ตอนที่ 1
http://ppantip.com/topic/34966935
ตอนที่ 2
http://ppantip.com/topic/34979611
ตอนที่ 3
http://ppantip.com/topic/34995830
ตอนที่ 4
http://ppantip.com/topic/35008848
มือใหม่หัดเที่ยวนิวซีแลนด์
ดรัสวันต์
ตอนที่ 5
เราเลี้ยวรถเข้าไปในลานจอดที่จัดไว้ให้ มองออกไปเห็นท่าเรืออยู่ไกลไม่น้อย นั่นคงเป็นเรือที่เราจะมาล่องพรุ่งนี้เช้า เรามองไปรอบบริเวณมีอาคารที่พัก ร้านอาหารและศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยว ที่พักที่นี่คงไม่ได้จองกันง่ายๆ แน่ เอินนึกเดาอยู่ในใจ เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็คงอยากมาพักในบริเวณที่สวยงามเช่นนี้ อีกทั้งสะดวก ไม่ต้องขับรถไกลสองชั่วโมงข้ามภูเขาเพื่อมาให้ทันลงเรืออย่างเรา
เราเดินเข้าไปติดต่อที่ศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยวว่าเราจองเรือไว้แล้วพรุ่งนี้เช้า แล้วเราจะต้องไปลงเรือที่ไหน
เจ้าหน้าที่สาวสวยชี้ไปยังทิศทางที่เรามองเห็นก่อนหน้านี้
“คุณจะต้องจอดรถไว้ที่นี่แล้วเดินไปลงเรือที่ท่านั้นค่ะ”
“เดิน ? ไกลแค่ไหนคะ” เราถาม มองดูแล้วระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆ เลย ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมเราขับรถไปที่ท่าเรือนั้นไม่ได้
“ใช้เวลาเดิน 10 นาทีค่ะ เราไม่อนุญาตให้ไปจอดรถที่นั่น นอกจากรถทัวร์สามารถพาลูกทัวร์ไปส่งแล้วกลับออกมาจอดบริเวณนี้”
เราขอบคุณเจ้าหน้าที่แล้วลองเดินไปสำรวจเส้นทางที่เราจะต้องเดินไปลงเรือ นึกดีใจที่เรามีเวลาวันนี้มาสำรวจเส้นทางก่อนที่จะมาลงเรือจริงๆ ในวันพรุ่งนี้เช้า
ทางเดินจากลานจอดรถ เป็นทางเดินกว้างประมาณสองเมตรปูพื้นด้วยไม้ บางช่วงก็เป็นปูน คล้ายทางเดินในป่าพลุหรือป่าโกงกางบ้านเรา เส้นทางที่เราเดินลัดเลาะไปตามชายฝั่งนี้ ตลอดทางร่มครึ้มไปด้วยพรรณพืชที่มีลักษณะของป่าดิบชื้น โดยเฉพาะเฟิร์น สัญลักษณ์ของประเทศนิวซีแลนด์คือ Silver fern
เราจะเห็นสัญลักษณ์รูปใบเฟิร์นนี้อยู่ทั่วไปในนิวซีแลนด์ และกำลังจะมีการโหวตที่จะเปลี่ยนธงชาติให้เป็นรูปใบเฟิร์นอีกด้วย
ตลอดระยะทางที่เราเดินไปลงเรือนั้น เราถ่ายรูปกันตลอด และคิดว่าเหตุผลหนึ่งที่เขาให้นักท่องเที่ยวเดินก็เพราะภาพวิวที่เราเห็นนั้นงดงามยิ่งนัก ถ้าเรานั่งรถไปที่ท่าเรือเลย เราจะไม่มีโอกาสชื่นชมธรรมชาติรอบตัวแม้แต่น้อย แม้สายแดดในช่วงใกล้สี่โมงเย็นจะแผดกล้า แต่ความหนาวเย็นกลับทับทวี ยิ่งอยู่ภายในร่มเงาของต้นไม้ด้วยแล้วลมหนาวบาดผิวจนหูและจมูกชาไปหมด
ทางเดินไปสุดลงที่อาคารหลังใหญ่ ซึ่งเป็นท่าเรือ มีเคาน์เตอร์ของเรือหลายบริษัทตั้งอยู่ เราจองเรือของบริษัท Jucy Cruise แต่เวลานี้ ทุกเคาน์เตอร์ปิดทำการหมดแล้ว
วันนี้เราได้มาสำรวจเส้นทางและท่าเรือเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้แล้ว เราสามารถกลับไปที่พักด้วยความสบายใจและสามารถกะเวลาได้อย่างแม่นยำว่าพรุ่งนี้เราต้องตื่นกี่โมงออกเดินทางกี่โมง จอดรถที่ไหน ต้องเดินไกลเท่าไหร่
เราถ่ายรูป มิลฟอร์ด ซาวนด์ในสายแดดยามบ่ายที่งดงามราวกับดินแดนในฝัน และในวันพรุ่งนี้ เราจะมาช่วงเช้า ซึ่งแน่นอนว่าแสงจะเปลี่ยนไปจากนี้ แล้วเราจะได้รูปในอีกบรรยากาศหนึ่ง
Milford Sound คืออะไร
คือ ฟยอร์ด (Fjord) เป็นลักษณะทางภูมิศาสตร์ของช่องทางน้ำที่ยาวและแคบ เกิดขึ้นบริเวณที่ราบหุบเขาชายฝั่งทะเลซึ่งถูกธารน้ำแข็งกัดเซาะจนเว้าแหว่งมีลักษณะแคบและยาว เว้าลึกเข้าไปในฝั่งระหว่างแผ่นดินสูงชันหรือระหว่างหน้าผาสูงชันตามเชิงเขา โดยส่วนมากนั้นมักจะเกิดตั้งแต่ในยุคน้ำแข็งที่ผ่านมา
คำว่า Fjord คือคำที่ใช้เรียกอ่าว ส่วนคำว่า Sound ใช้เรียกอ่าวเหมือนกันแต่เป็นส่วนของพื้นน้ำ สรุปคือ ฟยอร์ดกับซาวนด์ อยู่ด้วยกัน แต่ฟยอร์ดคือพื้นดิน ส่วนซาวนด์ คือพื้นน้ำ
ชื่อของฟยอร์ดในนิวซีแลนด์จะลงท้ายว่า Sound ทั้งสิ้น
จากแผนที่จะสังเกตว่าแนวชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะใต้นี้นั้น จะมีลักษณะภูมิประเทศที่เป็นฟยอร์ดอยู่หลายแห่ง เพราะมีแนวภูเขาที่ปกคลุมด้วยธารน้ำแข็งซึ่งได้ทำการกัดเซาะที่ราบชายฝั่งจนเกิดเป็นฟยอร์ดขึ้น มิลฟอร์ด ซาวนด์ เป็นหนึ่งในฟยอร์ดเหล่านี้ที่ได้รับการพัฒนาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยุคแรกๆ ของนิวซีแลนด์
มิลฟอร์ด ซาวนด์ ได้รับการโหวตให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของ Trip Advisor’s 2008 Travelers’ Choice Destination Awards (ขอบคุณข้อมูลจาก Google, ppantip.com –ห้องหว้ากอ)
ขากลับเอินเปลี่ยนหน้าที่ให้เต้ขับ จำเส้นทางที่เป็นโค้งหักศอกและลาดชันช่วงออกมาจากอุโมงค์ลอดภูเขานั้นได้ดีว่าเป็นเรื่องลำบากสำหรับคนที่ไม่มีประสบการณ์ขับรถบนเขาโหดๆ อย่างเอิน แต่เต้เคยลุยมาแล้ว เขาเก่งกว่าเอิน
คงไม่มีใครลงทุนเหมือนอย่างเราที่เดินทางข้ามภูเขาสองชั่วโมงเพื่อมายังมิลฟอร์ด ซาวนด์สองรอบ รอบบ่ายนี้และรอบเช้าวันรุ่งขึ้น แต่สำหรับคนที่รักธรรมชาติและการถ่ายภาพแล้ว ทิวทัศน์งดงามระหว่างทาง แสงแดดที่ตกกระทบกับทุ่งหญ้าเขียวขจีและขุนเขาสูงทะมึนที่แตะแต้มด้วยหิมะในช่วงเวลาที่ต่างกันนั้นทำให้เกิดภาพความงามที่แตกต่างกัน เราไม่บ่น ไม่เบื่อที่จะต้องมาที่นี่ถึงสองรอบ เรามีความสุขมากกว่า
ขากลับนี้เราขับรถตรงกลับเข้าที่พักกันเลย ไม่ได้จอดแวะถ่ายรูปกันอีก นอกจากลีจะใช้วิธีถ่ายรูปวิวที่เธอเห็นว่าสวยผ่านกระจกรถ
เรากลับไปถึงที่พักแล้ว ยังไม่ค่ำ เราจึงมีเวลาไปเดินในมอลล์เล็กๆ ของเมืองทีอะนาว ที่อยู่เยื้องๆ กับที่พัก แม้จะเหนื่อยกับการเดินทาง แต่เรายังมีแรงที่จะออกไปเที่ยวชมเมืองทีอะนาวต่อ
ร้านขายหนังสือเป็นจุดสนใจแรกที่เอินก้าวเข้าไป มีสมุดภาพเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ ของนิวซีแลนด์ มีหนังสือที่เป็นเบื้องหลังการถ่ายทำและสถานที่ถ่ายทำภาพยนต์เรื่องลอร์ด ออฟ เดอะ ริงค์ เป็นหนังสือสี่สีเล่มหนา พลิกดูแล้วอยากได้เหมือนกัน แต่ราคาแพงไปหน่อย เอินเลือกซื้อสมุดภาพวิวและปฏิทินปีใหม่ที่มีภาพวิวสวยๆ เพราะช่วงนี้ใกล้คริสต์มาสและปีใหม่แล้ว
อีกร้านหนึ่งที่เอินมองหาคือร้านขายของที่ระลึกที่จะมีผลิตภัณฑ์จากขนแกะขาย อากาศหนาวมากเมื่อตอนบ่ายที่เอินเจอทำให้เอินตัดสินใจว่าจะต้องซื้อหมวกและถุงมือเตรียมไว้สำหรับลงเรือพรุ่งนี้เช้า ตอนที่จัดกระเป๋าเดินทางนั้น เอินมีเสื้อที่อุ่นมากขนาดไปเล่นสกีหิมะมาด้วยแต่ลืมเครื่องกันหนาวอื่นๆ หลังจากไปยืนลูบๆ คลำๆ หมวกและถุงมือที่ทำด้วยขนแกะนุ่มและเบานั้น พลิกป้ายดูราคาแล้ว ไม่ใช่ถูกๆ ก็จริงแต่มันจำเป็นต้องใช้ ก็เลยตัดสินใจซื้อเพราะไม่อยากไปทรมานกับความหนาว
เดินกลับจากซื้อของแล้ว เราไปเจอร้านอาหารจีนแบบฟาสต์ฟู้ด ดูเมนูหน้าร้านที่มีรูปภาพของอาหาร เช่น ข้าวราดหน้าเนื้อมองโกเลีย ข้าวราดหน้าไก่ผัดผงกระหรี่ บะหมี่ผัด เกี๊ยวน้ำ ไก่ทอด ฯลฯ ท่าทางน่ากินไม่น้อย อีกทั้งเป็นข้าว ทำให้นึกย้อนถามตัวเองว่านี่เราไม่ได้กินข้าวมากี่มื้อแล้ว....จำไม่ได้
เอินจึงตัดสินใจเดินเข้าไปข้างใน มีคนจีนสองสามีภรรยากำลังผัดอาหารอยู่หน้าเตา เป็นครัวที่เปิดโล่งแบบร้านอาหารตามสั่งริมถนนบ้านเรา น่าสนใจจริงๆ ราคาอาหารอยู่ที่ 14-20 เหรียญ เราเข้าไปสั่งอาหาร จ่ายเงินแล้วรับบัตรคิวมารอรับอาหารที่เขาจะทำใส่กล่องพลาสติคสำหรับซื้อกลับไปทานที่บ้านเท่านั้น ไม่มีบริการอาหารใส่จาน แต่มีตะเกียบไม้ไผ่กับส้อมพลาสติคใส่ถุงมาให้ ถ้าลูกค้าจะทานที่นี่เขาก็มีโต๊ะอยู่ภายในร้าน 3 โต๊ะและม้านั่งชุดสนามที่ทำด้วยไม้ตั้งอยู่ด้านนอกอีกสองโต๊ะ
พอเราได้อาหารมาคนละกล่อง อู้ฮู กล่องใหญ่กว่าข้าวกล่องบ้านเรา ปริมาณอาหารที่อัดแน่นอยู่ในนั้น โดยเฉพาะชิ้นเนื้อ ชิ้นไก่ ชิ้นใหญ่ๆ ที่ผัดมากับหอมใหญ่และพริกหวานนั้น คุ้มค่าและอร่อยถูกปากเรามาก มีความสุขกับมื้อนี้จริงๆ
อิ่มหนำมีความสุขที่ได้ทานข้าวกันแล้ว เรากลับมาที่พัก ตกลงกันว่าจะตื่นตีห้าครึ่งและออกจากที่นี่หกโมงเช้า เจ้าของที่พักนำอาหารเช้าที่จัดใส่ถุงสามถุงมาให้เราแช่ตู้เย็นไว้ แต่ละถุงประกอบด้วยแซนวิชแฮมชิ้นโต แอปเปิ้ลลูกใหญ่แดงสดหนึ่งลูก น้ำผลไม้กล่อง ขนมแครกเกอร์และลูกอมอีก 2-3 เม็ด เป็นอาหารเช้าที่ดูพอเหมาะและคงจะทำให้เราอิ่มพอดี
และเพื่อไม่ต้องวุ่นวายกับกิจวัตรตอนเช้าที่เรากลัวว่าจะเสียเวลาในการเข้าห้องน้ำของแต่ละคน คืนนั้นเราอาบน้ำแล้วแต่งตัวนอนด้วยชุดเดินทางเตรียมไว้เลย ตื่นนอนขึ้นมาก็แค่ล้างหน้าแปรงฟันแล้วออกเดินทางได้
>>>ขออนุญาตแท็กห้องถนนนักเขียนนะคะ อยากแชร์ให้เพื่อนๆ ที่ห้องนี้<<<
(มีต่อค่ะ)
ซีรี่ย์ชุดเอินผจญภัย : ตอนมือใหม่หัดเที่ยวนิวซีแลนด์ (5)
ตอนที่ 2 http://ppantip.com/topic/34979611
ตอนที่ 3 http://ppantip.com/topic/34995830
ตอนที่ 4 http://ppantip.com/topic/35008848
ดรัสวันต์
ตอนที่ 5
เราเลี้ยวรถเข้าไปในลานจอดที่จัดไว้ให้ มองออกไปเห็นท่าเรืออยู่ไกลไม่น้อย นั่นคงเป็นเรือที่เราจะมาล่องพรุ่งนี้เช้า เรามองไปรอบบริเวณมีอาคารที่พัก ร้านอาหารและศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยว ที่พักที่นี่คงไม่ได้จองกันง่ายๆ แน่ เอินนึกเดาอยู่ในใจ เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็คงอยากมาพักในบริเวณที่สวยงามเช่นนี้ อีกทั้งสะดวก ไม่ต้องขับรถไกลสองชั่วโมงข้ามภูเขาเพื่อมาให้ทันลงเรืออย่างเรา
เราเดินเข้าไปติดต่อที่ศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยวว่าเราจองเรือไว้แล้วพรุ่งนี้เช้า แล้วเราจะต้องไปลงเรือที่ไหน
เจ้าหน้าที่สาวสวยชี้ไปยังทิศทางที่เรามองเห็นก่อนหน้านี้
“คุณจะต้องจอดรถไว้ที่นี่แล้วเดินไปลงเรือที่ท่านั้นค่ะ”
“เดิน ? ไกลแค่ไหนคะ” เราถาม มองดูแล้วระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆ เลย ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมเราขับรถไปที่ท่าเรือนั้นไม่ได้
“ใช้เวลาเดิน 10 นาทีค่ะ เราไม่อนุญาตให้ไปจอดรถที่นั่น นอกจากรถทัวร์สามารถพาลูกทัวร์ไปส่งแล้วกลับออกมาจอดบริเวณนี้”
เราขอบคุณเจ้าหน้าที่แล้วลองเดินไปสำรวจเส้นทางที่เราจะต้องเดินไปลงเรือ นึกดีใจที่เรามีเวลาวันนี้มาสำรวจเส้นทางก่อนที่จะมาลงเรือจริงๆ ในวันพรุ่งนี้เช้า
ทางเดินจากลานจอดรถ เป็นทางเดินกว้างประมาณสองเมตรปูพื้นด้วยไม้ บางช่วงก็เป็นปูน คล้ายทางเดินในป่าพลุหรือป่าโกงกางบ้านเรา เส้นทางที่เราเดินลัดเลาะไปตามชายฝั่งนี้ ตลอดทางร่มครึ้มไปด้วยพรรณพืชที่มีลักษณะของป่าดิบชื้น โดยเฉพาะเฟิร์น สัญลักษณ์ของประเทศนิวซีแลนด์คือ Silver fern
เราจะเห็นสัญลักษณ์รูปใบเฟิร์นนี้อยู่ทั่วไปในนิวซีแลนด์ และกำลังจะมีการโหวตที่จะเปลี่ยนธงชาติให้เป็นรูปใบเฟิร์นอีกด้วย
ตลอดระยะทางที่เราเดินไปลงเรือนั้น เราถ่ายรูปกันตลอด และคิดว่าเหตุผลหนึ่งที่เขาให้นักท่องเที่ยวเดินก็เพราะภาพวิวที่เราเห็นนั้นงดงามยิ่งนัก ถ้าเรานั่งรถไปที่ท่าเรือเลย เราจะไม่มีโอกาสชื่นชมธรรมชาติรอบตัวแม้แต่น้อย แม้สายแดดในช่วงใกล้สี่โมงเย็นจะแผดกล้า แต่ความหนาวเย็นกลับทับทวี ยิ่งอยู่ภายในร่มเงาของต้นไม้ด้วยแล้วลมหนาวบาดผิวจนหูและจมูกชาไปหมด
ทางเดินไปสุดลงที่อาคารหลังใหญ่ ซึ่งเป็นท่าเรือ มีเคาน์เตอร์ของเรือหลายบริษัทตั้งอยู่ เราจองเรือของบริษัท Jucy Cruise แต่เวลานี้ ทุกเคาน์เตอร์ปิดทำการหมดแล้ว
วันนี้เราได้มาสำรวจเส้นทางและท่าเรือเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้แล้ว เราสามารถกลับไปที่พักด้วยความสบายใจและสามารถกะเวลาได้อย่างแม่นยำว่าพรุ่งนี้เราต้องตื่นกี่โมงออกเดินทางกี่โมง จอดรถที่ไหน ต้องเดินไกลเท่าไหร่
เราถ่ายรูป มิลฟอร์ด ซาวนด์ในสายแดดยามบ่ายที่งดงามราวกับดินแดนในฝัน และในวันพรุ่งนี้ เราจะมาช่วงเช้า ซึ่งแน่นอนว่าแสงจะเปลี่ยนไปจากนี้ แล้วเราจะได้รูปในอีกบรรยากาศหนึ่ง
Milford Sound คืออะไร
คือ ฟยอร์ด (Fjord) เป็นลักษณะทางภูมิศาสตร์ของช่องทางน้ำที่ยาวและแคบ เกิดขึ้นบริเวณที่ราบหุบเขาชายฝั่งทะเลซึ่งถูกธารน้ำแข็งกัดเซาะจนเว้าแหว่งมีลักษณะแคบและยาว เว้าลึกเข้าไปในฝั่งระหว่างแผ่นดินสูงชันหรือระหว่างหน้าผาสูงชันตามเชิงเขา โดยส่วนมากนั้นมักจะเกิดตั้งแต่ในยุคน้ำแข็งที่ผ่านมา
คำว่า Fjord คือคำที่ใช้เรียกอ่าว ส่วนคำว่า Sound ใช้เรียกอ่าวเหมือนกันแต่เป็นส่วนของพื้นน้ำ สรุปคือ ฟยอร์ดกับซาวนด์ อยู่ด้วยกัน แต่ฟยอร์ดคือพื้นดิน ส่วนซาวนด์ คือพื้นน้ำ
ชื่อของฟยอร์ดในนิวซีแลนด์จะลงท้ายว่า Sound ทั้งสิ้น
จากแผนที่จะสังเกตว่าแนวชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะใต้นี้นั้น จะมีลักษณะภูมิประเทศที่เป็นฟยอร์ดอยู่หลายแห่ง เพราะมีแนวภูเขาที่ปกคลุมด้วยธารน้ำแข็งซึ่งได้ทำการกัดเซาะที่ราบชายฝั่งจนเกิดเป็นฟยอร์ดขึ้น มิลฟอร์ด ซาวนด์ เป็นหนึ่งในฟยอร์ดเหล่านี้ที่ได้รับการพัฒนาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยุคแรกๆ ของนิวซีแลนด์
มิลฟอร์ด ซาวนด์ ได้รับการโหวตให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของ Trip Advisor’s 2008 Travelers’ Choice Destination Awards (ขอบคุณข้อมูลจาก Google, ppantip.com –ห้องหว้ากอ)
ขากลับเอินเปลี่ยนหน้าที่ให้เต้ขับ จำเส้นทางที่เป็นโค้งหักศอกและลาดชันช่วงออกมาจากอุโมงค์ลอดภูเขานั้นได้ดีว่าเป็นเรื่องลำบากสำหรับคนที่ไม่มีประสบการณ์ขับรถบนเขาโหดๆ อย่างเอิน แต่เต้เคยลุยมาแล้ว เขาเก่งกว่าเอิน
คงไม่มีใครลงทุนเหมือนอย่างเราที่เดินทางข้ามภูเขาสองชั่วโมงเพื่อมายังมิลฟอร์ด ซาวนด์สองรอบ รอบบ่ายนี้และรอบเช้าวันรุ่งขึ้น แต่สำหรับคนที่รักธรรมชาติและการถ่ายภาพแล้ว ทิวทัศน์งดงามระหว่างทาง แสงแดดที่ตกกระทบกับทุ่งหญ้าเขียวขจีและขุนเขาสูงทะมึนที่แตะแต้มด้วยหิมะในช่วงเวลาที่ต่างกันนั้นทำให้เกิดภาพความงามที่แตกต่างกัน เราไม่บ่น ไม่เบื่อที่จะต้องมาที่นี่ถึงสองรอบ เรามีความสุขมากกว่า
ขากลับนี้เราขับรถตรงกลับเข้าที่พักกันเลย ไม่ได้จอดแวะถ่ายรูปกันอีก นอกจากลีจะใช้วิธีถ่ายรูปวิวที่เธอเห็นว่าสวยผ่านกระจกรถ
เรากลับไปถึงที่พักแล้ว ยังไม่ค่ำ เราจึงมีเวลาไปเดินในมอลล์เล็กๆ ของเมืองทีอะนาว ที่อยู่เยื้องๆ กับที่พัก แม้จะเหนื่อยกับการเดินทาง แต่เรายังมีแรงที่จะออกไปเที่ยวชมเมืองทีอะนาวต่อ
ร้านขายหนังสือเป็นจุดสนใจแรกที่เอินก้าวเข้าไป มีสมุดภาพเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ ของนิวซีแลนด์ มีหนังสือที่เป็นเบื้องหลังการถ่ายทำและสถานที่ถ่ายทำภาพยนต์เรื่องลอร์ด ออฟ เดอะ ริงค์ เป็นหนังสือสี่สีเล่มหนา พลิกดูแล้วอยากได้เหมือนกัน แต่ราคาแพงไปหน่อย เอินเลือกซื้อสมุดภาพวิวและปฏิทินปีใหม่ที่มีภาพวิวสวยๆ เพราะช่วงนี้ใกล้คริสต์มาสและปีใหม่แล้ว
อีกร้านหนึ่งที่เอินมองหาคือร้านขายของที่ระลึกที่จะมีผลิตภัณฑ์จากขนแกะขาย อากาศหนาวมากเมื่อตอนบ่ายที่เอินเจอทำให้เอินตัดสินใจว่าจะต้องซื้อหมวกและถุงมือเตรียมไว้สำหรับลงเรือพรุ่งนี้เช้า ตอนที่จัดกระเป๋าเดินทางนั้น เอินมีเสื้อที่อุ่นมากขนาดไปเล่นสกีหิมะมาด้วยแต่ลืมเครื่องกันหนาวอื่นๆ หลังจากไปยืนลูบๆ คลำๆ หมวกและถุงมือที่ทำด้วยขนแกะนุ่มและเบานั้น พลิกป้ายดูราคาแล้ว ไม่ใช่ถูกๆ ก็จริงแต่มันจำเป็นต้องใช้ ก็เลยตัดสินใจซื้อเพราะไม่อยากไปทรมานกับความหนาว
เดินกลับจากซื้อของแล้ว เราไปเจอร้านอาหารจีนแบบฟาสต์ฟู้ด ดูเมนูหน้าร้านที่มีรูปภาพของอาหาร เช่น ข้าวราดหน้าเนื้อมองโกเลีย ข้าวราดหน้าไก่ผัดผงกระหรี่ บะหมี่ผัด เกี๊ยวน้ำ ไก่ทอด ฯลฯ ท่าทางน่ากินไม่น้อย อีกทั้งเป็นข้าว ทำให้นึกย้อนถามตัวเองว่านี่เราไม่ได้กินข้าวมากี่มื้อแล้ว....จำไม่ได้
เอินจึงตัดสินใจเดินเข้าไปข้างใน มีคนจีนสองสามีภรรยากำลังผัดอาหารอยู่หน้าเตา เป็นครัวที่เปิดโล่งแบบร้านอาหารตามสั่งริมถนนบ้านเรา น่าสนใจจริงๆ ราคาอาหารอยู่ที่ 14-20 เหรียญ เราเข้าไปสั่งอาหาร จ่ายเงินแล้วรับบัตรคิวมารอรับอาหารที่เขาจะทำใส่กล่องพลาสติคสำหรับซื้อกลับไปทานที่บ้านเท่านั้น ไม่มีบริการอาหารใส่จาน แต่มีตะเกียบไม้ไผ่กับส้อมพลาสติคใส่ถุงมาให้ ถ้าลูกค้าจะทานที่นี่เขาก็มีโต๊ะอยู่ภายในร้าน 3 โต๊ะและม้านั่งชุดสนามที่ทำด้วยไม้ตั้งอยู่ด้านนอกอีกสองโต๊ะ
พอเราได้อาหารมาคนละกล่อง อู้ฮู กล่องใหญ่กว่าข้าวกล่องบ้านเรา ปริมาณอาหารที่อัดแน่นอยู่ในนั้น โดยเฉพาะชิ้นเนื้อ ชิ้นไก่ ชิ้นใหญ่ๆ ที่ผัดมากับหอมใหญ่และพริกหวานนั้น คุ้มค่าและอร่อยถูกปากเรามาก มีความสุขกับมื้อนี้จริงๆ
อิ่มหนำมีความสุขที่ได้ทานข้าวกันแล้ว เรากลับมาที่พัก ตกลงกันว่าจะตื่นตีห้าครึ่งและออกจากที่นี่หกโมงเช้า เจ้าของที่พักนำอาหารเช้าที่จัดใส่ถุงสามถุงมาให้เราแช่ตู้เย็นไว้ แต่ละถุงประกอบด้วยแซนวิชแฮมชิ้นโต แอปเปิ้ลลูกใหญ่แดงสดหนึ่งลูก น้ำผลไม้กล่อง ขนมแครกเกอร์และลูกอมอีก 2-3 เม็ด เป็นอาหารเช้าที่ดูพอเหมาะและคงจะทำให้เราอิ่มพอดี
และเพื่อไม่ต้องวุ่นวายกับกิจวัตรตอนเช้าที่เรากลัวว่าจะเสียเวลาในการเข้าห้องน้ำของแต่ละคน คืนนั้นเราอาบน้ำแล้วแต่งตัวนอนด้วยชุดเดินทางเตรียมไว้เลย ตื่นนอนขึ้นมาก็แค่ล้างหน้าแปรงฟันแล้วออกเดินทางได้
>>>ขออนุญาตแท็กห้องถนนนักเขียนนะคะ อยากแชร์ให้เพื่อนๆ ที่ห้องนี้<<<
(มีต่อค่ะ)