"We live in a wonderful world that is full of beauty,
charm and adventure. There is no end to the adventures
we can have if only we seek them with our eyes open." – Jawaharal Nehru
เราอยู่ในโลกอันน่าประหลาดใจที่เต็มไปด้วยความงดงาม เสน่ห์
และการผจญภัยมากมาย ไม่มีคำว่าสิ้นสุดสำหรับการผจญภัยที่เราสัมผัสมันได้
ถ้าเพียงเราเปิดตาค้นหาความงดงามเหล่านั้น
“วังเวียง”
เมืองเล็กๆที่รู้จักในฉายา Paradise Lost หรือ กุ้ยหลินเมืองลาว
สวรรค์ของเหล่า Backpackers และคนรักธรรมชาติ
ทริปนี้เดินทางด้วยกันรวมทั้งสิ้น 2 คนถ้วน (เป็นผญตัวเล้กกกกกก)
โดยจะอยู่ที่วังเวียงเป็นเวลา 5คืน 6วัน (มาถึงตรงนี้ทุกคนที่เคยไปมาแล้ว
คงสงสัยว่ามันจะไปทำไรกันตั้ง 6วัน เมืองมันแค่เล็กๆ ใช่มะ5555555)
คือด้วยความที่ไม่อยากอยู่บ้านกันทั้งคู่ ก็เปลี่ยนบรรยากาศกินข้าวไปนั่งชิวๆที่วังเวียง
เราก็ตกลงกันว่า เราจะไปกันแบบชิวๆ ใช้ชีวิตแบบสโลวไลฟ์ นอนเมื่อไหร่ก็นอน
ตื่นเมื่อไหร่ก็ตื่น55555555 หลังจากวอแวกันมาพักใหญ่ ดีใจมากจะได้ไปเที่ยวสักที
> เขียนกระทู้ครั้งแรกนะคะ มันดีจนอยากมาบอกต่อ ถ้าผิดพลาดยังไง tagผิด หรืออะไรก็แล้วก็ได้โปรดให้อภัยน้องด้วย
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา Let's get started! <
ณ วันที่เดินทาง
เราเดินทางไปกันโดย รถทัวร์ของ NCA เลือกรอบรถตอน 21.30น.
แล้วเรื่องวุ่นก็เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนนี้เพราะในขณะที่คนหนึ่งรออยู่ที่สถานีรถแล้ว
ชะนีอีกนางหนึ่งยังคงรถติดอยู่ที่ไหนสักแห่งในกรุงเทพ
รถติดมากกกกกกกกวันนั้น หลังจากนั่งรนรานอยู่บนรถมาเป็นชม. อีก10นาทีรถทัวร์จะออก ชิบ..
ทำไงละทีนี้ กลัวไม่ได้ไปมาก หันออกไปเจอพี่วินมอเตอร์ไซค์ที่ตอนนั้นเห็นดั่งอัศวินขี้ม้าขาวจากที่ไม่เคยคิดจะนั่งมอไซค์
“แม่คะ ขอลงตรงนี้ แว๊นไปเลยดีกว่า ไม่อยากตกรถ”
สุดท้ายก็มาถึงทันเวลา รีบวิ่งกันไปขึ้นรถ พอนั่งอยู่บนรถทัวร์เรียบร้อยก็โทรอัพเดตข่าวกับบิดามารดากัน
แต่.. มันยังไม่จบแค่นั้นเว่ย พนักงานเดินมาขอดูตั๋ว พร้อมกับบอกว่า
“ขึ้นรถผิดคันนะคะ คันนี้ไปอุบลฯ” เราสองคนมองหน้ากัน shit!!!!
แล้วไงล่ะ ก็วิ่งรถจากรถ เพื่อไปหาคันที่ไปอุดรจนเจอ และขึ้นรถทันอย่างเฉียดฉิวหัวใจจะวาย
หายใจอย่างโล่งอกและขำกันจะเป็นจะตาย ว่านี่แค่วันแรกผ่านอะไรเยอะขนาดนี้แล้วหรอวะ555555555555
หลังจากนั้นตีตั๋วหลับยาวววววๆ
Day 1
หลังจากหลับกันมาเต็มอิ่มแล้วนั้น เราก็ถึงอุดรในเช้าตรู่ของวันถัดไป ถึงแล้วก็ไปซื้อตั๋วรถ
อุดร-หนองคาย-วังเวียง และนั่งรอเวลาขึ้นรถตอนประมาณ 8โมงกว่าๆ
รถก็จะพาเราไปผ่านแดน (ตรงนี้ทุกคนต้องลงจากรถ เตรียม passportให้เรียบร้อย และกรอกใบผ่านด่าน
ส่วนใครที่จะแลกเงินก็แลกได้ตรงนี้นะฮ้า และกลับไปขึ้นรถตามเดิม)
กินโจ๊กกันก่อนที่อุดร ตอนรอขึ้นรถไปวังเวียง
เงินล้านนนนนน (กีบ)
พอไปต่ออีกประมาณครึ่งทางมีให้พักกินข้าว 1ครั้งแล้วยิงยาวทูวังเวียงเลย
พอถึงตอนพักกินข้าวนี่ละค่ะ ทุกคนรีบระดับ10เพื่อที่จะลงจากรถและไปกินข้าว
พอเรา2คนลงไปก็เลยกลายเป็นว่าที่นั่งเต็มหมดแล้ว แล้วเค้าไม่ได้พักนาน เราจึงตัดสินใจซื้อซาลาเปามานั่งกินบนรถ
ตลอดทางที่นั่งรถมาเรา 2คนร้อนมากที่สุดในสามโลก นั่งกันหลังเปียกหลังแฉะจนต้องสร้างพัดกระดาษ555555555
ในขณะที่คนอื่นหลับสบายๆ เหตุจากแอร์ตรงที่นั่งพวกเรามันไม่ทำงานเว๊ย คือแบบแอร์เสียตรงที่เดียวทั้งรถอะ ยอมไม่ได้ เดี๋ยวต้องไปบ่นกะพี่คนขับ
นี่คือโฉมหน้าของพัดกระดาษ555555555
ด้วยความโมโห เราก็เอามือไปถูๆแอร์ สักพัก “เห้ย
มันมีลมออกมาแล้วว่ะ”
สรุปว่าโง่กันเองที่ไม่รุ้ว่ามันต้องหมุนเปิด ไม่ใช่ความผิดใคร55555555555555
ขอบคุณที่บังเอิญไปเจอไม่งั้นคงต้องเหมือนนั่งข้างดวงอาทิตย์ตลอดทาง
สุดท้ายยยยย หลังจากหลายโค้ง หลายหลับหลายตื่น เราก็มาถึงวังเวียงในที่สุด (ถึงตอนสี่ห้าโมงเย็น)
รถปล่อยเราลงที่สถานีรถของวังเวียง เราก็เดินไปขึ้นรถที่คล้ายๆสองแถวเลย เค้าจะพาไปส่งตรงกลางเมือง
จากนั้นก็แยกย้ายกันหาที่พัก จะwalk-inเอย หรือจองมาแล้วก็แล้วแต่ ส่วนเรา 2คนจองมาแว้วจาก booking.com
ก็เดินกันไปถามพี่ๆป้าๆไปเรื่อยจนแล้วจนเล่า ผ่านมาไม่รู้กี่ซอยก็เจอที่พักจนได้ เฮ่ รีบเชคอินและไปนอนแผ่บนเตียงทันที55555555
พอได้เปิดแอร์เย็น พักกันจนหายเหนื่อย เราก็มองหน้ากันพร้อมยิ้มอ่อน
“ป่ะ ได้เวลาสำรวจวังเวียงยามค่ำ55555” อาหารที่เรากินวันนั้นคือ แซนวิชที่คล้ายๆSubwayอะ
แล้วก็เดินเล่นกันถึงได้รู้ว่าเอ้อเมืองมันเล็กนิดเดียว เดินได้แบบชิวๆ แล้วจริงๆจากไอสถานีรถมาโรงแรมอะแค่ข้ามถนน อิสองนางนี่เล่นไปเดินอ้อมโลก5555
เมนูของแซนวิช เยอะจนเลือกไม่ถูก5555
คิดว่าไปไหนต่อละหลังจากนั้น...? แน่นอนว่า “ซากุระบาร”์ อันเลื่องลือ
มันดีตรงมี Free drinks for 1 hour คือสองทุ่ม -สามทุ่ม
แต่คิดว่าจะกินกันได้สักกี่แก้วละตัว เค้าเท whiskey แบบมิดๆแก้วเลยส่วนใหญ่
แต่น้องสู้ค่ะ ของฟรีดื่มๆเข้าไป555555555
ชะนีทั้งหลายอาจจะกำลังคิดในใจ แล้วผู้ละคะเจ้ เด็ดดวงแค่ไหน? เจ้ขอบอกค่ะว่าคืนนี้ยังไม่เท่าไหร่ แต่คืนต่อๆไปมีมือไม้สั่น5555555555555
คืนนี้ไม่มีไรเป็นพิเศษจบจากซากุระ(ที่ปิดตอนเที่ยงคืน) ก็ไปต่อที่ผับที่เป็นแบบ very local กับแก๊งพี่คนไทยที่ไปป้ะกันที่ซากุระนี่ละ
พอสักประมาณจำไม่ได้กี่โมงก็แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนพร้อมกันให้คำสัญญากันว่า “พรุ่งนี้เราจะมาพบกันที่เดิม” 55555555
---ไม่รู้ว่าเขียนรู้เรื่องและสนุกหรือเปล่า ใครที่อยากติดตามต่อช่วยส่งเสียงให้น้องชื่นใจทีนะคะ55555---
---ส่วนใครมีคำถามหรือคำแนะนำก็คอมเม้นท์ไม่ก็หลังไมค์มาเนาะ ม้วฟ---
[CR] l ສະບາຍດີ l นี่แหละที่ตามหา สวรรค์บนดินที่ "วังเวียง"
charm and adventure. There is no end to the adventures
we can have if only we seek them with our eyes open." – Jawaharal Nehru
เราอยู่ในโลกอันน่าประหลาดใจที่เต็มไปด้วยความงดงาม เสน่ห์
และการผจญภัยมากมาย ไม่มีคำว่าสิ้นสุดสำหรับการผจญภัยที่เราสัมผัสมันได้
ถ้าเพียงเราเปิดตาค้นหาความงดงามเหล่านั้น
เมืองเล็กๆที่รู้จักในฉายา Paradise Lost หรือ กุ้ยหลินเมืองลาว
สวรรค์ของเหล่า Backpackers และคนรักธรรมชาติ
ทริปนี้เดินทางด้วยกันรวมทั้งสิ้น 2 คนถ้วน (เป็นผญตัวเล้กกกกกก)
โดยจะอยู่ที่วังเวียงเป็นเวลา 5คืน 6วัน (มาถึงตรงนี้ทุกคนที่เคยไปมาแล้ว
คงสงสัยว่ามันจะไปทำไรกันตั้ง 6วัน เมืองมันแค่เล็กๆ ใช่มะ5555555)
คือด้วยความที่ไม่อยากอยู่บ้านกันทั้งคู่ ก็เปลี่ยนบรรยากาศกินข้าวไปนั่งชิวๆที่วังเวียง
เราก็ตกลงกันว่า เราจะไปกันแบบชิวๆ ใช้ชีวิตแบบสโลวไลฟ์ นอนเมื่อไหร่ก็นอน
ตื่นเมื่อไหร่ก็ตื่น55555555 หลังจากวอแวกันมาพักใหญ่ ดีใจมากจะได้ไปเที่ยวสักที
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา Let's get started! <
ณ วันที่เดินทาง
เราเดินทางไปกันโดย รถทัวร์ของ NCA เลือกรอบรถตอน 21.30น.
แล้วเรื่องวุ่นก็เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนนี้เพราะในขณะที่คนหนึ่งรออยู่ที่สถานีรถแล้ว
ชะนีอีกนางหนึ่งยังคงรถติดอยู่ที่ไหนสักแห่งในกรุงเทพ
รถติดมากกกกกกกกวันนั้น หลังจากนั่งรนรานอยู่บนรถมาเป็นชม. อีก10นาทีรถทัวร์จะออก ชิบ..
ทำไงละทีนี้ กลัวไม่ได้ไปมาก หันออกไปเจอพี่วินมอเตอร์ไซค์ที่ตอนนั้นเห็นดั่งอัศวินขี้ม้าขาวจากที่ไม่เคยคิดจะนั่งมอไซค์
“แม่คะ ขอลงตรงนี้ แว๊นไปเลยดีกว่า ไม่อยากตกรถ”
สุดท้ายก็มาถึงทันเวลา รีบวิ่งกันไปขึ้นรถ พอนั่งอยู่บนรถทัวร์เรียบร้อยก็โทรอัพเดตข่าวกับบิดามารดากัน
แต่.. มันยังไม่จบแค่นั้นเว่ย พนักงานเดินมาขอดูตั๋ว พร้อมกับบอกว่า
“ขึ้นรถผิดคันนะคะ คันนี้ไปอุบลฯ” เราสองคนมองหน้ากัน shit!!!!
แล้วไงล่ะ ก็วิ่งรถจากรถ เพื่อไปหาคันที่ไปอุดรจนเจอ และขึ้นรถทันอย่างเฉียดฉิวหัวใจจะวาย
หายใจอย่างโล่งอกและขำกันจะเป็นจะตาย ว่านี่แค่วันแรกผ่านอะไรเยอะขนาดนี้แล้วหรอวะ555555555555
หลังจากนั้นตีตั๋วหลับยาวววววๆ
Day 1
หลังจากหลับกันมาเต็มอิ่มแล้วนั้น เราก็ถึงอุดรในเช้าตรู่ของวันถัดไป ถึงแล้วก็ไปซื้อตั๋วรถ
อุดร-หนองคาย-วังเวียง และนั่งรอเวลาขึ้นรถตอนประมาณ 8โมงกว่าๆ
รถก็จะพาเราไปผ่านแดน (ตรงนี้ทุกคนต้องลงจากรถ เตรียม passportให้เรียบร้อย และกรอกใบผ่านด่าน
ส่วนใครที่จะแลกเงินก็แลกได้ตรงนี้นะฮ้า และกลับไปขึ้นรถตามเดิม)
พอไปต่ออีกประมาณครึ่งทางมีให้พักกินข้าว 1ครั้งแล้วยิงยาวทูวังเวียงเลย
พอถึงตอนพักกินข้าวนี่ละค่ะ ทุกคนรีบระดับ10เพื่อที่จะลงจากรถและไปกินข้าว
พอเรา2คนลงไปก็เลยกลายเป็นว่าที่นั่งเต็มหมดแล้ว แล้วเค้าไม่ได้พักนาน เราจึงตัดสินใจซื้อซาลาเปามานั่งกินบนรถ
ตลอดทางที่นั่งรถมาเรา 2คนร้อนมากที่สุดในสามโลก นั่งกันหลังเปียกหลังแฉะจนต้องสร้างพัดกระดาษ555555555
ในขณะที่คนอื่นหลับสบายๆ เหตุจากแอร์ตรงที่นั่งพวกเรามันไม่ทำงานเว๊ย คือแบบแอร์เสียตรงที่เดียวทั้งรถอะ ยอมไม่ได้ เดี๋ยวต้องไปบ่นกะพี่คนขับ
ด้วยความโมโห เราก็เอามือไปถูๆแอร์ สักพัก “เห้ยมันมีลมออกมาแล้วว่ะ”
สรุปว่าโง่กันเองที่ไม่รุ้ว่ามันต้องหมุนเปิด ไม่ใช่ความผิดใคร55555555555555
ขอบคุณที่บังเอิญไปเจอไม่งั้นคงต้องเหมือนนั่งข้างดวงอาทิตย์ตลอดทาง
สุดท้ายยยยย หลังจากหลายโค้ง หลายหลับหลายตื่น เราก็มาถึงวังเวียงในที่สุด (ถึงตอนสี่ห้าโมงเย็น)
รถปล่อยเราลงที่สถานีรถของวังเวียง เราก็เดินไปขึ้นรถที่คล้ายๆสองแถวเลย เค้าจะพาไปส่งตรงกลางเมือง
จากนั้นก็แยกย้ายกันหาที่พัก จะwalk-inเอย หรือจองมาแล้วก็แล้วแต่ ส่วนเรา 2คนจองมาแว้วจาก booking.com
ก็เดินกันไปถามพี่ๆป้าๆไปเรื่อยจนแล้วจนเล่า ผ่านมาไม่รู้กี่ซอยก็เจอที่พักจนได้ เฮ่ รีบเชคอินและไปนอนแผ่บนเตียงทันที55555555
พอได้เปิดแอร์เย็น พักกันจนหายเหนื่อย เราก็มองหน้ากันพร้อมยิ้มอ่อน
“ป่ะ ได้เวลาสำรวจวังเวียงยามค่ำ55555” อาหารที่เรากินวันนั้นคือ แซนวิชที่คล้ายๆSubwayอะ
แล้วก็เดินเล่นกันถึงได้รู้ว่าเอ้อเมืองมันเล็กนิดเดียว เดินได้แบบชิวๆ แล้วจริงๆจากไอสถานีรถมาโรงแรมอะแค่ข้ามถนน อิสองนางนี่เล่นไปเดินอ้อมโลก5555
คิดว่าไปไหนต่อละหลังจากนั้น...? แน่นอนว่า “ซากุระบาร”์ อันเลื่องลือ
มันดีตรงมี Free drinks for 1 hour คือสองทุ่ม -สามทุ่ม
แต่คิดว่าจะกินกันได้สักกี่แก้วละตัว เค้าเท whiskey แบบมิดๆแก้วเลยส่วนใหญ่
แต่น้องสู้ค่ะ ของฟรีดื่มๆเข้าไป555555555
ชะนีทั้งหลายอาจจะกำลังคิดในใจ แล้วผู้ละคะเจ้ เด็ดดวงแค่ไหน? เจ้ขอบอกค่ะว่าคืนนี้ยังไม่เท่าไหร่ แต่คืนต่อๆไปมีมือไม้สั่น5555555555555
คืนนี้ไม่มีไรเป็นพิเศษจบจากซากุระ(ที่ปิดตอนเที่ยงคืน) ก็ไปต่อที่ผับที่เป็นแบบ very local กับแก๊งพี่คนไทยที่ไปป้ะกันที่ซากุระนี่ละ
พอสักประมาณจำไม่ได้กี่โมงก็แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนพร้อมกันให้คำสัญญากันว่า “พรุ่งนี้เราจะมาพบกันที่เดิม” 55555555
---ส่วนใครมีคำถามหรือคำแนะนำก็คอมเม้นท์ไม่ก็หลังไมค์มาเนาะ ม้วฟ---