ความตั้งใจล้มกลิ้งไม่เป็นท่า!
หลังจากผมใช้ความพยายามหลายต่อหลายครั้งในการปีนฝ่ากำแพงป้อมปราการอันสูงตระหง่านเพื่อมุ่งหน้าไปยังสุดปลายชายหาดของแหลมราชเวช อ่าววงพระจันทร์ สถานที่ตั้งของสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมาที่ถูกกล่าวขานถึงสถาปัตยกรรมอันวิจิตรพิสดารตระการตาจนหลายคนยกย่องว่า ‘งดงามราวเทพนฤมิต’
หากพลิกแฟ้มปูมประวัติเยี่ยมชมเมืองพัทยาก็จะเห็นชื่อผมเซ็นอยู่เต็มหน้าจนต้องขอต่อกระดาษ และเกือบทุกบรรทัดตรงช่องหมายเหตุถูกระบุไว้ด้วยว่ามีความประสงค์อยากเข้าชม ‘ปราสาทสัจธรรม’
เวลาล่วงเลยมาหลายปีกำแพงป้อมปราการก็ยังทำลายความตั้งใจได้ทุกครั้ง โดยเฉพาะความตั้งใจของคนรอบข้างที่มีพลังมหาศาลคอยฉุดรั้งทัดทานไม่ให้ผมปีนขึ้นไป
ปีนไปบนกำแพงค่าเข้าชม 500 บาท!!
วันนี้ผมเดินทางมาพัทยาคนเดียว ไม่ได้ตั้งใจมาเที่ยว แค่จะแวะมาดูสิ่งที่ลงทุนเอาไว้เพื่อหาจุดเปลี่ยนของชีวิต
แต่กว่า 2 ปีแล้วเงินหลักแสนยังถูกแช่นิ่งอยู่ที่เดิม และมันก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า
ความรู้สึกผิดหวังที่ยังหาจุดเปลี่ยนของชีวิตไม่เจอ ตอนนี้ก็ได้แต่เพ้อหาจุดเปลี่ยนของอารมณ์
หนึ่งชั่วโมงถัดมาแบงค์ห้าร้อยหลุดลอยจากมือผมไปอย่างง่ายดายราวต้องมนต์สะกด ความพยายามข้ามผ่านกำแพงของปราสาทสัจธรรมที่รอคอยมานานแสนนานกลับมาสำเร็จจากจุดเริ่มต้นของ ‘ความไม่ตั้งใจ’
จนบางครั้งก็ยากที่จะเข้าใจ ชีวิตบทจะง่ายมันก็ง่าย แต่บางบทบาทกลับแทบเลือดสาดกระเซ็น
“ปราสาทเดินไปตามทางอีก 300 เมตรครับ” พนักงานตรวจบัตรบอกกับผมที่กำลังสอดส่ายสายตามองหาปราสาทขนาดใหญ่ยักษ์ที่มีความสูงจากพื้นถึงยอดประมาณ 100 เมตร แต่ไม่รู้ถูกซ่อนไว้ที่ไหน เพราะจากจุดขายตั๋วที่ไม่มีตึกอะไรมาบดบังกลับมองไม่แม้แต่เงา
สุดท้ายเวลาก็ตอบคำถามทุกอย่าง เมื่อผมเดินมาจนสุดทางเป็นจุดชมวิวของร้านอาหารตั้งอยู่บนเนินเขา มองลงไปเบื้องล่างบริเวณริมหาดราวกับเห็นวิมานปราสาทของเทพยดามาเนรมิตอยู่
ปราสาทไม้ขนาดใหญ่ทรงไทยจัตุรมุขตกแต่งด้วยลวดลายแกะสลักวิจิตรพิสดาร มีฉากหลังเป็นผืนน้ำทะเลสีครามดูงดงามแปลกตา
บางส่วนของปราสาทยังมีโครงเหล็กมีผ้าใบคลุม คนงานเดินกันให้วุ่นเพราะยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างที่ไม่มีใครรู้ว่าจะสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อไหร่ ทั้งๆ ที่ปราสาทแห่งนี้ก็สร้างมานานนมกว่าครึ่งชีวิตคน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2524
มองปราสาทจากมุมบนลงมาไกลๆ ก็ไม่เท่าไหร่ แต่พอได้มาเห็นใกล้ๆ ผมถึงกับทึ่งในความยิ่งใหญ่อลังการ หากจะเรียกเต็มปากว่านี่คือ ‘สิ่งมหัศจรรย์’ ผมก็เชื่อว่าคงไม่มีใครค้าน เพราะทั่วทั้งปราสาทเต็มไปด้วยประติมากรรมไม้แกะสลักเทพเทวดานับพันองค์อยู่แทบทุกจุดทุกมุม ทั้งภายนอกภายในแฝงไว้ด้วยปรัชญาความหมายลึกซึ้งเกินบรรยาย แถมตัวปราสาทยังสร้างตามแบบวิธีโบราณคือใช้การเข้าเดือยตอกสลักเข้าลิ่มโดยไม่พึ่งตะปูซักดอก!
นาทีนี้เงินลงทุน 500 บาทที่เสียดายนักเสียดายหนากลับคุ้มค่าเกินราคา เพราะแลกมาด้วยความสุขมหาศาล ยิ่งมารู้ภายหลังว่าค่าเข้าชมที่จ่ายไปก็นำกลับมาใช้หล่อเลี้ยงซ่อมแซมต่อเติมตัวปราสาทเอง ผมก็ยิ่งรู้สึกดีใจว่าอย่างน้อยก็เป็นส่วนหนึ่งของการสืบสานมรดกของชาติให้ดำรงสืบไป เผื่อลูกหลานจะได้เห็นวันที่มันเสร็จสมบูรณ์จริงๆ ซักที
ผมเพลินกับการเที่ยวชมปราสาทนานนับชั่วโมงจนลืมความทุกข์ใจไปเสียสนิท พอได้มายืนพักตากลมทะเลเย็นสบายอยู่ริมหน้าต่าง มันเลยรู้สึกผ่อนคลายจนอดคิดทบทวนชวนตัวเองคุยไม่ได้
ชีวิตที่ผ่านมาดิ้นรนลงทุนนั่นลงทุนนี่ไปเพื่ออะไร?
ก็อยากมีอิสรภาพทางการเงิน อยากรวย
แล้วรวยไปเพื่ออะไร?
รวยเพื่อจะได้มีความสุขไง
แล้วความสุขของชีวิตล่ะคืออะไร?
คือการได้ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ มีกินมีใช้ มีรถ มีบ้าน ได้ออกไปเที่ยวไปถ่ายรูป ได้เขียนหนังสือ ได้อยู่กับครอบครัว
เงียบ........ไม่มีคำถามต่อ มีแต่คำตอบบอกตัวเอง
ทุกวันนี้ผมก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้วนี่! แล้วจะดิ้นรนค้นหาความรวยไปทำไม!?
ในเมื่อเป้าหมายจริงๆ ของชีวิตคือ ความสุข ไม่ใช่ความรวย!
เส้นทางของไอฟายน้อยสู่ปราสาทสัจธรรม
หมูๆ เลยครับ จากกรุงเทพฯวิ่งเส้นมอเตอร์เวย์มาตามป้ายพัทยาจนสุดทางเลย
ถึงเมืองพัทยาแล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนสุขุมวิท จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าถนนพัทยาเหนือ ตรงไปเจอวงเวียนวนขวาเข้าถนนพัทยา-นาเกลือ
วิ่งตรงต่อไปเล็งป้ายซอยนาเกลือ 12 อยู่ซ้ายมือ (จริงๆ เข้าซอย 16 หรือ 14 ก็ได้ทะลุได้หมด แต่เอาง่ายๆ เลี้ยวน้อยๆ จะได้ไม่งงครับ)
เลี้ยวเข้าซอยนาเกลือ 12 ตรงไปตามทางหลักอย่างเดียว ลัดเลาะไปตามป้ายบอกทางเรื่อยๆ จะเจอทางเข้าปราสาทอยู่ขวามือ รวมระยะทางจากกรุงเทพฯประมาณ 150 กิโลเมตร
ป.ล. หากมีคนรู้จักผมได้อ่านบทความนี้ โปรดอย่าบอกที่บ้านผมนะครับว่าผมแอบมาเที่ยวปราสาทสัจธรรมแล้ว!
[CR] สัจธรรมที่ปราสาท ที่ปราสาทสัจธรรม (จ.ชลบุรี)
หลังจากผมใช้ความพยายามหลายต่อหลายครั้งในการปีนฝ่ากำแพงป้อมปราการอันสูงตระหง่านเพื่อมุ่งหน้าไปยังสุดปลายชายหาดของแหลมราชเวช อ่าววงพระจันทร์ สถานที่ตั้งของสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมาที่ถูกกล่าวขานถึงสถาปัตยกรรมอันวิจิตรพิสดารตระการตาจนหลายคนยกย่องว่า ‘งดงามราวเทพนฤมิต’
หากพลิกแฟ้มปูมประวัติเยี่ยมชมเมืองพัทยาก็จะเห็นชื่อผมเซ็นอยู่เต็มหน้าจนต้องขอต่อกระดาษ และเกือบทุกบรรทัดตรงช่องหมายเหตุถูกระบุไว้ด้วยว่ามีความประสงค์อยากเข้าชม ‘ปราสาทสัจธรรม’
เวลาล่วงเลยมาหลายปีกำแพงป้อมปราการก็ยังทำลายความตั้งใจได้ทุกครั้ง โดยเฉพาะความตั้งใจของคนรอบข้างที่มีพลังมหาศาลคอยฉุดรั้งทัดทานไม่ให้ผมปีนขึ้นไป
ปีนไปบนกำแพงค่าเข้าชม 500 บาท!!
วันนี้ผมเดินทางมาพัทยาคนเดียว ไม่ได้ตั้งใจมาเที่ยว แค่จะแวะมาดูสิ่งที่ลงทุนเอาไว้เพื่อหาจุดเปลี่ยนของชีวิต
แต่กว่า 2 ปีแล้วเงินหลักแสนยังถูกแช่นิ่งอยู่ที่เดิม และมันก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า
ความรู้สึกผิดหวังที่ยังหาจุดเปลี่ยนของชีวิตไม่เจอ ตอนนี้ก็ได้แต่เพ้อหาจุดเปลี่ยนของอารมณ์
หนึ่งชั่วโมงถัดมาแบงค์ห้าร้อยหลุดลอยจากมือผมไปอย่างง่ายดายราวต้องมนต์สะกด ความพยายามข้ามผ่านกำแพงของปราสาทสัจธรรมที่รอคอยมานานแสนนานกลับมาสำเร็จจากจุดเริ่มต้นของ ‘ความไม่ตั้งใจ’
จนบางครั้งก็ยากที่จะเข้าใจ ชีวิตบทจะง่ายมันก็ง่าย แต่บางบทบาทกลับแทบเลือดสาดกระเซ็น
“ปราสาทเดินไปตามทางอีก 300 เมตรครับ” พนักงานตรวจบัตรบอกกับผมที่กำลังสอดส่ายสายตามองหาปราสาทขนาดใหญ่ยักษ์ที่มีความสูงจากพื้นถึงยอดประมาณ 100 เมตร แต่ไม่รู้ถูกซ่อนไว้ที่ไหน เพราะจากจุดขายตั๋วที่ไม่มีตึกอะไรมาบดบังกลับมองไม่แม้แต่เงา
สุดท้ายเวลาก็ตอบคำถามทุกอย่าง เมื่อผมเดินมาจนสุดทางเป็นจุดชมวิวของร้านอาหารตั้งอยู่บนเนินเขา มองลงไปเบื้องล่างบริเวณริมหาดราวกับเห็นวิมานปราสาทของเทพยดามาเนรมิตอยู่
ปราสาทไม้ขนาดใหญ่ทรงไทยจัตุรมุขตกแต่งด้วยลวดลายแกะสลักวิจิตรพิสดาร มีฉากหลังเป็นผืนน้ำทะเลสีครามดูงดงามแปลกตา
บางส่วนของปราสาทยังมีโครงเหล็กมีผ้าใบคลุม คนงานเดินกันให้วุ่นเพราะยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างที่ไม่มีใครรู้ว่าจะสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อไหร่ ทั้งๆ ที่ปราสาทแห่งนี้ก็สร้างมานานนมกว่าครึ่งชีวิตคน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2524
มองปราสาทจากมุมบนลงมาไกลๆ ก็ไม่เท่าไหร่ แต่พอได้มาเห็นใกล้ๆ ผมถึงกับทึ่งในความยิ่งใหญ่อลังการ หากจะเรียกเต็มปากว่านี่คือ ‘สิ่งมหัศจรรย์’ ผมก็เชื่อว่าคงไม่มีใครค้าน เพราะทั่วทั้งปราสาทเต็มไปด้วยประติมากรรมไม้แกะสลักเทพเทวดานับพันองค์อยู่แทบทุกจุดทุกมุม ทั้งภายนอกภายในแฝงไว้ด้วยปรัชญาความหมายลึกซึ้งเกินบรรยาย แถมตัวปราสาทยังสร้างตามแบบวิธีโบราณคือใช้การเข้าเดือยตอกสลักเข้าลิ่มโดยไม่พึ่งตะปูซักดอก!
นาทีนี้เงินลงทุน 500 บาทที่เสียดายนักเสียดายหนากลับคุ้มค่าเกินราคา เพราะแลกมาด้วยความสุขมหาศาล ยิ่งมารู้ภายหลังว่าค่าเข้าชมที่จ่ายไปก็นำกลับมาใช้หล่อเลี้ยงซ่อมแซมต่อเติมตัวปราสาทเอง ผมก็ยิ่งรู้สึกดีใจว่าอย่างน้อยก็เป็นส่วนหนึ่งของการสืบสานมรดกของชาติให้ดำรงสืบไป เผื่อลูกหลานจะได้เห็นวันที่มันเสร็จสมบูรณ์จริงๆ ซักที
ผมเพลินกับการเที่ยวชมปราสาทนานนับชั่วโมงจนลืมความทุกข์ใจไปเสียสนิท พอได้มายืนพักตากลมทะเลเย็นสบายอยู่ริมหน้าต่าง มันเลยรู้สึกผ่อนคลายจนอดคิดทบทวนชวนตัวเองคุยไม่ได้
ชีวิตที่ผ่านมาดิ้นรนลงทุนนั่นลงทุนนี่ไปเพื่ออะไร?
ก็อยากมีอิสรภาพทางการเงิน อยากรวย
แล้วรวยไปเพื่ออะไร?
รวยเพื่อจะได้มีความสุขไง
แล้วความสุขของชีวิตล่ะคืออะไร?
คือการได้ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ มีกินมีใช้ มีรถ มีบ้าน ได้ออกไปเที่ยวไปถ่ายรูป ได้เขียนหนังสือ ได้อยู่กับครอบครัว
เงียบ........ไม่มีคำถามต่อ มีแต่คำตอบบอกตัวเอง
ทุกวันนี้ผมก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้วนี่! แล้วจะดิ้นรนค้นหาความรวยไปทำไม!?
ในเมื่อเป้าหมายจริงๆ ของชีวิตคือ ความสุข ไม่ใช่ความรวย!
เส้นทางของไอฟายน้อยสู่ปราสาทสัจธรรม
หมูๆ เลยครับ จากกรุงเทพฯวิ่งเส้นมอเตอร์เวย์มาตามป้ายพัทยาจนสุดทางเลย
ถึงเมืองพัทยาแล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนสุขุมวิท จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าถนนพัทยาเหนือ ตรงไปเจอวงเวียนวนขวาเข้าถนนพัทยา-นาเกลือ
วิ่งตรงต่อไปเล็งป้ายซอยนาเกลือ 12 อยู่ซ้ายมือ (จริงๆ เข้าซอย 16 หรือ 14 ก็ได้ทะลุได้หมด แต่เอาง่ายๆ เลี้ยวน้อยๆ จะได้ไม่งงครับ)
เลี้ยวเข้าซอยนาเกลือ 12 ตรงไปตามทางหลักอย่างเดียว ลัดเลาะไปตามป้ายบอกทางเรื่อยๆ จะเจอทางเข้าปราสาทอยู่ขวามือ รวมระยะทางจากกรุงเทพฯประมาณ 150 กิโลเมตร
ป.ล. หากมีคนรู้จักผมได้อ่านบทความนี้ โปรดอย่าบอกที่บ้านผมนะครับว่าผมแอบมาเที่ยวปราสาทสัจธรรมแล้ว!
ติดตามเรื่องราวอื่นๆ ของไอฟายน้อยได้ที่
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=ifind