นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ได้สั่งการไปยังสำนักสืบสวนและปราบปรามในการส่งหนังสือไปยัง นางสาวพีชญา วัฒนามนตรี หรือ มิน ดารานักแสดงชื่อดังที่ โพสต์ภาพซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมจากต่างประเทศ จนทำให้เกิดข้อสงสัยเรื่องการเสียภาษี เพื่อมาให้ข้อมูลกับกรมศุลกากรแล้ว ยอมรับว่าเจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรดอนเมืองที่ดาราดังกล่าวเดินทางเข้ามาตรวจไม่พบ แต่เมื่อพบว่าดาราซื้อสินค้าและนำเข้าประเทศโดยไม่ผ่านการสำแดงเพื่อเสียภาษีของกรมศุลกากร กรมมีอำนาจเรียกให้ดาราคนดังกล่าวมาชี้แจง และขอดูใบเสร็จการซื้อกระเป๋าและสินค้า โดยขณะนี้มีหลักฐานคือภาพถ่ายที่ดาราลงอินสตาแกรม
นายกุลิศ กล่าวว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ กรมศุลกากรถูกโจมตี และต่อว่าเป็นอันมากว่า ปกป้องดารา ยอมรับว่าตรวจไม่พบการนำเข้ากระเป๋าของดารา เนื่องจากกำลังเจ้าหน้าที่อยู่ตามด่านมีไม่เพียงพอ เพราะในการตรวจสินค้านำเข้านั้นไม่ได้ตรวจทุกราย แต่จะใช้วิธีการสุ่มตรวจ ซึ่งในแต่ละวันมีคนที่ผ่านด่านศุลกากรดอนเมือง 4-5 หมื่นคน ดังนั้นเป็นไปได้ที่คนซื้อสินค้าจากต่างประเทศสามารถหิ้วลักลอบเข้ามาได้ อย่างไรก็ตามในการเสียภาษีนำเข้านั้นส่วนหนึ่งเป็นจิตสำนึกของผู้ซื้อเอง ที่ต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจในการเสียภาษี เพราะเจ้าตัวจะทราบอยู่แล้วว่าซื้ออะไรกลับมาบ้าง
นายกุลิศ กล่าวต่อว่า ยืนยันว่ากรมศุลกากรมีหน้าที่ต้องเก็บภาษีสินค้าที่ซื้อและนำเข้ามาจากต่างประเทศ มีมูลค่าเกินกว่า 2 หมื่นบาท และไม่มีข้อยกเว้นดาราหรือคนมีชื่อเสียง ซึ่งทุกวันนี้มีกลุ่มคนมีชื่อเสียงโทรมาขอร้องให้ละเว้นการเสียภาษี บางรายขอนำเข้ากระเป๋า 30-40 ใบ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ โดยในปีที่ผ่านมามีการจับและปรับคนที่ไม่เสียภาษีตามขั้นตอนไปกว่า 186 กรณี เฉพาะด่านดอนเมืองมีกว่า 30 กรณี แต่ก็ไม่ได้ทำให้เป็นข่าว
นายกุลิศ กล่าวต่อว่า หลังเกิดเหตุดังกล่าวสั่งการให้เจ้าหน้าที่ประจำด่านศุลกากรแต่ละแห่ง โดยเฉพาะที่สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมืองเข้มงวดในการสุ่มตรวจมากขึ้น ขณะนี้กรมกำลังติดตั้งเครื่องเอ็กซเรย์ตรวจกระเป๋าเดินทางตั้งแต่ออกจากใต้ท้องเครื่องบิน ซึ่งเป็นแผนที่วางไว้ก่อนจะเกิดเรื่อง หากการติดตั้งเครื่องเอ็กซเรย์เสร็จทำจะทราบทันทีว่า กระเป๋าใบเดินทางใดมีการสินค้าที่อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีบ้าง โดยจะมีการติดแท็กไว้ที่กระเป๋า เพื่อให้เจ้าตัว และเจ้าหน้าที่ประจำด่านรู้ว่ามีของต้องสำแดงเพื่อเสียภาษีกับด่านศุลกากร สำหรับกรณีกระเป๋านั้นมีภาษีต้องเสีย 30% หากไม่เสียภาษีตามขั้นตอนจะมีค่าปรับเพิ่ม 1 เท่า
เครดิต
http://www.matichon.co.th/news/114080
อธิบดีกรมศุลฯใช้ภาพ”ไอจี มิน-พีชญา”เป็นหลักฐานเรียกภาษี ไม่มีข้อยกเว้นดารา
นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ได้สั่งการไปยังสำนักสืบสวนและปราบปรามในการส่งหนังสือไปยัง นางสาวพีชญา วัฒนามนตรี หรือ มิน ดารานักแสดงชื่อดังที่ โพสต์ภาพซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมจากต่างประเทศ จนทำให้เกิดข้อสงสัยเรื่องการเสียภาษี เพื่อมาให้ข้อมูลกับกรมศุลกากรแล้ว ยอมรับว่าเจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรดอนเมืองที่ดาราดังกล่าวเดินทางเข้ามาตรวจไม่พบ แต่เมื่อพบว่าดาราซื้อสินค้าและนำเข้าประเทศโดยไม่ผ่านการสำแดงเพื่อเสียภาษีของกรมศุลกากร กรมมีอำนาจเรียกให้ดาราคนดังกล่าวมาชี้แจง และขอดูใบเสร็จการซื้อกระเป๋าและสินค้า โดยขณะนี้มีหลักฐานคือภาพถ่ายที่ดาราลงอินสตาแกรม
นายกุลิศ กล่าวว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ กรมศุลกากรถูกโจมตี และต่อว่าเป็นอันมากว่า ปกป้องดารา ยอมรับว่าตรวจไม่พบการนำเข้ากระเป๋าของดารา เนื่องจากกำลังเจ้าหน้าที่อยู่ตามด่านมีไม่เพียงพอ เพราะในการตรวจสินค้านำเข้านั้นไม่ได้ตรวจทุกราย แต่จะใช้วิธีการสุ่มตรวจ ซึ่งในแต่ละวันมีคนที่ผ่านด่านศุลกากรดอนเมือง 4-5 หมื่นคน ดังนั้นเป็นไปได้ที่คนซื้อสินค้าจากต่างประเทศสามารถหิ้วลักลอบเข้ามาได้ อย่างไรก็ตามในการเสียภาษีนำเข้านั้นส่วนหนึ่งเป็นจิตสำนึกของผู้ซื้อเอง ที่ต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจในการเสียภาษี เพราะเจ้าตัวจะทราบอยู่แล้วว่าซื้ออะไรกลับมาบ้าง
นายกุลิศ กล่าวต่อว่า ยืนยันว่ากรมศุลกากรมีหน้าที่ต้องเก็บภาษีสินค้าที่ซื้อและนำเข้ามาจากต่างประเทศ มีมูลค่าเกินกว่า 2 หมื่นบาท และไม่มีข้อยกเว้นดาราหรือคนมีชื่อเสียง ซึ่งทุกวันนี้มีกลุ่มคนมีชื่อเสียงโทรมาขอร้องให้ละเว้นการเสียภาษี บางรายขอนำเข้ากระเป๋า 30-40 ใบ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ โดยในปีที่ผ่านมามีการจับและปรับคนที่ไม่เสียภาษีตามขั้นตอนไปกว่า 186 กรณี เฉพาะด่านดอนเมืองมีกว่า 30 กรณี แต่ก็ไม่ได้ทำให้เป็นข่าว
นายกุลิศ กล่าวต่อว่า หลังเกิดเหตุดังกล่าวสั่งการให้เจ้าหน้าที่ประจำด่านศุลกากรแต่ละแห่ง โดยเฉพาะที่สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมืองเข้มงวดในการสุ่มตรวจมากขึ้น ขณะนี้กรมกำลังติดตั้งเครื่องเอ็กซเรย์ตรวจกระเป๋าเดินทางตั้งแต่ออกจากใต้ท้องเครื่องบิน ซึ่งเป็นแผนที่วางไว้ก่อนจะเกิดเรื่อง หากการติดตั้งเครื่องเอ็กซเรย์เสร็จทำจะทราบทันทีว่า กระเป๋าใบเดินทางใดมีการสินค้าที่อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีบ้าง โดยจะมีการติดแท็กไว้ที่กระเป๋า เพื่อให้เจ้าตัว และเจ้าหน้าที่ประจำด่านรู้ว่ามีของต้องสำแดงเพื่อเสียภาษีกับด่านศุลกากร สำหรับกรณีกระเป๋านั้นมีภาษีต้องเสีย 30% หากไม่เสียภาษีตามขั้นตอนจะมีค่าปรับเพิ่ม 1 เท่า
เครดิต http://www.matichon.co.th/news/114080