ขอบคุณสำหรับความเห็นทั้ง 6 ท่าน และขอบคุณคนกดถูกใจกับคนกดแชร์ ที่เพิ่มกันเข้ามาเรื่อยๆนะคะ ขอบคุณค่ะ
*มีตอบความเห็น+เพิ่มเติมทางด้านล่างค่ะ
ก่อนอื่นต้องวอนขอ พี่แหม่มผู้จัดละคร สร้างละครคุณภาพแนวนี้อีกเยอะๆ
แล้ววางตัวนักแสดง
ณเดชน์แต้ว คู่นี้เท่านั้น ให้เล่นคู่กัน
ติดตามผู้จัดดีๆอย่างพี่แหม่มมานานแล้ว สร้างละครมาไม่เคยผิดหวัง เลือกบทดี นักแสดงเยี่ยม โลเกชันไม่เคยพลาด
ปรบมือดังๆให้กับละครเรื่องนี้ แตกต่างจากละครไทยทั่วๆไป ที่ปกติมักเน้นเนื้อหารักๆใคร่ๆ
แต่เรื่องนี้นอกจากความน่ารักของทั้งหมอณนท์และภัทรินแล้ว ยังให้แง่คิดเรื่องชีวิตคู่ ความรัก และความไว้ใจกัน
เลิฟซีนที่ไม่มีฉากจูบจริง
ความรักที่เหนือกว่า คือ การแสดงออกถึงความเอาใจใส่ ความห่วงใย เป็น
มาสเตอร์พีซของความโรแมนติก
ความรักของตัวละครดูเรียล มีหลากมิติ มีความซับซ้อน ตัวละครเหมือนมีตัวตนในชีวิตจริง
สอดแทรกเนื้อหาการแข่งขันทางธุรกิจ การที่
พระเอกเป็นประธาน เป็นลูกเจ้าของบริษัท
ไม่ได้เป็นแค่ตัวชี้วัดความรวย หนึ่งในคุณสมบัติของพระเอกละครทั่วๆไป
เรื่องนี้สะท้อนตัวตนของพระเอกให้เห็นว่ามีสมอง ฉลาด ทันเกมส์ ทันเล่ห์กลของฝ่ายตรงข้าม
และสามารถพลิกจากความเสียเปรียบมาเป็นความได้เปรียบ แม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย
จากที่อยู่กับคนไข้ กับห้องผ่าตัด ก็สามารถสวมวิญญาณความเป็นนักธุรกิจได้
ภัทริน แม้อาจดูเป็นคน "แอ๊บกรุงลืมดอย" เย่อหยิ่ง ติดหรู แต่ก็ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายในสันดาน เช่นการทุจริต
"จิตใจดี" มีความซื่อบริสุทธิ์ แต่ไม่ได้ใสจนสมองกลวง และความร้ายหลายๆอย่างที่ภัทรินทร์ได้แสดงออกมานั้น
เป็นเหมือนกับ "ภูมิคุ้มกันตัวที่สร้างขึ้นมาหลังจากพบเจอกับคนเลว ผ่านเหตุการณ์ที่เลวร้าย" ไม่ใช่ร้ายอย่างไม่มีเหตุผลที่หนักแน่นพอ แต่มันมีที่มาที่ไป
"เจ้าน้ำตา" ร้องไห้เพราะเรื่องที่หนักจริง ไม่ใช่เพราะเรื่องเล็กน้อยไร้สาระ ถึงจะมีฟูมฟายบ้าง อย่างเช่นตอนที่ไปเอา "ยาฆ่าเหา" ที่บ้านของหมอณนต์ ตอนที่กำลังจะกลับบ้าน พอจักรยานเสียก็นั่งร้องไห้ตรงนั้นเลย ผิวเผินดูเหมือนว่าเสียใจกับสิ่งเล็กน้อย แต่ลึกๆ ของคนที่ได้ผ่านเรื่องเลวร้ายมา ประกอบกับนิสัยภัทรินที่เอาแต่ใจเป็นทุนเดิม ก็เป็นธรรมดาที่อย่างทุกคนต้องมีสักครั้งในชีวิตที่เกิดอารมณ์
ทำไมฉันถึงซวยซ้ำซวยซ้อนทุกอณูของนาโนอย่างนี้(วะ) [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ขออภัยที่ไม่สุภาพ
แต่เมื่อร้องไห้แล้วก็ลุกขึ้นคิดหาทางแก้ไข
"สู้คน" ตอนที่ภัทรินถูกคนบุกบ้านหวังอุ้มไปทำร้ายแล้วหมอณนท์มาช่วย
นางเอกคนนี้ไม่ได้ยืนเฉยๆรอให้พระเอกโดนยิง/ถูกแทงก่อน แล้วค่อยเข้าไปประคองด้วยความซึ้งใจพร้อมหยาดน้ำตาจากดวงตาคู่งาม..
ส่วนที่ภัทรินเอาคืนหมอณนต์ แม้ว่าอาจดูแรงเกินไป ถึงหมอณนต์จะรักภัทรินมาก แต่ต้องไม่ลืมว่าภัทรินก็รักหมอณนต์มากเช่นกัน
ภัทรินถูกคนทำร้ายมา หมอณนต์รู้ดีที่สุด
ทั้งๆที่พิสูจน์แล้วว่ารักจริง ทั้งๆที่ก็ให้โอกาสอธิบายตอนจับได้ว่ามาเล่นซึงที่ห้อง ทั้งๆที่มีเวลามากพอที่จะเล่าความจริงทุกอย่างให้ฟังตอนอยู่ที่แพ ทั้งๆที่เรื่องที่หลอกเป็นเรื่องใหญ่เอาการอยู่ เป็นเหมือนตัวตลกที่ทุกคนรู้ตั้งแต่พ่อยันคนใช้ แต่เป็นเพียงคนเดียวที่"ไม่รู้อะไรเลย" แต่เอาคำว่ารักมาเป็นแหคลุมความผิดทั้งหมดที่ทำ ไม่ต่างจาก"ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิด"
จนบางคนอาจอดคิดไม่ได้ว่า เป็นเพราะผู้หญิงมีความอาฆาตพยาบาทมากกว่าผู้ชาย แต่ในทางกลับกัน หากหญิงคนรักทำเช่นนี้ คุณจะยังเชื่อใจเธอต่อไปได้อีกไหม? อาจจะยาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า "จะเป็นไปไม่ได้ "
หมอณนต์เองก็ไม่ได้หลอกแค่เรื่องสองเรื่อง แต่มีหลายอย่างที่เคลือบแคลงมาแต่แรก ที่ทำให้ภัทรินถึงกับเพ้อออกมาตอนหลับว่า "นายอย่าหลอกฉันอีกนะหมอ"
ความผิดเล็กๆในตอนแรก ถ้าปล่อยไว้ไม่แก้ไขมันก็กลายมาเป็นความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ได้
หมอณนต์ก็มีเหตุผลมากพอที่ต้องทำ เพราะไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของภัทรินในตอนแรก อีกทั้งความเอาแต่ใจของภัทริน ให้ใครๆคิดว่า หากรู้ความจริง คงไม่ฟังเหตุผล เอะอะโวยวาย จนฝ่ายตรงข้ามล่วงรู้
มีเพียงสิ่งเดียวซึ่งแปรมาเป็นจุดเปลี่ยน คือ การที่หมอณนต์ยังคงหลอกต่อไปเรื่อยๆ
ในเมื่อสามารถทำได้โดยไม่เสียแผน ตอนที่จับได้ว่าเล่นซึง ภัทรินทร์ได้ถามว่า "นายหลอกฉันทำไม นายทำอย่างนั้นทำไม" ท่าทีของภัทรินไม่ได้โกรธจนไม่ยอมรับฟัง หรือตอนอยู่ที่แพ ซึ่งทำได้แน่นอน เพราะมีเวลามากมายที่ได้อยู่ด้วยกัน ได้ปรับทุกข์กัน หากตอนที่หมอณนต์พูดว่า " เธอรู้สึกถึงสายลมไหม ลมอยู่กับเธอทุกที่ อยู่กับเธอตลอดเวลา.." แล้วพูดต่อว่า "
ความจริงแล้วฉันคือหมอณนต์" เวลาในตอนนั้นเป็นตอนกลางคืน และแพก็อยู่กลางน้ำ ไม่มีทางจะเดินหนีไปไหนได้ อีกทั้งหมอณนต์ก็เป็นคนที่สามารถเกลี้ยกล่อมและปรับความเข้าใจกับภัทรินได้มาตลอด หากให้เวลาภัทรินตรงนี้สักหน่อย แล้วเล่าความจริงทั้งหมด คงไม่บานปลายให้ภัทรินต้องแก้แค้น
เรื่องนี้แม้จะมีความขัดแย้ง แม้ตัวละครหลักจะทำผิดทั้งสองฝ่าย แต่เป็นความผิดพลาดอย่างที่มนุษย์ทุกคนไม่ว่าเป็นใคร ก็ทำได้กันทั้งนั้น
และเป็นความผิดที่มีเหตุจำเป็นให้ต้องทำ พลาดไป แล้วสุดท้ายให้อภัยได้
*ตอบความคิดเห็นเพื่อนสมาชิก + เพิ่มเติม+แก้ไขคำบางคำตอนท้าย
ขอบคุณความคิดเห็นทั้งสองด้วยค่ะ(รวมถึงคนกดถูกใจและกดแชร์) เมื่อวานรีบๆพิมมากไปหน่อยเพราะแบตใกล้หมด พอกดส่งเสร็จเครื่องก็บังคับปิดตัวเองทันทีเลย มาสังเกตดูอีกทีว่าเนื้อหาแรงจริง แต่พยายามจะสื่อว่าเรื่องนี้ได้ให้ข้อคิด ให้สติกับเรามากขนาดไหน ปรับให้เข้ากับชีวิตจริง เรื่องการโกหกที่เราให้เหตุผลว่า"มันจำเป็น" โกหกแล้วปล่อยผ่านไปไม่บอกในเวลาที่ควร ไม่แก้ไข ไม่อธิบายให้ชัดเจน โกหกโดยอ้างว่า"อยากให้แม่สบายใจ" ตลอดจนรายละเอียดปลีกย่อยที่หลายอย่างเรา "ไม่ทันคิด" และอีกหลายๆเรื่องที่ให้เราได้คิดตาม ได้เรียนรู้ปรับความเข้าใจใหม่
เมื่อวานเราคงรีบเขียนมากไป เห็นคำว่า "แต่" กับ "ไม่" เยอะมากจนเหมือนเถียงอยู่คนเดียว
ต้องบอกก่อนว่า ปกติเราดูแต่ฝั่งเกาหลีไม่ค่อยได้อุดหนุนหนังไทย ด้วยความที่มีเนื้อหาหลากหลาย มากกว่าแนวรักๆตามที่บอกข้างต้น
ความจริงเราชอบนักแสดงไทยมาก มีคุณภาพแสดงได้ดีไม่แพ้เกาหลีเลย แต่ด้วยความที่ได้รับบทในวงแคบ ความสามารถเลยเหมือนถูกจำกัด เหมือนได้ใช้อย่างไม่เต็มที่ขอฝากถึงผู้บริหารช่องสาม ค่ายผลิต คนเขียนบทเลยว่า ละครเรื่องนี้เป็นการเริ่มต้นที่ดี ผลิตแนวให้หลากหลายมากขึ้นอีก แนวหมอ แนวทนาย/อัยการ แนวธุรกิจ(จัดเพิ่มอีก) แนวเชฟ แนววิชาชีพอื่นๆ อัดมาให้เต็ม รีเมคเรื่องเดิมซ้ำๆ มันไม่ช่วยให้คนดูติดทนนาน(ฟังดูเหมือนโฆษณา..ตัวหนึ่งเลยแฮะ) ถ้ายังยืนขาเดียวไม่กล้าก้าวเข้าไปในแวดวงใหม่ๆละก็ บอกเลยว่า
เสียดายของ ถ้าทำ เราคนนึงละยินดีย้ายข้างจากเกาหลีมาอุดหนุนของไทยแน่ๆ อีกอย่างจะได้ลบภาพลักษณ์ของหนังไทยที่ถูกทับด้วยคำว่า
"หนังน้ำเน่า)มอมเมาประชาชน"สักที คนดูรุ่นอื่นก็จะได้ดูได้มากขึ้นเช่นเด็กและคนแก่ เพราะความที่มัน
"มีสาระ"มากขึ้น
เรื่องนี้ที่เราชอบมากคือ มันไม่ได้เน้นแค่รักโรแมนติกอย่างเดียวอย่างที่บอกไว้ทีแรก มันมีเนื้อหาทางธุรกิจ ที่ทำให้ได้คิดตามและเรียนรู้ไปด้วย
ปกติเราไม่ค่อยอินกับบทเลิฟซีนเท่าไหร่ ออกไปทางสนับสนุนให้หนังทั้งหลายตัดฉากเลิฟซีนออกด้วยซ้ำแม้แค่จูบจริงก็ตาม ความเห็นส่วนตัวของเราคือ หากตอนที่นักแสดงจำเป็นต้องแสดงฉากเหล่านี้ แล้วกำลังไม่สบายอยู่เช่น ไข้หวัด โรคผิวหนังบางชนิด หรือติดเชื้อไวรัสตับอักเสบมาโดยไม่รู้ตัว ก็จะเป็นการเสี่ยงต่อนักแสดงอีกฝ่ายที่เล่นคู่กัน ขอย้ำว่าเป็นความเห็นส่วนตัวเท่านั้นนะคะ ในขณะที่มีทางเลือกอื่นๆมากมาย ที่สร้างความชุ่มฉ่ำหัวใจให้แก่คนดูได้มากกว่านั้น
ในความคิดของเรา การแสดงความรักไม่จำเป็นต้องผ่านเลิฟซีนเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่ใครๆก็ทำได้ฉันสามีภรรยา แต่การแสดงออกถึงความรักความห่วงใย ผ่านทางสายตา ท่าทาง ความเอาใจใส่ในรายละเอียดเล็กน้อยต่างๆเหล่านี้ที่ทำให้คนดูเชื่อและรู้สึกได้ มันต้องอาศัยฝีมือและความสามารถรวมทั้งประสบการณ์ของนักแสดงมากจริงๆ ซึ่งณเดชน์ทำออกมาได้อย่างเพอร์เฟ็กต์ ที่ทุ่มเทความรักให้กับนางเอก
และแต้วก็สะท้อนความรักกลับไปได้ยอดเยี่ยม
ทั้งที่บทต้องอาศัยพลังเยอะ แต้วก็ทำได้ไร้ที่ติ สมกับภาพลักษณ์
ตัวเล็กแต่มาพร้อมกับความสามารถที่ยิ่งใหญ่
ลืมน้องแพทไปเลย(พี่ขอโทษค่ะลูก)
ความจริงชอบน้องมากตั้งแต่ที่น้องโฆษณาEucerin น้องสวยมาก
ตอนนั้นดูทีวีเยอะเพราะตั้งตาคอยดูโฆษณาตัวนี้แหละ
ถามว่าน้องแพทเหมาะกับณเดชน์ไหม เหมาะมาก เหมาะเป็นพี่ชายกับน้องสาว 55555+ เราว่าเขาดูน่ารักน่าเอ็นดูทั้งคู่เลย โดยเฉพาะตอนแย่งกันถ่ายรูปดอกทานตะวัน อีกอย่างณเดชน์ดูเหมาะกับนางเอกที่ตัวเล็ก บอบบาง น่าทะนุถนอม มากกว่า แต่ของน้องแพทเขาดูสูงใกล้เคียงณเดชน์เกินไปหน่อย และคงเพราะน้องยังเด็ก เลยทำให้การแสดงออกมันให้ความรู้สึกว่าผูกพันเหมือนพี่น้องมากกว่า
ส่วนเรื่องแฟนคลับหมั่นไส้
ก็คงมีบ้าง แต่เขาคงเข้าใจเพราะความชอบเราต่างกัน เราเองก็ไม่ได้แอนตี้นักแสดงคนไหนอยู่แล้ว แค่ลำเอียงเท่านั้น(55555 +) ชอบหมด เพียงแต่เรื่องนี้เราดูแล้วรู้สึกว่าเขารับ-ส่งบทกันได้ดีทีเดียว ดูแล้วรู้สึกได้ถึงความรักที่เขามีให้กัน เหมือนจริงมาก
หลังจากนี้ ไม่แน่ว่าอาจมีแวะมาเพิ่มเติมอีกรอบ
ตอนนี้ขอตัวไปฮัดเช่ยก่อน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ณ..ณ.. เนื้อคู่!!!!!!
ประทับใจลมซ่อนรัก + แบร์แต้ว เราจะมีโอกาสได้เจอกันอีกไหม
ขอบคุณสำหรับความเห็นทั้ง 6 ท่าน และขอบคุณคนกดถูกใจกับคนกดแชร์ ที่เพิ่มกันเข้ามาเรื่อยๆนะคะ ขอบคุณค่ะ
*มีตอบความเห็น+เพิ่มเติมทางด้านล่างค่ะ
ก่อนอื่นต้องวอนขอ พี่แหม่มผู้จัดละคร สร้างละครคุณภาพแนวนี้อีกเยอะๆ
แล้ววางตัวนักแสดง ณเดชน์แต้ว คู่นี้เท่านั้น ให้เล่นคู่กัน
ติดตามผู้จัดดีๆอย่างพี่แหม่มมานานแล้ว สร้างละครมาไม่เคยผิดหวัง เลือกบทดี นักแสดงเยี่ยม โลเกชันไม่เคยพลาด
ปรบมือดังๆให้กับละครเรื่องนี้ แตกต่างจากละครไทยทั่วๆไป ที่ปกติมักเน้นเนื้อหารักๆใคร่ๆ
แต่เรื่องนี้นอกจากความน่ารักของทั้งหมอณนท์และภัทรินแล้ว ยังให้แง่คิดเรื่องชีวิตคู่ ความรัก และความไว้ใจกัน
เลิฟซีนที่ไม่มีฉากจูบจริง
ความรักที่เหนือกว่า คือ การแสดงออกถึงความเอาใจใส่ ความห่วงใย เป็น มาสเตอร์พีซของความโรแมนติก
ความรักของตัวละครดูเรียล มีหลากมิติ มีความซับซ้อน ตัวละครเหมือนมีตัวตนในชีวิตจริง
สอดแทรกเนื้อหาการแข่งขันทางธุรกิจ การที่พระเอกเป็นประธาน เป็นลูกเจ้าของบริษัท
ไม่ได้เป็นแค่ตัวชี้วัดความรวย หนึ่งในคุณสมบัติของพระเอกละครทั่วๆไป
เรื่องนี้สะท้อนตัวตนของพระเอกให้เห็นว่ามีสมอง ฉลาด ทันเกมส์ ทันเล่ห์กลของฝ่ายตรงข้าม
และสามารถพลิกจากความเสียเปรียบมาเป็นความได้เปรียบ แม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย
จากที่อยู่กับคนไข้ กับห้องผ่าตัด ก็สามารถสวมวิญญาณความเป็นนักธุรกิจได้
ภัทริน แม้อาจดูเป็นคน "แอ๊บกรุงลืมดอย" เย่อหยิ่ง ติดหรู แต่ก็ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายในสันดาน เช่นการทุจริต
"จิตใจดี" มีความซื่อบริสุทธิ์ แต่ไม่ได้ใสจนสมองกลวง และความร้ายหลายๆอย่างที่ภัทรินทร์ได้แสดงออกมานั้น
เป็นเหมือนกับ "ภูมิคุ้มกันตัวที่สร้างขึ้นมาหลังจากพบเจอกับคนเลว ผ่านเหตุการณ์ที่เลวร้าย" ไม่ใช่ร้ายอย่างไม่มีเหตุผลที่หนักแน่นพอ แต่มันมีที่มาที่ไป
"เจ้าน้ำตา" ร้องไห้เพราะเรื่องที่หนักจริง ไม่ใช่เพราะเรื่องเล็กน้อยไร้สาระ ถึงจะมีฟูมฟายบ้าง อย่างเช่นตอนที่ไปเอา "ยาฆ่าเหา" ที่บ้านของหมอณนต์ ตอนที่กำลังจะกลับบ้าน พอจักรยานเสียก็นั่งร้องไห้ตรงนั้นเลย ผิวเผินดูเหมือนว่าเสียใจกับสิ่งเล็กน้อย แต่ลึกๆ ของคนที่ได้ผ่านเรื่องเลวร้ายมา ประกอบกับนิสัยภัทรินที่เอาแต่ใจเป็นทุนเดิม ก็เป็นธรรมดาที่อย่างทุกคนต้องมีสักครั้งในชีวิตที่เกิดอารมณ์ ทำไมฉันถึงซวยซ้ำซวยซ้อนทุกอณูของนาโนอย่างนี้(วะ) [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แต่เมื่อร้องไห้แล้วก็ลุกขึ้นคิดหาทางแก้ไข
"สู้คน" ตอนที่ภัทรินถูกคนบุกบ้านหวังอุ้มไปทำร้ายแล้วหมอณนท์มาช่วย
นางเอกคนนี้ไม่ได้ยืนเฉยๆรอให้พระเอกโดนยิง/ถูกแทงก่อน แล้วค่อยเข้าไปประคองด้วยความซึ้งใจพร้อมหยาดน้ำตาจากดวงตาคู่งาม..
ส่วนที่ภัทรินเอาคืนหมอณนต์ แม้ว่าอาจดูแรงเกินไป ถึงหมอณนต์จะรักภัทรินมาก แต่ต้องไม่ลืมว่าภัทรินก็รักหมอณนต์มากเช่นกัน
ภัทรินถูกคนทำร้ายมา หมอณนต์รู้ดีที่สุด
ทั้งๆที่พิสูจน์แล้วว่ารักจริง ทั้งๆที่ก็ให้โอกาสอธิบายตอนจับได้ว่ามาเล่นซึงที่ห้อง ทั้งๆที่มีเวลามากพอที่จะเล่าความจริงทุกอย่างให้ฟังตอนอยู่ที่แพ ทั้งๆที่เรื่องที่หลอกเป็นเรื่องใหญ่เอาการอยู่ เป็นเหมือนตัวตลกที่ทุกคนรู้ตั้งแต่พ่อยันคนใช้ แต่เป็นเพียงคนเดียวที่"ไม่รู้อะไรเลย" แต่เอาคำว่ารักมาเป็นแหคลุมความผิดทั้งหมดที่ทำ ไม่ต่างจาก"ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิด"
จนบางคนอาจอดคิดไม่ได้ว่า เป็นเพราะผู้หญิงมีความอาฆาตพยาบาทมากกว่าผู้ชาย แต่ในทางกลับกัน หากหญิงคนรักทำเช่นนี้ คุณจะยังเชื่อใจเธอต่อไปได้อีกไหม? อาจจะยาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า "จะเป็นไปไม่ได้ "
หมอณนต์เองก็ไม่ได้หลอกแค่เรื่องสองเรื่อง แต่มีหลายอย่างที่เคลือบแคลงมาแต่แรก ที่ทำให้ภัทรินถึงกับเพ้อออกมาตอนหลับว่า "นายอย่าหลอกฉันอีกนะหมอ"
ความผิดเล็กๆในตอนแรก ถ้าปล่อยไว้ไม่แก้ไขมันก็กลายมาเป็นความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ได้
หมอณนต์ก็มีเหตุผลมากพอที่ต้องทำ เพราะไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของภัทรินในตอนแรก อีกทั้งความเอาแต่ใจของภัทริน ให้ใครๆคิดว่า หากรู้ความจริง คงไม่ฟังเหตุผล เอะอะโวยวาย จนฝ่ายตรงข้ามล่วงรู้
มีเพียงสิ่งเดียวซึ่งแปรมาเป็นจุดเปลี่ยน คือ การที่หมอณนต์ยังคงหลอกต่อไปเรื่อยๆ
ในเมื่อสามารถทำได้โดยไม่เสียแผน ตอนที่จับได้ว่าเล่นซึง ภัทรินทร์ได้ถามว่า "นายหลอกฉันทำไม นายทำอย่างนั้นทำไม" ท่าทีของภัทรินไม่ได้โกรธจนไม่ยอมรับฟัง หรือตอนอยู่ที่แพ ซึ่งทำได้แน่นอน เพราะมีเวลามากมายที่ได้อยู่ด้วยกัน ได้ปรับทุกข์กัน หากตอนที่หมอณนต์พูดว่า " เธอรู้สึกถึงสายลมไหม ลมอยู่กับเธอทุกที่ อยู่กับเธอตลอดเวลา.." แล้วพูดต่อว่า "ความจริงแล้วฉันคือหมอณนต์" เวลาในตอนนั้นเป็นตอนกลางคืน และแพก็อยู่กลางน้ำ ไม่มีทางจะเดินหนีไปไหนได้ อีกทั้งหมอณนต์ก็เป็นคนที่สามารถเกลี้ยกล่อมและปรับความเข้าใจกับภัทรินได้มาตลอด หากให้เวลาภัทรินตรงนี้สักหน่อย แล้วเล่าความจริงทั้งหมด คงไม่บานปลายให้ภัทรินต้องแก้แค้น
เรื่องนี้แม้จะมีความขัดแย้ง แม้ตัวละครหลักจะทำผิดทั้งสองฝ่าย แต่เป็นความผิดพลาดอย่างที่มนุษย์ทุกคนไม่ว่าเป็นใคร ก็ทำได้กันทั้งนั้น
และเป็นความผิดที่มีเหตุจำเป็นให้ต้องทำ พลาดไป แล้วสุดท้ายให้อภัยได้
*ตอบความคิดเห็นเพื่อนสมาชิก + เพิ่มเติม+แก้ไขคำบางคำตอนท้าย
ขอบคุณความคิดเห็นทั้งสองด้วยค่ะ(รวมถึงคนกดถูกใจและกดแชร์) เมื่อวานรีบๆพิมมากไปหน่อยเพราะแบตใกล้หมด พอกดส่งเสร็จเครื่องก็บังคับปิดตัวเองทันทีเลย มาสังเกตดูอีกทีว่าเนื้อหาแรงจริง แต่พยายามจะสื่อว่าเรื่องนี้ได้ให้ข้อคิด ให้สติกับเรามากขนาดไหน ปรับให้เข้ากับชีวิตจริง เรื่องการโกหกที่เราให้เหตุผลว่า"มันจำเป็น" โกหกแล้วปล่อยผ่านไปไม่บอกในเวลาที่ควร ไม่แก้ไข ไม่อธิบายให้ชัดเจน โกหกโดยอ้างว่า"อยากให้แม่สบายใจ" ตลอดจนรายละเอียดปลีกย่อยที่หลายอย่างเรา "ไม่ทันคิด" และอีกหลายๆเรื่องที่ให้เราได้คิดตาม ได้เรียนรู้ปรับความเข้าใจใหม่
เมื่อวานเราคงรีบเขียนมากไป เห็นคำว่า "แต่" กับ "ไม่" เยอะมากจนเหมือนเถียงอยู่คนเดียว
ต้องบอกก่อนว่า ปกติเราดูแต่ฝั่งเกาหลีไม่ค่อยได้อุดหนุนหนังไทย ด้วยความที่มีเนื้อหาหลากหลาย มากกว่าแนวรักๆตามที่บอกข้างต้น
ความจริงเราชอบนักแสดงไทยมาก มีคุณภาพแสดงได้ดีไม่แพ้เกาหลีเลย แต่ด้วยความที่ได้รับบทในวงแคบ ความสามารถเลยเหมือนถูกจำกัด เหมือนได้ใช้อย่างไม่เต็มที่ขอฝากถึงผู้บริหารช่องสาม ค่ายผลิต คนเขียนบทเลยว่า ละครเรื่องนี้เป็นการเริ่มต้นที่ดี ผลิตแนวให้หลากหลายมากขึ้นอีก แนวหมอ แนวทนาย/อัยการ แนวธุรกิจ(จัดเพิ่มอีก) แนวเชฟ แนววิชาชีพอื่นๆ อัดมาให้เต็ม รีเมคเรื่องเดิมซ้ำๆ มันไม่ช่วยให้คนดูติดทนนาน(ฟังดูเหมือนโฆษณา..ตัวหนึ่งเลยแฮะ) ถ้ายังยืนขาเดียวไม่กล้าก้าวเข้าไปในแวดวงใหม่ๆละก็ บอกเลยว่า
เสียดายของ ถ้าทำ เราคนนึงละยินดีย้ายข้างจากเกาหลีมาอุดหนุนของไทยแน่ๆ อีกอย่างจะได้ลบภาพลักษณ์ของหนังไทยที่ถูกทับด้วยคำว่า"หนังน้ำเน่า)มอมเมาประชาชน"สักที คนดูรุ่นอื่นก็จะได้ดูได้มากขึ้นเช่นเด็กและคนแก่ เพราะความที่มัน"มีสาระ"มากขึ้น
เรื่องนี้ที่เราชอบมากคือ มันไม่ได้เน้นแค่รักโรแมนติกอย่างเดียวอย่างที่บอกไว้ทีแรก มันมีเนื้อหาทางธุรกิจ ที่ทำให้ได้คิดตามและเรียนรู้ไปด้วย
ปกติเราไม่ค่อยอินกับบทเลิฟซีนเท่าไหร่ ออกไปทางสนับสนุนให้หนังทั้งหลายตัดฉากเลิฟซีนออกด้วยซ้ำแม้แค่จูบจริงก็ตาม ความเห็นส่วนตัวของเราคือ หากตอนที่นักแสดงจำเป็นต้องแสดงฉากเหล่านี้ แล้วกำลังไม่สบายอยู่เช่น ไข้หวัด โรคผิวหนังบางชนิด หรือติดเชื้อไวรัสตับอักเสบมาโดยไม่รู้ตัว ก็จะเป็นการเสี่ยงต่อนักแสดงอีกฝ่ายที่เล่นคู่กัน ขอย้ำว่าเป็นความเห็นส่วนตัวเท่านั้นนะคะ ในขณะที่มีทางเลือกอื่นๆมากมาย ที่สร้างความชุ่มฉ่ำหัวใจให้แก่คนดูได้มากกว่านั้น
ในความคิดของเรา การแสดงความรักไม่จำเป็นต้องผ่านเลิฟซีนเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่ใครๆก็ทำได้ฉันสามีภรรยา แต่การแสดงออกถึงความรักความห่วงใย ผ่านทางสายตา ท่าทาง ความเอาใจใส่ในรายละเอียดเล็กน้อยต่างๆเหล่านี้ที่ทำให้คนดูเชื่อและรู้สึกได้ มันต้องอาศัยฝีมือและความสามารถรวมทั้งประสบการณ์ของนักแสดงมากจริงๆ ซึ่งณเดชน์ทำออกมาได้อย่างเพอร์เฟ็กต์ ที่ทุ่มเทความรักให้กับนางเอก
และแต้วก็สะท้อนความรักกลับไปได้ยอดเยี่ยม
ทั้งที่บทต้องอาศัยพลังเยอะ แต้วก็ทำได้ไร้ที่ติ สมกับภาพลักษณ์ ตัวเล็กแต่มาพร้อมกับความสามารถที่ยิ่งใหญ่
ลืมน้องแพทไปเลย(พี่ขอโทษค่ะลูก) ความจริงชอบน้องมากตั้งแต่ที่น้องโฆษณาEucerin น้องสวยมาก
ตอนนั้นดูทีวีเยอะเพราะตั้งตาคอยดูโฆษณาตัวนี้แหละ
ถามว่าน้องแพทเหมาะกับณเดชน์ไหม เหมาะมาก เหมาะเป็นพี่ชายกับน้องสาว 55555+ เราว่าเขาดูน่ารักน่าเอ็นดูทั้งคู่เลย โดยเฉพาะตอนแย่งกันถ่ายรูปดอกทานตะวัน อีกอย่างณเดชน์ดูเหมาะกับนางเอกที่ตัวเล็ก บอบบาง น่าทะนุถนอม มากกว่า แต่ของน้องแพทเขาดูสูงใกล้เคียงณเดชน์เกินไปหน่อย และคงเพราะน้องยังเด็ก เลยทำให้การแสดงออกมันให้ความรู้สึกว่าผูกพันเหมือนพี่น้องมากกว่า
ส่วนเรื่องแฟนคลับหมั่นไส้ ก็คงมีบ้าง แต่เขาคงเข้าใจเพราะความชอบเราต่างกัน เราเองก็ไม่ได้แอนตี้นักแสดงคนไหนอยู่แล้ว แค่ลำเอียงเท่านั้น(55555 +) ชอบหมด เพียงแต่เรื่องนี้เราดูแล้วรู้สึกว่าเขารับ-ส่งบทกันได้ดีทีเดียว ดูแล้วรู้สึกได้ถึงความรักที่เขามีให้กัน เหมือนจริงมาก
หลังจากนี้ ไม่แน่ว่าอาจมีแวะมาเพิ่มเติมอีกรอบ
ตอนนี้ขอตัวไปฮัดเช่ยก่อน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้