ณ คาบเรียนวันศุกร์ ในมหาวิทยาลัยดังย่านฝั่งธน...
...มีนักศึกษาหน้าตาดีกลุ่มหนึ่งกำลังตั้งใจเรียนอย่างขะมักเขม้น
เบลล่า : พวกแก อยากไปเที่ยวอ่ะ
ลูกแก้ว : ดีงาม กำลังมีตังค์เลย
กิ๋วกิ๋ว : ละจะไปไหนล่ะ
ลูกแก้ว : จันทบุรีม๊ะ ทุเรียนอร่อย
เบลล่า : นี่ก็หาเรื่องกินตลอด แต่ก็ดีนะ
กิ๋วกิ๋ว : ละจะไปยังไงอ่ะ
ลูกแก้ว : นั่งรถอั๋นไปไง ถูกกว่ารถเช่าที่นู่น
เบลล่า, กิ๋วกิ๋ว : โอเค ไปกันเล้ยยยย
อั๋นอั๋น : ฮะ!!! *O*
     และบ่ายวันเสาร์ถัดมา จึงเป็นการรวมตัวกันโดยนัดหมายอย่างกระทันหันที่หมู่บ้านสวนธน เดินทางโดยรถยนต์ของอั๋นอั๋น สุภาพบุรุษที่หล่อที่สุด (เพราะเป็นผู้ชายคนเดียวในกลุ่ม) ใช้เส้นทางด่วนบูรพาวิถี สิ้นสุดทางด่วนที่ชลบุรี แวะพักเติมน้ำมันกันนก่อนที่ปั้มน้ำมัน ปตท. ก่อนเดินทางต่อไปยังจันทบุรีใช้เวลารวมๆแล้วไม่มากมายแค่ 3 ชั่วโมง ระหว่างทางก็หนุกหนานกันไปเรียกได้ว่าคนขับหลับไม่ลงกันเลยที่เดียว 5555555

     เมื่อถึงที่หมายด้วยความหิวโหยมากมายก่ายกองจนลืมไปเลยว่ายังไม่มีที่นอนกันเลยน่ะ แต่ก็ไม่สนใจกองทัพต้องเดินด้วยท้อง ดังนั้นพวกเราจึงมุ่งหน้าพุ่งตรงไปย่านวงเวียนน้ำพุซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่ได้ชื่อว่าอร่อยที่สุดของจันทบุรี พอลงจากรถได้ก็เดิน เดิน เดินและก็เดินไปเรื่อยๆ จนมาสะดุดกับกลิ่นน้ำซุปจากร้านก๋วยเตี๋ยวขลุกขลิก ด้วยความหิวโหยก็จัดชุดใหญ่กันไปด้วยเย็นตาโฟต้มยำจัมโบ้ พูดได้คำเดียวว่าอร่อยสุดๆ กุ้ง หมึก ตัวโต๊โตในราคาเบาๆ 100 บาทเรียกได้ว่าอิ่มยันสว่างกันเลยทีเดียว

     เมื่อหนังท้องตึงจนเกือบจะแตกแล้ว ก็ถึงเวลาหาที่พัก กระโดดขึ้นรถแล้วไปเล้ยยยยยยยย แต่ให้ตายเถอะโรบิ้น! ขับรถวนจนทั่วตัวเมืองแล้วนะ ที่พักเต็มหม๊ดดดเลย เอาแล้ววันนี้ได้นอนในรถกันแน่ๆ ทันใดนั้นเองก็มีเสียงตกอกตกใจดังขึ้น “เห้ยยยยยย!!!!อั๋น จอดๆๆเลี้ยวเลยๆตรงนี้แหละว่างชัวร์” และก็เลี้ยวหมับเข้าให้ลงไปถามดูเท่านั้นแหละ ฟ้ามาโปรด ว่างพอดีโอ้โนววววว คืนนี้ไม่ต้องนอนในรถแล้วววว 555555+ และแล้วก็จัดแจงของเข้าที่พักโดยคืนนี้เราพักกันที่ พีซี แมนชั่น กรุ๊ปบอกได้เลยว่าเป็นที่พักที่ราคาไม่แพงแค่คืนล่ะ 500 บาทเท่านั้น แถมยังมี Wifi free อีกด้วย ภายในห้องมีทีวี ตู้เย็น แอร์เย็นๆอีกด้วยนะ แต่เสียดายลืมถ่ายรูปมาให้ดูเพราะเข้าไปแล้วสบายร่างจริงค่ะท่านสมาชิ๊กกกก และที่ขาดไม่ได้ คือ เตียงนอนที่หนานุ่ม เด้ง ดึ๋งๆๆๆ ทำให้หลับฝันดีกันเลยทีเดียว มาชมบรรยากาศที่พักบางส่วนกันเลยดีกว่า

    หลังจากที่ตื่นจากการหลับใหลอันแสนสุข พวกเราก็เดินทางต่อไปที่ชุมชนริมน้ำจันทบูรกันเล้ยย

พร้อมเดินทางกันแล้ววววโย่ววววววว
      แต่ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดังขึ้นมาทันทีว่า “หิ๊ววววววววว!!” ไม่รอช้าเลี้ยวรถให้เร็วฝากท้องมื้อเช้ากับร้านข้าวหน้าเป็ดในปั๊มเซลล์ก่อนเลี้ยวซ้ายเข้าตัวเมืองจันทบุรี จัดไปกับข้าวหน้าเป็ดสุดแสนอร่อยในราคาแค่เพียง 35 บาทเท่านั้น

     ด้วยความหิวโหยยยยเลยจัดไปซะเกลี้ยงกันเลยทีเดียว
     เสร็จจากกินข้าวเช้าพวกเราก็เดินทางต่อไปยังเป้าหมายแรก นั่นก็คือ “ชุมชนริมน้ำจันทบูร” เมื่อถึงที่หมายพวกเราก็พลาดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปกับแลนด์มาร์คของที่แห่งนี้ แอ่นแอนแอ๊นนนนน

     หลังจากถ่ายรูปกับแลนด์มาร์คเสร็จเรียบร้อยก็เดินเล่นไปตามถนนของชุมชน สองฝากฝั่งของถนนเต็มไปด้วยบ้านเรือนที่ยังคงสภาพเดิมไว้กับสถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลที่ 5 ที่สวยงามและยังรักษาไว้จนถึงปัจจุบัน บรรยากาศสบายๆๆ ชิลๆ จนอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปนั้นเองงงงงงงง สำหรับใครที่ชอบแนวฮิปๆ อาร์ตๆ พลาดไม่ได้กันเลยทีเดียว

    ถ่ายรูปกันเสร็จเรียบร้อยก็ไปกับอีกที่ที่ไม่ควรพลาดเมื่อได้มาจันทบุรี นั่นคือ ความสวยงามของโบสต์คริสต์ที่อยู่ใกล้ๆกับชุมชนริมน้ำจันทบูร แค่เดินข้ามสะพานไปก็จะพบกับโบสต์คริสต์ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมตะวันตกแบบโกธิค สวยงามสมคำล่ำลือกันเลยทีเดียววว แต่เป็นที่น่าเสียดายภายในโบสต์มีการทำพิธีกรรมทำให้เก็บภาพบรรยากาศได้แค่ภายนอกเท่านั้น ร้องไห้แพ๊พพพพ

     หลังจากชมความสวยงามและเพลงจากพิธีกรรมของโบสต์คริสต์แล้ว พวกเราก็กระโดดขึ้นรถไป ฮูล้า ฮูลา ฮูลาล่าล้า ไปทะเล ฮูเรฮู้เร เยเย้ ทุกเวลา ที่แหลมสิงห์ แต่ระหว่างทางไปหาดแหลมสิงห์นั้นเราก็ได้แวะเที่ยวชมคุกขี้ไก่ที่สร้างโดยชาวฝรั่งเศส เอาไว้กักขังคนไทยที่ต่อต้านฝรั่งเศส ว่ากันว่าเป็นคุกที่ทรมานที่สุด แต่เบลล่าไม่เชื่อไง รีบเดินดุ่มเข้าไปเลยทีเดียว แล้วพวกเราก็ได้เห็นสภาพภายใน คล้ายกับห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆทรงสูง ที่ถึงแม้จะได้รับการปรับปรุงแล้วแต่ยังคงความน่ากลัวไว้อยู่จนถึงทุกวันนี้

     เมื่อออกจากคุกขี้ไก่ท่ามกลางอากาศที่ร้อนนนนน ร้อนนน ร้อนนน และร้อนนน พวกเราได้เดินทางไปต่อที่ตึกแดงซึ่งอยู่ไม่ไกลจากคุกขี้ไก่มากนัก ตึกแดงนั้นเป็นที่ตั้งของป้อมพิฆาตปัจจามิตรซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 ต่อมาเมื่อฝรั่งเศสเข้ายึดเมืองจันทบุรีได้รื้อป้อมแห่งนี้ลงและสร้างตึกแดงขึ้นเพื่อใช้เป็นที่พักและกองบัญชาการทหารฝรั่งเศส แต่ด้วยอากาศที่ร้อน ร้อน ร้อนน และร้อนมากถึงมากที่สุด! จึงไม่ได้ถ่ายรูปตึกแดงมาเล้ยยยย งื้อออออออ เสร็จจากตึกแดงไม่รอช้า มุ่งหน้าไปยังแหลมสิงงงงงงงงงห์ทันที พอถึงแหลมสิงห์อากาศที่ร้อนมั่กมากกก เมื่อร่างกายปะทะกับลมทะเลแรงๆที่หาดแหลมสิงห์ทำให้ลืมความร้อนไปชั่วขณะ

     พักผ่อนคลายร้อนที่หาดแหลมสิงห์ได้ซักพัก แต่ความร้อนของอากาศที่ปะทุขึ้นอย่างหนักทำให้ร่างกายต้องการปะทะกับความเย็นอย่างรุนแรงทำให้อยู่แหลมสิงห์ต่อไม่ได้แล้ว จัน! เอาน้ำแข็งมาถูหลังฉันสิ (กัดปากล่าง) พวกเรารีบกระโดดขึ้นรถทันที มุ่งหน้ายังน้ำตกพลิ้ววววววว ขับรถไปซักพักก็มีพี่ใจดีโบกมือข้างทางพร้อมกับพูดว่า “น้องๆจอดที่ร้านพี่ได้เลยพี่ไม่คิดค่าจอด” ด้วยความเกรงใจจึงเลี้ยวเข้าจอดโดยไวเลย 555+ แต่ร้านพี่เค้าขายอาหารพวกเราจึงช่วยพี่เค้าด้วยการอุดหนุนร้านด้านหน้าด้วยเมนู ส้มตำ ไก่ย่าง น้ำตก ลาบ เรียกได้ว่าฝากท้องไว้ที่ร้านพี่เค้าเลยทีเดียว

     สั่งอาหารเรียบร้อยก็เดินขึ้นไปยังอุทยานแห่งชาติน้ำตกพริ้วทันที มุ่งหน้าที่ห้องจำหน่ายตั๋วในราคาแค่เพียง 20 บาทเท่านั้นเอง หลังจากซื้อตั๋วแล้วก็เดินขึ้นไปอย่างหมายมั่นถึงน้ำตกอันแสนเย็นฉ่ำ แต่เอ๊ะ!! เดี๋ยวก่อนนน พักกินข้าวเที่ยงกันก่อนซิ และแล้วก้จัดไปอย่างอิ่มหนำสำราญ พอมีแรงแล้วก็เดินขึ้นไปชั้นบนของน้ำตกทันที เดี๋ยวววก่อนนน!! ลืมบอกไปด้านบนของน้ำตกห้ามนำอาหารเครื่องดื่มขึ้นไปนะจ๊ะ เดินขึ้นไปได้สักพักก็พบกับสมเด็จพระนางเรือล่ม เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วเรียบร้อยก็เดินไปต่อกันเลยยยย อ้อ! อย่าเอ็ดไปล่ะ ครึ่งทางมีทางลงไปหาปลาพลวงด้วยนะ สปาเท้าชั้นดีเลย (กระซิบ)

     เย้ๆๆๆๆๆๆ ถึงแล้วววววด้านบนของน้ำตกบรรยากาศที่เย็นสบายโอ้ยยยยยยฟินนนน รอช้าอยู่ใยโดดสิโด๊ดดดดดด น้ำเย็นนนนมากกก หายร้อนกันเลยทีเดียว เรียกได้ว่าสดชื่นหายเหนื่อยสุโค่ยม๊ากกกกกก

     หลังจากที่ฟินกับอากาศที่สุดแสนจะเย็นสบายแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางกลับบ้านอันแสนสุข ลาแล้วจันทบุรี ไว้คราวหน้าเราคงได้พบกันใหม่ และจะได้พบกันอีก จุ๊บๆ : )