[เรื่องเล่าจากเวียดนาม ตอนที่ 1 : "ซาปา"]

บังเอิญว่าเมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ปู่ได้ไปเที่ยวทริปเวียดนามมาครับ โดยในทริปนี้ มีสถานที่จะไปหลักๆคือ ฮานอย-ซาปา-ฮาลองเบย์-ฮาลองบก ซึ่งแต่ละเมืองก็มีเรื่องราวมากมายที่อยากจะนำมาเล่าสู่กันฟังครับ แต่ละเรื่องราวก็เป็นมุมมองที่ผมได้สัมผัสมา หวังว่าจะสนุกไปด้วยกันนะครับ
...
สำหรับเรื่องแรกนี้ จะเป็นสถานที่ ที่ผมได้ไปวันแรกมา นั้นคือเมือง “ซาปา” เมืองที่ใครๆหลายคนเล่าว่า บรรยากาศมันเหมือนเราไปเที่ยวยุโรป และยังมีจุดเด่นคือ หมู่บ้านของชาวเขาเผ่าต่างๆ ที่ทำการเกษตรเป็นนาขั้นบันไดอันสวยงาม



การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นจากลงสนามบินที่เมืองฮานอย แล้วกรุ๊ปทัวร์ของผมก็เริ่มต้นทริปด้วยการมุ่งหน้าไปเมือง “ซาปา” กันครับ การเดินทางไปเมืองซาปานั้น สามารถไปได้ 2 ทาง คือทางรถโดยสาร และทางรถไฟ (ซึ่งจะต้องลงที่เมืองเลาไก แล้วต่อรถโดยสารเข้าไปถึงซาปา) คณะของปู่เดินทางตรงจากฮานอย ไปจนถึงซาปาโดยรถบัสขนาด 40 ที่นั่งครับ การเดินทางทางรถ ซึ่งมีระยะทางเพียง 250 กม. นั้น แต่ต้องใช้เวลาถึง 6 ชม. ครับ สำหรับปัจจุบันนี้ถือว่าพัฒนามากกว่าเดิมแล้ว โดยจะมีทางด่วนพิเศษวิ่งตรงจากฮานอยตรงขึ้นไปถึงซาปาเลย แต่บนทางด่วนนั้นจำกัดความเร็วที่แค่ 80-100 กม. ต่อ ชม. เท่านั้นเอง (ซึ่งนี้คือสาเหตุหนึ่งที่ใช้เวลานาน แต่เป็น กม. ของบ้านเขา ที่คนขับรถเกือบทั้งหมด เคร่งครัดมาก) และอีกจุดนึงคือ เมื่อถึงเส้นทางขึ้นเข้า ที่จะเข้าไปยังเมืองซาปานั้น เป็นทางขึ้นเขา วกเวียนขึ้นไป ระยะทางเพียง 30-40 กม. แต่ใช้เวลากว่า 1 ชม. เลยทีเดียวครับ
...
จุดเด่นของการเดินทางในเวียดนามแบบโดยสารรถคือ ตลอดเส้นทางการเดินทางนั้น 2 ข้างทาง จะเต็มไปด้วย ทุ่งนาสีเขียว ที่มองออกไปสบายตา ตลอดเส้นทางครับ (การทำนาที่นี่นั้น สามารถทำได้ถึง 3 ครั้งต่อปี เพราะมีน้ำเยอะเพียงพอต่อการปลูก และจากการสังเกต การทำนาของคนเวียดนามนั้น ไม่ว่าจะเป็นที่ราบ หรือบนเขา เขาก็จะทำกันเป็นขั้นๆ เป็นสเตปเรียงขึ้นไป ไม่ทำแบบพื้นราบชั้นเดียวเหมือนบ้านเรา) การที่วิว 2 ข้างทางเป็นแบบนี้ ทำให้การเดินทางยาวๆ ไม่น่าเบื่อจนเกินไปครับ เพราะมองออกไปดูวิวแล้วเพลินดี ที่สำคัญคือสบายตาดีครับ ไม่อึดอัด



...
เมื่อมาถึงเมืองซาปานั้น ก็จริงอย่างที่เขาว่าครับ ด้วยลักษณะบ้านเมือง ตึก หรือสิ่งก่อสร้างต่างๆ ก็คล้ายกับเราไปยุโรปจริงๆ อาจจะด้วยเมืองนี้ เป็นเมืองตากอากาศของงพวกฝรั่งเศส ตั้งแต่สมัยยึดครองเวียดนามอยู่ ก็เลยทำให้สิ่งก่อสร้างต่างๆ ออกมาในลักษณะนี้



จุดแรกของการท่องเที่ยวเมืองนี้ต้องบอกว่า กกลุ่มของปู่โชคดีมากๆ ที่ได้ไปลองของใหม่กัน นั้นคือ กระเช้าลอยฟ้าที่ยาวที่สุดในโลก (ยาวกว่า 6 กม.) และมีความสูงต่างระดับ จากจุดฐานไปจุดยอด สูงต่างกันถึง 1.5กม. (พ่อแม่พี่น้องครับ ยอดรับเลยว่ากลัว) แต่ยังไงละ มาถึงแล้วก็ต้องลองสิ แต่โปรแกรมนี้ อยู่นอกทริปที่จัดไว้แต่แรก จึงต้องเสียค่าบริการเพิ่ม 1,000บาท ซึ่งทั้งคณะก็เต็มใจ การขึ้นกระเช้าชมวิวนี้ยังไม่มีในโปรแกรมทัวร์อย่างเป็นทางการนะครับ เพราะเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อเดือน กพ. นี้เอง ซึ่งในส่วนของพื้นที่จุดชมวิวด้านบนก็ ยังมีการก่อสร้าง และปรับปรุงสถานที่กันอยู่นะครับ
...
การมาจุดชมวิวกระเช้านี้ เริ่มต้นจากนั่งรถในเมืองขึ้นไปด้านบนเขาเพื่อไปขึ้นจากสถานีฐาน วิวจากสถานีฐานนี้ มองเผินๆ อย่างกับอยู่สวิสเลยครับ (ข้อดีหรือ ข้อเสียของเมืองซาปานี้ คือมีหมอก และเมฆหนาๆ ปกคลุมตลอดเวลา) ทำให้วิวมองไม่คมชัด ได้ได้อารมณ์สลัวๆ เมื่อไปถึงก็ทำการซื้อตั๋ว ราคาต่อคนก็ 600,000 ดอง (1,000 บาท) เมื่อได้ตั๋วแล้ว ก็ไปเข้าคิวเตรียมขึ้นกระเช้ากันครับ
กระเช้าที่นี่จะวนมาเป็นรอบๆนะครับ ตามเวลา ไม่มีการหยุดจอด พอมาถึงสถานีประตูกระเช้าก็จะเปิด แล้วตัวกระเช้าก็จะค่อยๆเคลื่อนตัวช้าๆครับ พวกเราก็ต้องๆทยอยขึ้นไป ซึ่งแต่ละตัวกระเช้า สามารถรับคนได้ถึง 20-30 คนเลยครับ และพอพ้นระยะขึ้น ประตูก็จะปิดลง ความบันเทิงก็เริ่มต้นนะจุดนี้ครับ
เมื่อกระเช้าออกมา วิวที่เห็นคุ้มค่าการเดินทางมากครับ เราจะเห็นนาขั้นบันไดในมุมสูง ซึ่งวิวด้านล่างที่เห็น ก็จะเป็นหมู่บ้านชาวเขาเผ่าต่างๆ ที่เราจะไปเที่ยวันพรุ่งนี้ วันนี้ก็เลยมามองวิวจากมุมสูงก่อน สวยมากครับ นี่ขนาดยังไม่ได้ปลูกข้าวนะครับ ถ้าเป็นช่วงที่ข้าวเต็มรวง ท้องทุ่งเป็นสีทอง ไม่รู้จะสวยขนาดไหน (ช่วงเกี่ยวข้าว เห็นไกด์บอกว่าช่วง กค.-สค. อยากกลับไปอีกครั้งเลย) สเตปของกระเช้า จะเป็นขั้นๆ 5 สเตปครับสเตป 1-3 จะเป็นแนวไม่ชันมาก เพื่อให้ชมวิวสบายๆ แต่สเตประยะ 4-5 โอ้ววว พูดได้เลยว่าชันมากกกกกกกกกก คนกลัวเช่นปู่ เล่นเอาใจหวิวๆไปเหมือนกันครับ จุดนึงสำหรับทริปนี้ ที่ได้ความตื่นเต้นกลับมา คือช่วงสเตป 4 ขึ้นไป ลมแรงมากกกกก ในกระเช้าที่เราขึ้นมา มันก็จะมีหน้าต่างเล็กๆ ซึ่งพวกเราเปิดรับลม ตรงนี้แหละครับ พอขึ้นมาสเตปบน ลมมันแรงมาก แรงจนพัดเขามาให้กระเช้าจนดังวิ้ววววววววว และผลต่อมาคือ กระเช้าโยกครับ โยกแบบแรงตามลมมากเลย เอาทีนี้ทุกคนเริ่มตกใจ เริ่มหาสาเหตุที่กระเช้าแกว่ง ก็เลยสันนิษฐานว่า เพราะช่องหน้าต่างที่เราเปิดรับลมนี่แหละ ก็เลยปิดครับ โอเคแกว่งน้อยลง แต่ก็ยังโยกๆอยู่ ที่นี้ทุกคนนิ่งเลยครับ จากที่ตื่นเต้นๆ เดินไป เดินมา แลกมุมถ่ายรูปกัน กลายเป็นนั่งนิ่งอยู่ประจำที่เลยครับ นิ่งไปจนกระเช้าขึ้นไปถึงสถานียอดเลยครับ...^0^



พอมาถึงสถานียอดทุกคนก็รวมตัวขึ้นมาด้านบนครับ ถ่ายรูปหมู่แล้วก็แยกย้ายไปหามุมถ่ายรูปของใครของมัน ด้านบนนี้ ทางสถานที่ ก็จะสร้างเป็นวัดสวยๆ ให้คนเดินขึ้นบันไดไปถ่ายรูปกัน ซึ่งก็กำลังสร้างอยู่ และมีหลายๆชั้นครับ หลายๆคนก็เดินขึ้นไป แต่ปู่เอง เดินขึ้นไปชั้น2 ถ่ายรูปได้แป๊บเดียว ก็หนีลงมานั่งด้านล่างแล้วครับ เพราะเย็นมากกกกกก ด้วยความที่ขึ้นมาแบบไม่ได้เตรียมพร้อมกัน ไม่รู้ว่าด้านบน จะเย็นมากขนาดนี้ และลมที่แรงมาก ทำให้หลายคนเดินถ่ายรูปสักพักก็เข้ามานั่งด้านในสถานีละ ปู่ก็เช่นกัน อุณหภูมิประมาณ 18-19 แต่ลมนี้สิ โว้ววววววว
หลังจากถ่ายรูป ซึมซับบรรยากาศสักชม. ก็เข้าคิวกลับกันครับ ก็เช่นเดิมครับ เดินขึ้นกระเช้าไปนั่งประจำที่ ความสนุกกลับมาอีกครั้งละครับ จากที่บอกว่าสเตป 4-5 มันชันมาก จังหวะลงนี่ก็เลย เหมือนจังหวะลงของรถไฟเหาะครับ มีลุ้นให้เสียวท้องน้อยเล็กๆ ถึงกลางๆเลยครับ แล้วพวกเราก็นั่งกระเช้าลงมา ฝ่าวิวหมอก และบรรยากาศท้องทุ่งยามเย็น จนลงมาถึงสถานีฐาน แล้วก็ขึ้นรถกลับที่พักคืนนี้ครับ



...
หลังจากกลับถึงที่พัก กินข้าวเย็นเรียบร้อย ก็ถึงเวลาไปเดินเที่ยวดูชีวิตกลางคืนของซาปากันครับ กลางคืนของที่นี่ก็ไม่มีอะไรมาก ถ้าเป็นชาวบ้านทั่วไป เขาก็จะมาตรงลานกิจกรรม หรือสวนสาธารณะ เพื่อออกกำลังกาย เล่นกิจกรรมกัน ส่วนนักท่องเที่ยวก็ทั้งไปกินตามร้านอาหารต่างๆ หรือไปเดินตรงถนนช้อปปิ้งของเมือง ซึ่งบรรยากาศ ก็ไม่ต่างอะไรจากถนนข้าวสารบ้านเราครับ ก็มีร้านขายของที่ส่วนมากจะเป็นกระเป๋าเดินทาง และอุปกรณ์ต่างๆ พวกเครื่องแต่งกาย รองเท้า ทั้งของแท้ ของเกรด AAA อะไรแบบนี้นะครับ 3ยี่ห้อนำเลยก็มี North face /Nike / Addidas ซึ่งราคานั้นก็มีตั้งแต่หลักร้อย ถึงหลักพันครับ ปู่ก็เดินดูบรรยากาศสักพัก ก็กลับครับ เส้นทางสายช้อปปิ้ง นี่ไม่ใช่ทางของปู่จริงๆ (เพราะไม่มีตังค์...55555+)


...
ตื่นเช้าๆๆๆๆ ไปเดินดอยกันครับ สำหรับการไปเดินเยี่ยมชมหมู่บ้านชาวเขานั้น เราก็ใช้เส้นทางลงไปจากในเมืองนั้นแหละครับ นั่งรถไปประมาณ 10 นาที หมู่บ้านที่เราจะไปวันนี้ชื่อ “ก๊าจก๊าจ” ก็เป็นหมู่บ้านชาวเขาเหมือนกับทางบ้านเราครับ แต่จุดขายของที่นี่ คือพื้นที่นาขั้นบันได และวิถีชีวิตแบบชาวเขา
ก่อนเข้าไปในหมู่บ้าน ไกด์ก็บอกว่า เราสามารถซื้อขนมจากหน้าหมู่บ้าน เข้าไปแจกเด็กๆในหมู่บ้านได้ ซึ่งปู่ก็ซื้อเป็นลูกอมนมไป ใส่ถุงพร้อมแจก เอาละพร้อมละ ไปลุยหมู่บ้านกัน บรรยากาศในหมู่บ้าน ก็เป็นหมู่บ้านชาวเขาทั่วไปครับ มีทั้งชาวเขาที่เป็นคนทำงานในหมู่บ้าน และชาวเขาที่เป็นคนไปทำงานในเมือง เช่นเอาของไปขาย หรือไปชวนนักท่องเที่ยว มาเที่ยวในหมู่บ้าน ซึ่งตอนเช้า ช่วงที่ปู่ออกไปเดินเล่นถ่ายรูป ก็มีมาชวนเช่นกัน แต่ก็ปฏิเสธเขาไป
การเดินเข้าไปดูในหมู่บ้าน ก็ทำให้เราได้เห็นวิถีชีวิต ชาวเขาแบบทั่วๆไปครับ ว่าเขาอยู่กันยังไง แต่ละบ้านก็มีทั้ง ทำนากันอย่างเดียว หรือมีเป็นแบบร้านขายของที่ระลึกด้วย เด็กๆก็มีทั้งตัวเล็กๆที่อยู่ตามบ้าน หรือมีเดินมาขายของให้พวกนักท่องเที่ยวด้วย ของที่ขายก็จะเป็นพวกของที่ระลึกทำมือต่างๆนะครับ การเดินชมวิวไปตลอด 2 ข้างทางก็ทั้งถ่ายรูปไป แจกขนมไป มีทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ รวมถึงหมาน้อยในหมู่บ้านด้วย ก็ได้ขนมกันไปคนละนิด คนละหน่อย(เด็กในหมู่บ้าน โตมาคงเบาหวานกิน เพราะใครเข้ามาก็ซื้อขนมมาแจก...55555+) ส่วนวิวในหมู่บ้าน ก็มีทั้งนาขั้นบันได น้ำตกเล็กๆ กังหันวิดน้ำ ซึ่งรวมๆแล้วก็สวยดีครับ ดูสบายตา ติดแค่ว่าช่วงที่ไป น้ำในหมู่บ้านน้อยไปเยอะเลย ทำให้ดูแห้งๆไม่สวยอย่างเต็มที่ การเดินทัวร์รอบหมู่บ้านนี้ จะเป็นทางวันเวย์นะครับ เดินเข้าทาง แล้วออกอีกทาง ใช้เวลาประมาณ ชม. กว่าก็รอบหมู่บ้าน แล้วก็ขึ้นรถ เดินทางกลับเข้าเมือง





...
กลับออกมาจากหมู่บ้าน เราก็มาถึงจุดสุดท้าย แห่งการเที่ยวเมืองซาปา นั้นคือการเดินขึ้นยอดเขาตรงกลางเมือง เพื่อไปชมวิวบนยอดเขาที่เป็นแบบพาโนราม่า การเดินขึ้นเขานี้ เสียค่าใช้จ่ายด้วยนะครับ พอซื้อตั๋วมาก็เข้าไป บนเขามีจุดแวะพักเป็นขั้นๆ มีการทำสวนดอกไม้ เป็นมุมสวยงามให้นักท่องเที่ยวได้มาถ่ายรูปกัน และมีทางเดินเชื่อมขึ้นไปจนถึงจุดที่เป็นศาลาชมวิว บนยอดเขา ซึ่งทั้งทัวร์มีแค่ปู่ และพี่อีกคนที่เดินขึ้น ไปถึงยอดเขาที่จุดชมวิว ส่วนท่านอื่นๆ กระจายกันไปตามจุดพักต่างๆ แต่กว่าปู่จะขึ้นไปถึงจุดชมวิวได้ ก็ต้องบอกครับ หลงไปอีกทาง เพราะป้ายเป็นภาษาเวียดนามอย่างเดียว แต่ก็เป็นการหลงที่คุ้ม เพราะได้ไปเจอเส้นทางลอดถ้ำเล็กๆ  รวมถึงการเดินผ่านช่องหินสวยๆด้วย ก็สนุกดีครับ แถมพอถึงด้านบน วิวที่เห็นถือว่าคุ้มค่าเหนื่อยเลยครับ สุดท้ายด้านบนเขาเจออีกแล้วครับ ลมแรงมาก ศาลาที่เป็นเหล็กมีโยกครับ ถ่ายรูปไปก็ลุ้นไป จะร่วงไหมหว่า...^0^



...
ลงจากเขามา ถ่ายรูปหมู่กันเล็กน้อย หน้าโบสถ์ที่เป็นเหมือนจุดศูนย์กลางของเมือง ก็เตรียมตัวออกเดินทางต่อครับ เพื่อกลับฮานอยแวะพัก 1 คืน แล้วค่อยไปต่อที่ “ฮาลองเบย์” เจอกันเรื่องหน้า จะเป็นเรื่องเล่าจากฮาลองเบย์ครับ ส่วนฮานอย และภาพรวมทริปทั้งหมด เก็บไว้ตอนสุดท้าย ขอบคุณครับ
ปล. ในทริปนี้ มีอีกจุดที่ไปเที่ยวในซาปา ก็คือน้ำตกสีเงินครับซึ่งบอกตรงๆเลยว่า ถ้ายังมีระบุในทริป ก็อย่าเสียเวลาไปเลยครับ มันได้ไม่คุ้มค่าอะไรเลย เนื่องจากตอนนี้ ด้านบนน้ำตกมีการทำเขื่อน เพื่อเลี้ยงปลาแซลมอนไปแล้ว ทำให้ประมาณน้ำที่ไหลลงมาในน้ำตกน้อยมาก ความสวยงามลดลงไปเยอะมากแล้วครับ...^0^
...
ตอนที่ 2 ครับ http://ppantip.com/topic/35085935
ตอนที่ 3 ครับ http://ppantip.com/topic/35132571
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่