[หนังแผ่นเรื่องที่ 6] The Fighter-สองแกร่งหัวใจเกินร้อย (David O. Russell, 2010) by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนน : 8/10
เนื้อเรื่องย่อ : ชีวิตจริงของนักชกรุ่นไลต์เวลเตอร์เวต "ไอริช" มิคกี้ วอร์ด (Mark Wahlberg) ผู้ไม่เคยชนะในสังเวียนไหนเลย แม้แต่ในสังเวียนแห่งชีวิต เขาหวังที่จะเอาดีในการเป็นนักมวยมาตลอด และพยายามฮึดสู้อีกครั้ง โดยมีพี่ชายขี้ยาต่างพ่อที่ชื่อ ดิกกี้ เอ็คลันด์ (Christian Bale) เป็นเทรนเนอร์ให้
ยังคงเป็นลายเซ็นต์ของผู้กำกับคนนี้ในการทำหนัง 'ดราม่าขมๆ' ออกมาอยู่ในวิสัยที่พอรับได้ ซึ่งต้องขอเตือนไว้ก่อนเลยว่าใครที่คาดหวังจะได้ดูหนังดราม่าฟีลกู้ดที่จะปลุกแรงบันดาลใจให้ฮึกเหิมตลอดเรื่องนี่ก็คงจะผิดหวังแน่ๆ เพราะจุดขายหนังเรื่องนี้อยู่ที่องค์ประกอบอื่นๆที่ย่อยยากกว่านั้นแทน
เรื่องราวหลักๆจะวนเวียนอยู่รอบๆตัว 'มิคกี้' นักมวยบ้านนอกอันดับล่างๆผู้ไม่เคยจะชนะใครจนได้สมยาว่า 'หินบันได' ที่จะถูกจ้างไปเป็นแท่นให้นักชกคนอื่นเหยียบเพื่อไต่อันดับขึ้นไปนั่นเอง ซึ่งความอาภัพของมิกกี้นั้นก็เกิดมาจากการดูแลที่ไม่มาตรฐานจากครอบครัวของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการผู้เป็นแม่อย่าง 'อลิส' (Melissa Leo) ที่บงการชีวิตมิกกี้ด้วยความไม่เป็นมืออาชีพ เท่านั้นยังไม่พอยังมีเทรนเนอร์เป็นพี่ชายขี้ยาที่เอาแน่เอานอนไม่ได้อย่าง 'ดิกกี้' อีก เรียกได้ว่าเป็นมหกรรมฟักอัพของหน้าที่การงานอย่างแรง
ซึ่งแน่นอนว่าหนังก็จะใช้เรื่องของหมัดมวยเป็นฉากหลัง โดยมีเนื้อเรื่องหลักเป็นดราม่าของตัวละครทั้งหลายที่มีสีสันแตกต่างกันไปโดยเน้นหลักที่ประเด็นครอบครัว, บรรยากาศของหนังเลยออกมาในลักษณะเป็นความรู้สึกที่อึมครึมจากการที่ได้เห็นชีวิตพระเอกถูกคนรอบข้างผลักไปทางนู้นที-ทางนี้ทีจนเราอดหงุดหงิดไม่ได้ แต่หนังก็ยังมีช่วงให้พักหายใจสั้นๆด้วยการถ่ายทอดเรื่องราวบนสังเวียนที่ดุดันเป็นครั้งคราว
สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนคิดคือถ้าเราคิดจะดูหนังแบบนี้ให้อินได้ เราต้องมองในบริบทที่มันเป็น 'การใช้ชีวิตในชนบท-บ้านนอก' เสียก่อน
ซึ่งตัวเอกนั้นถูกคาดหวังไว้ให้เป็นฮีโร่ของเมืองเล็กๆ ที่อุดมไปด้วยคำซุบซิบนินทาและเป็นสังคมที่ค่อนข้างปิด ดังนั้นครอบครัวตัวเอกนั้นจึงคุ้นชินกับการ 'ตัดสินใจแทน' ให้มิคกี้จนเป็นนิสัย ซึ่งส่งผลให้ตัวเอกของเราขาดความเด็ดเดี่ยว (indecisive) ไปโดยปริยาย ในอีกมุมหนึ่งด้านคนพี่อย่างดิคกี้นั้นก็ยังจมอยู่กับความสำเร็จในอดีตของตนที่เคยน็อคนักชกมือดีอีกคนได้เมื่อสิบกว่าปีก่อนและไม่สามารถ move on ไปจากจุดนั้นได้จนสุดท้ายก็ตกต่ำด้วยยาเสพติด ดังนั้นหนังจึงเป็นเรื่องราวที่ถ่ายทอดเกี่ยวกับ 'ชีวิตที่บกพร่อง' ของผู้ชายสองคนในจุดยืนเดียวกัน
ถึงแม้หนังจะหนักแน่นกับเส้นเรื่องของตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบได้ดี แต่โดยส่วนตัวยังมีความรู้สึกไม่ค่อยอินกับภาษาหนังของผู้กำกับคนนี้เท่าไหร่จากการที่มันพยายามจะใส่ความขมลงไปในนั้นมากไปจนไม่กลมกล่อมเท่าที่ควร แต่ถ้าพูดถึงหนังดราม่าครอบครัวในยุคหลังที่มีเนื้อเรื่องโทนเดียวกับอย่าง Joy แล้วก็กลับชอบเรื่องนี้มากกว่า อาจจะเป็นเพราะการใส่นักแสดงที่ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้ดีกว่าด้วย (เจน-ลอว ไม่โอเคในเรื่องนั้นมากๆ)
คิดซะว่ามาดูฝีมือของดารามือเก๋าทั้งคู่เล่นดราม่ากันแทนแล้วกัน
หากชื่นชอบรีวิวสามารถติดตามเพจได้ที่
https://www.facebook.com/expensivemovie หรือค้นหาคำว่า "ตั๋วหนังมันแพง" ได้ที่หน้า FB ค
[หนังแผ่นเรื่องที่ 6] The Fighter-สองแกร่งหัวใจเกินร้อย by ตั๋วหนังมันแพง
[หนังแผ่นเรื่องที่ 6] The Fighter-สองแกร่งหัวใจเกินร้อย (David O. Russell, 2010) by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนน : 8/10
เนื้อเรื่องย่อ : ชีวิตจริงของนักชกรุ่นไลต์เวลเตอร์เวต "ไอริช" มิคกี้ วอร์ด (Mark Wahlberg) ผู้ไม่เคยชนะในสังเวียนไหนเลย แม้แต่ในสังเวียนแห่งชีวิต เขาหวังที่จะเอาดีในการเป็นนักมวยมาตลอด และพยายามฮึดสู้อีกครั้ง โดยมีพี่ชายขี้ยาต่างพ่อที่ชื่อ ดิกกี้ เอ็คลันด์ (Christian Bale) เป็นเทรนเนอร์ให้
ยังคงเป็นลายเซ็นต์ของผู้กำกับคนนี้ในการทำหนัง 'ดราม่าขมๆ' ออกมาอยู่ในวิสัยที่พอรับได้ ซึ่งต้องขอเตือนไว้ก่อนเลยว่าใครที่คาดหวังจะได้ดูหนังดราม่าฟีลกู้ดที่จะปลุกแรงบันดาลใจให้ฮึกเหิมตลอดเรื่องนี่ก็คงจะผิดหวังแน่ๆ เพราะจุดขายหนังเรื่องนี้อยู่ที่องค์ประกอบอื่นๆที่ย่อยยากกว่านั้นแทน
เรื่องราวหลักๆจะวนเวียนอยู่รอบๆตัว 'มิคกี้' นักมวยบ้านนอกอันดับล่างๆผู้ไม่เคยจะชนะใครจนได้สมยาว่า 'หินบันได' ที่จะถูกจ้างไปเป็นแท่นให้นักชกคนอื่นเหยียบเพื่อไต่อันดับขึ้นไปนั่นเอง ซึ่งความอาภัพของมิกกี้นั้นก็เกิดมาจากการดูแลที่ไม่มาตรฐานจากครอบครัวของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการผู้เป็นแม่อย่าง 'อลิส' (Melissa Leo) ที่บงการชีวิตมิกกี้ด้วยความไม่เป็นมืออาชีพ เท่านั้นยังไม่พอยังมีเทรนเนอร์เป็นพี่ชายขี้ยาที่เอาแน่เอานอนไม่ได้อย่าง 'ดิกกี้' อีก เรียกได้ว่าเป็นมหกรรมฟักอัพของหน้าที่การงานอย่างแรง
ซึ่งแน่นอนว่าหนังก็จะใช้เรื่องของหมัดมวยเป็นฉากหลัง โดยมีเนื้อเรื่องหลักเป็นดราม่าของตัวละครทั้งหลายที่มีสีสันแตกต่างกันไปโดยเน้นหลักที่ประเด็นครอบครัว, บรรยากาศของหนังเลยออกมาในลักษณะเป็นความรู้สึกที่อึมครึมจากการที่ได้เห็นชีวิตพระเอกถูกคนรอบข้างผลักไปทางนู้นที-ทางนี้ทีจนเราอดหงุดหงิดไม่ได้ แต่หนังก็ยังมีช่วงให้พักหายใจสั้นๆด้วยการถ่ายทอดเรื่องราวบนสังเวียนที่ดุดันเป็นครั้งคราว
สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนคิดคือถ้าเราคิดจะดูหนังแบบนี้ให้อินได้ เราต้องมองในบริบทที่มันเป็น 'การใช้ชีวิตในชนบท-บ้านนอก' เสียก่อน
ซึ่งตัวเอกนั้นถูกคาดหวังไว้ให้เป็นฮีโร่ของเมืองเล็กๆ ที่อุดมไปด้วยคำซุบซิบนินทาและเป็นสังคมที่ค่อนข้างปิด ดังนั้นครอบครัวตัวเอกนั้นจึงคุ้นชินกับการ 'ตัดสินใจแทน' ให้มิคกี้จนเป็นนิสัย ซึ่งส่งผลให้ตัวเอกของเราขาดความเด็ดเดี่ยว (indecisive) ไปโดยปริยาย ในอีกมุมหนึ่งด้านคนพี่อย่างดิคกี้นั้นก็ยังจมอยู่กับความสำเร็จในอดีตของตนที่เคยน็อคนักชกมือดีอีกคนได้เมื่อสิบกว่าปีก่อนและไม่สามารถ move on ไปจากจุดนั้นได้จนสุดท้ายก็ตกต่ำด้วยยาเสพติด ดังนั้นหนังจึงเป็นเรื่องราวที่ถ่ายทอดเกี่ยวกับ 'ชีวิตที่บกพร่อง' ของผู้ชายสองคนในจุดยืนเดียวกัน
ถึงแม้หนังจะหนักแน่นกับเส้นเรื่องของตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบได้ดี แต่โดยส่วนตัวยังมีความรู้สึกไม่ค่อยอินกับภาษาหนังของผู้กำกับคนนี้เท่าไหร่จากการที่มันพยายามจะใส่ความขมลงไปในนั้นมากไปจนไม่กลมกล่อมเท่าที่ควร แต่ถ้าพูดถึงหนังดราม่าครอบครัวในยุคหลังที่มีเนื้อเรื่องโทนเดียวกับอย่าง Joy แล้วก็กลับชอบเรื่องนี้มากกว่า อาจจะเป็นเพราะการใส่นักแสดงที่ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้ดีกว่าด้วย (เจน-ลอว ไม่โอเคในเรื่องนั้นมากๆ)
คิดซะว่ามาดูฝีมือของดารามือเก๋าทั้งคู่เล่นดราม่ากันแทนแล้วกัน
หากชื่นชอบรีวิวสามารถติดตามเพจได้ที่ https://www.facebook.com/expensivemovie หรือค้นหาคำว่า "ตั๋วหนังมันแพง" ได้ที่หน้า FB ค