ใจ แต่ถามเรื่องผลกระทบคือ หากเราตั้งครรภ์เราจะมีโอกาสแท้งเพราะปากมดลูกบางลง ตอนนั้นเราอายุ 20 ปลาย ๆ เท่านั้น ลูกสักคนก็ยังไม่มี ตอนนั้นบอกตามตรง งง ๆ ค่ะ คิดอะไรไม่ออก มึน ๆ คือถ้าเลือกรักษาหากมีลูกก็อาจแท้ง ถ้าไม่รักษาก็อาจเป็นมะเร็ง
หลังจากออกจากห้องตรวจ พยาบาลแลดูสูงอายุก็เดินตามเรามาทันที แจ้งราคาโดยประมาณสำหรับการผ่าตัด พยายามนัดวันผ่าให้กับเรา แต่ตอนนั้นเราคิดอะไรไม่ออก ไม่อยากตัดสินใจคนเดียวเลยบอกว่าแล้วจะโทรมาแจ้ง พยาบาลเลยยื่นนามบัตรคุณหมอท่านนั้นมาให้แทน
จากนั้นเราก็รีบไปงานรับปริญญาแฟนค่ะ เค้าออกจากหอประชุมแล้ว เรางี้ต้องปั้นหน้าตลอดงาน แต่ในใจมันเครียด เอาแต่คิดไปมาว่าจะเป็นมะเร็งมั้ยๆๆๆ ยอมรับเลยว่านอยมาก อย่างกับว่าเป็นมะเร็งแล้ว 5555
หลังจากเสร็จงานแฟนเราก็กลับมาที่ห้อง แล้วก็ถึงเวลาที่ต้องเอ่ยปากบอก ทันทีที่มองหน้าแฟนน้ำตาก็ไหลค่ะ ยังไม่ได้พูดอะไรเลย มันจุก.. แฟนเห็นเราร้องไห้เลยร้องตาม ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่ามันเป็นห่าอะไร 5555
จากนั้นเราก็ปรึกษาพ่อแม่ และครอบครัว ทุกคนแนะนำให้เราไปตรวจที่รพ.อื่น เพราะอยากได้ความเห็นจากแพทย์ท่านอื่นด้วย เราเห็นด้วยตามนั้น เราจึงไปตรวจอีกครั้งที่รพ.รัฐแถวปทุมวัน เจออาจารย์หมอผู้ชายท่านหนึ่งดูสูงอายุ หลังจากที่เจอครั้งแรก ท่านก็ให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงทางเลือกในการรักษาหากเราเป็นจริง ๆ คือมีการผ่าเย็น (จำชือวิธีการไม่แน่ชัดค่ะ แต่ประมาณว่าใช้ความเย็นมาจี้เฉพาะจุดที่เป็น เพื่อหลีกเลี่ยงการตัดปากมดลูกเพราะเราอายุยังน้อยค่ะ ไม่อยากให้เกิดการเสี่ยงหากมีการตั้งครรภ์) ณ จุดนี้เราแอบนึกเคืองที่รพ.แรกว่าทำไมไม่บอกเราว่ามีวิธีการอื่นนอกจากการผ่าตัด จากนั้นหมอก็นัดเรามาส่องกล้องอีกที ตัดไปที่วันส่องกล้องเลย คำแรกที่หมอพูดคือ “ไม่เห็นมีอะไรเลย” เรางี้งงเป็นไก่ตาแตก คืออะไรคะหมอ? หมอบอกว่าส่องแล้วไม่พบอะไร ให้เรานัดดูอีกที 6 เดือน
จบจากที่ ๆ สอง เรายังไม่มั่นใจค่ะ เราไปตรวจซ้ำอีกครั้งที่รพ.เชี่ยวชาญด้านมะเร็งแถวหลักสี่ ได้ความเห็นเหมือนกันคือ “ไม่เห็นมีอะไรเลย” แล้วที่หมอท่านแรกบอกเราคืออะไร? ที่เราเครียดแทบตายคืออะไร??? จากนั้นคุณหมอก็มีการปาดเนื้อเยื่อเราไปตรวจอีกครั้งเพื่อความมั่นใจและนัดฟังผล ผลออกมาคือไม่พบเซลที่ผิดปกติแต่ให้มีการตรวจซ้ำทุกปี สรุปคือเราไม่ได้เป็นอะไรเลย แต่คุณหมอก็แนะนำให้เราฉีดวัคซีนป้องกัน HPV ทั้งหมด 3 เข็ม เราก็ไม่รอช้าจัดเลย (วัคซีนตัวนี้เป็นตัวที่ฉีดแล้วหน่วง ปวดที่สุดที่เคยฉีดเลยค่ะ พยาบาลแนะนำให้คนอื่นขับรถให้ แต่เราไปคนเดียวขับเองค่ะ ใครจะฉีดตัวนี้หาพลขับไปด้วยนะคะ)
จิง ๆ วัคซีนตัวนี้ใครมีลูกหลาน ไม่จำเป็นต้องก่อน 11 ปีนะคะ หรือ หนุ่ม ๆ สาว ๆ อย่างเรา ๆ ก็ควรฉีดนะคะ ย้ำว่าทั้งเด็กชาย เด็กหญิง ผู้ชาย และผู้หญิงค่ะ ทำไมเพศชายต้องฉีดด้วย? เพราะเชื้อตัวนี้จะไม่แสดงอาการในเพศชายค่ะ แต่คุณจะเป็นพาหะแทน หากคุณมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ผู้หญิงคนนั้นก็จะได้รับเชื้อไปค่ะ ส่วนผู้หญิงก็ฉีดป้องกันไว้ไม่ให้ติดเชื้อค่ะ เพราะฉะนั้นควรรณรงค์ให้ไปฉีดวัคซีนตัวนี้กันนะคะ
สรุปคือเหตุการณ์ที่รพ.แรกคืออะไรเราก็ไม่อยากไปคิดแล้ว เพราะวันนี้หมอ 2 รพ.ยืนยันว่าเราปลอดภัยดี และปัจจุบันเรามีลูกชายที่น่ารักวัย 2 ขวบแล้ว 1 คน และตั้งใจจะมีอีก 1 คนค่ะ ทุกครั้งที่มองหน้าเค้าก็อดคิดไม่ได้ว่าหากวันนั้นตัดสินใจผ่าไปโดยที่ไม่รีเช็คเลย วันนี้เรา(อาจ)ไม่ได้พบกันก็ได้
เจตนาของเราเพียงแค่อยากให้ทุกคนที่หากมีการเจ็บป่วยที่เป็นเคสใหญ่ ๆ บางทีอย่าได้เชื่อหมอเพียงคนเดียวทั้งหมด ทุกอย่างผิดพลาดกันได้ อย่างน้อยหาความเห็นที่ 2 หรือ 3 ยอมเสียเวลาสักหน่อย แต่ได้ความสบายใจว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาดแล้วมาเสียใจทีหลังค่ะ