สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 17
หากเราแทนที่จะตำหนิคนอื่นไปเสียทุกเรื่อง โดยไม่ดูตัวเราเองว่า ความผิดพลาดมันเกิดจากตัวเรา หรือคนอื่น มันก็จะแก้ไขไม่ได้และไม่พัฒนา
ความรู้มันไม่ได้ผุดขึ้นมาหรือตรัสรู้ขึ้นมาเอง...บางคนอาจขยันศึกษาหาความรู้เอาเองได้จากอินเตอร์เนต...บางคนอยากเรียนรู้ในบางเรื่องโดยไม่อยากต้องค้นคว้าเอง หรือไม่มีเวลามากพอ หรือรู้ตัวเองดีว่าไม่มีความขยันค้นคว้าไปเรื่อยๆ ลองผิดลองถูกไปเป็นปี ๆ แต่ต้องการกรอบความคิดหรือวิธีคิด ที่ทำให้เราเข้าใจอะไรได้รวดเร็ว และไปได้ถูกทิศทางมากขึ้นในเวลาอันจำกัด จึงต้องหาวิธี ซึ่งเกือบทั้งหมดก็คือถามผู้รู้...
คำว่าผู้รู้ (กูรู ) ...ก็คือ ผู้ที่มีความชำนาญหรือมีประสบการณ์ ในแต่ละเรื่องนั้น เช่น ชาวนา อาจไม่รู้เรื่องปลูกกล้วยไม้ หรือ ปลูกทุเรียน แต่รู้ดีเรื่องการปลูกข้าว... ศัลยแพทย์ หากไปแข่งดำนา ก็คงสู้ ลูกชาวนาจบป 4 ไม่ได้เช่นกัน... ดังนั้น ปัญหามันอยู่ที่เราจะเรียนรู้หรือศึกษาแต่ละเทคนิคแต่ละสาขานั้นๆ ไปเพื่อทำอะไร และเราเรียนรู้จากสิ่งที่กูรู เหล่านั้นสอนได้หรือไม่ และเราทำตามสิ่งที่เรียนรู้มาหรือไม่ ?
หากจะพิจารณาเป็นส่วนๆ เราควรแยกเป็นแต่ละส่วน ๆ ว่า อะไร เป็นตัวกำหนดความสำเร็จกันแน่ ...
1. ความรู้ที่ กูรู นำมาใช้สอนนั้น ยังไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะทำให้ผู้เรียนนำไปใช้ได้จริงในทางปฏิบัติ หรือเทคนิคยังไม่ดีพอ..
2. ผู้เรียน ไม่สามารถรับความรู้ได้ครบถ้วน ตามที่ กูรู นำเสนอไป หรืออาจไม่สามารถเข้าใจได้ตามที่กูรู อธิบาย แต่ไม่ได้ซักถามหรือยังมีความไม่เข้าใจ ติดค้างอยู่ในใจ และยังไม่ได้รับคำตอบในเรื่องนั้นๆ
3 . ผู้เข้าอบรม รู้และเข้าใจในสิ่งที่กูรู สอน แต่ตัวเอง ไม่สามารถปฏิบัติตามคำแนะนำได้เอง ... หรือขาดวินัยเวลาเทรด ..
จะเห็นว่า ปัญหาแรก เกิดจากการเลือก กูรู ผิดคน ..ตรงจุดนี้ เราควรสอบถามจากผู้ที่เคยไปเรียน หรือไปอบรมมาแล้ว หลายๆ คน ว่า เนื้อหา และวิธีสอนนั้น เป็นอย่างไร เป็นเรียนแล้ว เข้าใจ หรือนำมาใช้ได้ไหม และน่าเชื่อถือหรือไม่ คุ้มค่าเรียนหรือไม่ ... ตรงนี้จะตรงจุดและได้ข้อมูลโดยตรงหากเราสามารถสอบถามกับผู้ที่ผ่านการอบรมตรงนั้นมาแล้วได้ ...
ส่วนข้อ 2 . อาจเป็นปัญหาเรื่องความเร็วในการสอน หรือการอธิบายไม่ชัดเจนเพียงพอ หรือพื้นฐานความรู้ของผู้เข้าอบรมแต่ละคนมีไม่เท่ากัน เราอาจมีความรู้ต่ำกว่าคนอื่นๆ เช่น เวลาพูดถึงเส้นค่า EMA ซึ่งคนที่สนใจเรื่องเทคนิคก็คงรู้จักกันดี แต่ก็ยังมีมือใหม่ไม่รู้เรื่องว่า เส้นค่าเฉลี่ยคืออะไร มาจากไหน เป็นต้น..ดังนั้นการเลือกเข้าอบรมจึงควรต้องเลือกคอร์สที่เหมาะสมกับความรู้ และสิ่งที่อยากเรียนรู้ด้วย หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องไปหาเรียนกับคอร์สสอนเฉพาะตัวต่อตัวไป เพื่อที่จะได้สอบถามหรือเรียนได้อย่างละเอียด
ส่วนข้อ 3. ปัญหามันเกิดจากตัวเราเอง ...ขาดวินัย ไม่ทำตามระบบหรือคำแนะนำที่ให้ไว้ ซึ่งปัญหานี้จะเจอบ่อยมากที่สุด เกือบทุกคน เพราะในสถานการณ์จริง เราจะเจอข้อมูล ข่าวสาร และสภาพตลาดทำให้จิตใจไขว้เขว และแหกกฎในที่สุด ... ซึ่งแต่ละคนก็จะต้องอาศัยประสบการณ์และปรับวิธีเอาเอง ว่าจะลดอารมณ์หรือลดจุดอ่อนนี้อย่างไร ...เรื่องนี้ ไม่มีใครช่วยได้ครับ
ผมเจอข้อความ หรือ บทความเปรียบเทียบแบบนี้ว่า เรียนไปมีแต่ผู้สอนรวย ...คนเรียนไม่ได้อะไร ... จริงหรือ ? หากคิดแบบนั้น คุณคงไม่ให้ลูกคุณไปเรียนพิเศษ ไปติว หรือกวดวิชา หรือคุณมองว่า สิ่งเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ ?
ผมอยากให้เรามองถึงสิ่งที่ได้ประโยชน์จากความรู้ที่ต้องการศึกษานั้นว่า เรานำไปใช้ประโยชน์ได้คุ้มค่ากับสิ่งที่เราต้องจ่ายไปหรือเสียไปหรือไม่ มากกว่า จะมาวางกรอบว่า ผู้สอนจะได้เงินจากผู้เรียน ...มันเหมือนกับเราเลือกซื้อ iphone ทำไมราคาก็แพง และมีมือถือยี่ห้องอื่นให้เลือกตั้งมากมาย ....ผู้ซื้อเป็นผู้เลือก และใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่ากับที่ตัวเองจ่ายไป ...ซึ่งคำว่าความคุ้มค่าของแต่ละคน มันก็แตกต่างกันมาก เช่นกัน
ผมเห็นหลายความเห็นเสนอว่า ไม่ต้องไปเรียน หรืออบรมคอร์สพิเศษหรอก เพราะความรู้ทุกอย่างมีในอินเตอร์เนตอยู่แล้ว เอาค่าอบรมไปลองฝึกเทรดลองผิดลองเทรดเองเดี๋ยวก็เก่ง ......ผมก็เคยลองผิดลองถูกมาเป็นสิบปี เช่นกัน ...แต่ขอบอกว่า หากหาคนสอนและแนะนำวิธีทางลัดให้ จะดีกว่าอย่างมาก และไม่ต้องจ่ายค่าโง่หลายแสนหรือเป็นล้าน เพราะหลายคนขาดทุนเป็นแสนเป็นล้าน แต่ก้ไม่ได้มีความรู้อะไรเพิ่มขึ้นมาเลย ไม่รู้ว่าทำไมถึงซื้อที่ตอนนั้น ( ที่ตัวเองมองว่ากำไรแน่ๆ ) แต่ทำไมตอนนี้ถึงขาดทุนป่นปี้ และทำอย่างไรที่เราจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ในการซื้อหุ้นตัวต่อไป ...
ความรู้(วิชชา) มีคุณค่าและเป็นสิ่งที่ดีเสมอ แต่การที่จะได้วิชา จำเป็นต้องมีของแลกเปลี่ยนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเงิน (ค่าอบรม) หรือเวลา ( ศึกษาเอง ) หรือ มิตรภาพ ( เพื่อน ) ซึ่งทำให้ได้ความรู้นั้นมาใช้ ........ความไม่รู้ ( อวิชชา ) ต่างหากที่เป็นสิ่งที่ทำให้เราหลงผิด ยึดติดกับสิ่งที่เพ้อฝัน ไม่ใช่ความจริง และชักนำไปสู่หายนะในที่สุด ....
ผมตอบกระทู้นี้ ไม่ได้ชี้นำให้ไปเรียน หรืออบรม เพียงแต่ให้ข้อคิดว่า ความรู้ ไม่ว่าจะได้มาอย่างไร ก็เป็นประโยชน์ทั้งสิ้น แต่วิธีการได้มา หรือนำไปใช้ของแต่ละคน ก็ขึ้นกับ เวลา ความขยัน และค่าใช้จ่ายที่ลงทุนไป ของแต่ละคนเองที่จะเลือกจ่ายด้วยอะไร บางคนมีเวลาว่างมาก ไม่ได้ทำงานประจำก็อาจมีเวลาค้นคว้าข้อมูลมากหน่อย ก็อาจพบเทคนิค หรือวิธีที่เอาตัวรอดได้แล้ว โดยไม่ต้องไปอบรมที่ไหนเลยก็ได้ แต่บางคนอาจไม่มีเวลาพอที่จะไปศึกษาเอง จึงอยากหาทางลัด หรือวิธีเอาตัวรอดในตลาดหุ้นให้ได้ในเวลาสั้นๆ แค่ 1-2 วัน ว่าจะทำอย่างไร ให้ตัวเองไม่ต้องเสี่ยงแบบคนไม่รู้อะไรเลย เหมือนคนตาบอด เหมือนคนโง่ ที่ซื้อหุ้นตัวไหนแล้วขาดทุนตลอด ไม่รู้จุดซื้อ จุดขาย หรือจะ stoploss อย่างไร ? ส่วนใครจะตัดสินใจอย่างไร แต่ละคนย่อมรู้ความต้องการของตัวเองดี ...และเลือกทำตามที่ตัวเองต้องการ นะครับ...
ความรู้มันไม่ได้ผุดขึ้นมาหรือตรัสรู้ขึ้นมาเอง...บางคนอาจขยันศึกษาหาความรู้เอาเองได้จากอินเตอร์เนต...บางคนอยากเรียนรู้ในบางเรื่องโดยไม่อยากต้องค้นคว้าเอง หรือไม่มีเวลามากพอ หรือรู้ตัวเองดีว่าไม่มีความขยันค้นคว้าไปเรื่อยๆ ลองผิดลองถูกไปเป็นปี ๆ แต่ต้องการกรอบความคิดหรือวิธีคิด ที่ทำให้เราเข้าใจอะไรได้รวดเร็ว และไปได้ถูกทิศทางมากขึ้นในเวลาอันจำกัด จึงต้องหาวิธี ซึ่งเกือบทั้งหมดก็คือถามผู้รู้...
คำว่าผู้รู้ (กูรู ) ...ก็คือ ผู้ที่มีความชำนาญหรือมีประสบการณ์ ในแต่ละเรื่องนั้น เช่น ชาวนา อาจไม่รู้เรื่องปลูกกล้วยไม้ หรือ ปลูกทุเรียน แต่รู้ดีเรื่องการปลูกข้าว... ศัลยแพทย์ หากไปแข่งดำนา ก็คงสู้ ลูกชาวนาจบป 4 ไม่ได้เช่นกัน... ดังนั้น ปัญหามันอยู่ที่เราจะเรียนรู้หรือศึกษาแต่ละเทคนิคแต่ละสาขานั้นๆ ไปเพื่อทำอะไร และเราเรียนรู้จากสิ่งที่กูรู เหล่านั้นสอนได้หรือไม่ และเราทำตามสิ่งที่เรียนรู้มาหรือไม่ ?
หากจะพิจารณาเป็นส่วนๆ เราควรแยกเป็นแต่ละส่วน ๆ ว่า อะไร เป็นตัวกำหนดความสำเร็จกันแน่ ...
1. ความรู้ที่ กูรู นำมาใช้สอนนั้น ยังไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะทำให้ผู้เรียนนำไปใช้ได้จริงในทางปฏิบัติ หรือเทคนิคยังไม่ดีพอ..
2. ผู้เรียน ไม่สามารถรับความรู้ได้ครบถ้วน ตามที่ กูรู นำเสนอไป หรืออาจไม่สามารถเข้าใจได้ตามที่กูรู อธิบาย แต่ไม่ได้ซักถามหรือยังมีความไม่เข้าใจ ติดค้างอยู่ในใจ และยังไม่ได้รับคำตอบในเรื่องนั้นๆ
3 . ผู้เข้าอบรม รู้และเข้าใจในสิ่งที่กูรู สอน แต่ตัวเอง ไม่สามารถปฏิบัติตามคำแนะนำได้เอง ... หรือขาดวินัยเวลาเทรด ..
จะเห็นว่า ปัญหาแรก เกิดจากการเลือก กูรู ผิดคน ..ตรงจุดนี้ เราควรสอบถามจากผู้ที่เคยไปเรียน หรือไปอบรมมาแล้ว หลายๆ คน ว่า เนื้อหา และวิธีสอนนั้น เป็นอย่างไร เป็นเรียนแล้ว เข้าใจ หรือนำมาใช้ได้ไหม และน่าเชื่อถือหรือไม่ คุ้มค่าเรียนหรือไม่ ... ตรงนี้จะตรงจุดและได้ข้อมูลโดยตรงหากเราสามารถสอบถามกับผู้ที่ผ่านการอบรมตรงนั้นมาแล้วได้ ...
ส่วนข้อ 2 . อาจเป็นปัญหาเรื่องความเร็วในการสอน หรือการอธิบายไม่ชัดเจนเพียงพอ หรือพื้นฐานความรู้ของผู้เข้าอบรมแต่ละคนมีไม่เท่ากัน เราอาจมีความรู้ต่ำกว่าคนอื่นๆ เช่น เวลาพูดถึงเส้นค่า EMA ซึ่งคนที่สนใจเรื่องเทคนิคก็คงรู้จักกันดี แต่ก็ยังมีมือใหม่ไม่รู้เรื่องว่า เส้นค่าเฉลี่ยคืออะไร มาจากไหน เป็นต้น..ดังนั้นการเลือกเข้าอบรมจึงควรต้องเลือกคอร์สที่เหมาะสมกับความรู้ และสิ่งที่อยากเรียนรู้ด้วย หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องไปหาเรียนกับคอร์สสอนเฉพาะตัวต่อตัวไป เพื่อที่จะได้สอบถามหรือเรียนได้อย่างละเอียด
ส่วนข้อ 3. ปัญหามันเกิดจากตัวเราเอง ...ขาดวินัย ไม่ทำตามระบบหรือคำแนะนำที่ให้ไว้ ซึ่งปัญหานี้จะเจอบ่อยมากที่สุด เกือบทุกคน เพราะในสถานการณ์จริง เราจะเจอข้อมูล ข่าวสาร และสภาพตลาดทำให้จิตใจไขว้เขว และแหกกฎในที่สุด ... ซึ่งแต่ละคนก็จะต้องอาศัยประสบการณ์และปรับวิธีเอาเอง ว่าจะลดอารมณ์หรือลดจุดอ่อนนี้อย่างไร ...เรื่องนี้ ไม่มีใครช่วยได้ครับ
ผมเจอข้อความ หรือ บทความเปรียบเทียบแบบนี้ว่า เรียนไปมีแต่ผู้สอนรวย ...คนเรียนไม่ได้อะไร ... จริงหรือ ? หากคิดแบบนั้น คุณคงไม่ให้ลูกคุณไปเรียนพิเศษ ไปติว หรือกวดวิชา หรือคุณมองว่า สิ่งเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ ?
ผมอยากให้เรามองถึงสิ่งที่ได้ประโยชน์จากความรู้ที่ต้องการศึกษานั้นว่า เรานำไปใช้ประโยชน์ได้คุ้มค่ากับสิ่งที่เราต้องจ่ายไปหรือเสียไปหรือไม่ มากกว่า จะมาวางกรอบว่า ผู้สอนจะได้เงินจากผู้เรียน ...มันเหมือนกับเราเลือกซื้อ iphone ทำไมราคาก็แพง และมีมือถือยี่ห้องอื่นให้เลือกตั้งมากมาย ....ผู้ซื้อเป็นผู้เลือก และใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่ากับที่ตัวเองจ่ายไป ...ซึ่งคำว่าความคุ้มค่าของแต่ละคน มันก็แตกต่างกันมาก เช่นกัน
ผมเห็นหลายความเห็นเสนอว่า ไม่ต้องไปเรียน หรืออบรมคอร์สพิเศษหรอก เพราะความรู้ทุกอย่างมีในอินเตอร์เนตอยู่แล้ว เอาค่าอบรมไปลองฝึกเทรดลองผิดลองเทรดเองเดี๋ยวก็เก่ง ......ผมก็เคยลองผิดลองถูกมาเป็นสิบปี เช่นกัน ...แต่ขอบอกว่า หากหาคนสอนและแนะนำวิธีทางลัดให้ จะดีกว่าอย่างมาก และไม่ต้องจ่ายค่าโง่หลายแสนหรือเป็นล้าน เพราะหลายคนขาดทุนเป็นแสนเป็นล้าน แต่ก้ไม่ได้มีความรู้อะไรเพิ่มขึ้นมาเลย ไม่รู้ว่าทำไมถึงซื้อที่ตอนนั้น ( ที่ตัวเองมองว่ากำไรแน่ๆ ) แต่ทำไมตอนนี้ถึงขาดทุนป่นปี้ และทำอย่างไรที่เราจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ในการซื้อหุ้นตัวต่อไป ...
ความรู้(วิชชา) มีคุณค่าและเป็นสิ่งที่ดีเสมอ แต่การที่จะได้วิชา จำเป็นต้องมีของแลกเปลี่ยนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเงิน (ค่าอบรม) หรือเวลา ( ศึกษาเอง ) หรือ มิตรภาพ ( เพื่อน ) ซึ่งทำให้ได้ความรู้นั้นมาใช้ ........ความไม่รู้ ( อวิชชา ) ต่างหากที่เป็นสิ่งที่ทำให้เราหลงผิด ยึดติดกับสิ่งที่เพ้อฝัน ไม่ใช่ความจริง และชักนำไปสู่หายนะในที่สุด ....
ผมตอบกระทู้นี้ ไม่ได้ชี้นำให้ไปเรียน หรืออบรม เพียงแต่ให้ข้อคิดว่า ความรู้ ไม่ว่าจะได้มาอย่างไร ก็เป็นประโยชน์ทั้งสิ้น แต่วิธีการได้มา หรือนำไปใช้ของแต่ละคน ก็ขึ้นกับ เวลา ความขยัน และค่าใช้จ่ายที่ลงทุนไป ของแต่ละคนเองที่จะเลือกจ่ายด้วยอะไร บางคนมีเวลาว่างมาก ไม่ได้ทำงานประจำก็อาจมีเวลาค้นคว้าข้อมูลมากหน่อย ก็อาจพบเทคนิค หรือวิธีที่เอาตัวรอดได้แล้ว โดยไม่ต้องไปอบรมที่ไหนเลยก็ได้ แต่บางคนอาจไม่มีเวลาพอที่จะไปศึกษาเอง จึงอยากหาทางลัด หรือวิธีเอาตัวรอดในตลาดหุ้นให้ได้ในเวลาสั้นๆ แค่ 1-2 วัน ว่าจะทำอย่างไร ให้ตัวเองไม่ต้องเสี่ยงแบบคนไม่รู้อะไรเลย เหมือนคนตาบอด เหมือนคนโง่ ที่ซื้อหุ้นตัวไหนแล้วขาดทุนตลอด ไม่รู้จุดซื้อ จุดขาย หรือจะ stoploss อย่างไร ? ส่วนใครจะตัดสินใจอย่างไร แต่ละคนย่อมรู้ความต้องการของตัวเองดี ...และเลือกทำตามที่ตัวเองต้องการ นะครับ...
ความคิดเห็นที่ 19
มันเป็นช่องว่างในการหาเงินครับ
มันไม่เหมือนขายของ คุณซื้อ คุณจ่าย ได้สินค้าแน่ ๆ
สินค้าพัง เสียหายมาก่อน ไม่ได้มาตรฐาน คุณมีสิทธิ์เรียกร้องได้
แต่พวกสัมมนานี่ เขาจะอ้างว่าคุณได้ความรู้ คุณสำเร็จไม่สำเร็จเรื่องของคุณ
ถ้าคุณเก่งหรือโชคดี คุณสำเร็จ เขาก็เอาเครดิตคุณไปอ้างต่อ ไปขายให้คนมาสัมมนาต่อ
ถ้าคุณล้มเหลว เขาก็บอกว่าคุณไม่เก่งเอง พลาดเอง
ผมเห็นบางกลุ่มในเฟซ มีคนเข้ามาหลอกคนไปสัมมนาตลอด เนื้อหาก็โอเว่อร์มาก
(ขอไม่ระบุ เพราะถ้าระบุปุ๊บ จะรู้ตัวทันที)
ลองเอาประวัติคนจัดสัมมนาไปหาข้อมูล ประวัติก็เจือจางเบาบาง ไม่น่าเชื่อถือเลย
แต่มาโฆษณาจัดสัมมนาทุกเดือน หาทางดูดเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง
(ผมคำนวณเล่น ๆ ถ้าคนสมัครเต็ม เขาได้กำไรเป็นแสน ๆ ทุกเดือน)
ึคือ มันก็เป็นแนวทางหากินแบบนึงสีเทา ๆ ที่ไม่สามารถวัดค่าอะไรได้เลย
คนที่จ่ายก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะได้ความรู้คุ้มค่าไปต่อยอดอะไรเสมอไป
ตรวจสอบไม่ได้ ไม่ได้มีมาตรฐานอะไรมาวัด แต่ที่แน่ ๆ คือ คนจัดสัมมนาเขาได้เงินเข้ากระเป๋าไปแล้ว
ต่อให้ผู้เข้าร่วมสัมมนารู้สึกเข้าไปอบรมแล้วไม่ได้อะไรเลย หรือรู้สึกว่าไม่คุ้มค่าเลย เขาก็ไม่มีทางคืนเงินให้คุณแน่ ๆ
ไม่ได้บอกว่าสัมมนาไม่ดีนะ ที่ดี ๆ ก็มี แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นเป็นสัมมนาผี ไม่ได้มีมาตรฐานอะไร
แล้วก็ปล่อยให้ทำกันต่อไป เพราะมันเป็นสีเทา จะหลอกหรือไม่หลอก เราก็ตรวจสอบไม่ได้อยู่ดี
มันไม่เหมือนขายของ คุณซื้อ คุณจ่าย ได้สินค้าแน่ ๆ
สินค้าพัง เสียหายมาก่อน ไม่ได้มาตรฐาน คุณมีสิทธิ์เรียกร้องได้
แต่พวกสัมมนานี่ เขาจะอ้างว่าคุณได้ความรู้ คุณสำเร็จไม่สำเร็จเรื่องของคุณ
ถ้าคุณเก่งหรือโชคดี คุณสำเร็จ เขาก็เอาเครดิตคุณไปอ้างต่อ ไปขายให้คนมาสัมมนาต่อ
ถ้าคุณล้มเหลว เขาก็บอกว่าคุณไม่เก่งเอง พลาดเอง
ผมเห็นบางกลุ่มในเฟซ มีคนเข้ามาหลอกคนไปสัมมนาตลอด เนื้อหาก็โอเว่อร์มาก
(ขอไม่ระบุ เพราะถ้าระบุปุ๊บ จะรู้ตัวทันที)
ลองเอาประวัติคนจัดสัมมนาไปหาข้อมูล ประวัติก็เจือจางเบาบาง ไม่น่าเชื่อถือเลย
แต่มาโฆษณาจัดสัมมนาทุกเดือน หาทางดูดเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง
(ผมคำนวณเล่น ๆ ถ้าคนสมัครเต็ม เขาได้กำไรเป็นแสน ๆ ทุกเดือน)
ึคือ มันก็เป็นแนวทางหากินแบบนึงสีเทา ๆ ที่ไม่สามารถวัดค่าอะไรได้เลย
คนที่จ่ายก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะได้ความรู้คุ้มค่าไปต่อยอดอะไรเสมอไป
ตรวจสอบไม่ได้ ไม่ได้มีมาตรฐานอะไรมาวัด แต่ที่แน่ ๆ คือ คนจัดสัมมนาเขาได้เงินเข้ากระเป๋าไปแล้ว
ต่อให้ผู้เข้าร่วมสัมมนารู้สึกเข้าไปอบรมแล้วไม่ได้อะไรเลย หรือรู้สึกว่าไม่คุ้มค่าเลย เขาก็ไม่มีทางคืนเงินให้คุณแน่ ๆ
ไม่ได้บอกว่าสัมมนาไม่ดีนะ ที่ดี ๆ ก็มี แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นเป็นสัมมนาผี ไม่ได้มีมาตรฐานอะไร
แล้วก็ปล่อยให้ทำกันต่อไป เพราะมันเป็นสีเทา จะหลอกหรือไม่หลอก เราก็ตรวจสอบไม่ได้อยู่ดี
แสดงความคิดเห็น
เคยคิดไหม พวก สัมมนาร้อยล้าน ตกลงใครกันแน่ที่รวยขึ้น
ในยุคที่ใครๆก็อยากจะรวยนั้น สิ่งที่เห็นได้ชัดเลยว่า จะมักูรู หรือ โค้ช เกิดขึ้นมามากมาย โดยอาศัย ความอยากมี อยากได้ อยากรวย และ ความไม่รู้จักพอของคน มาหาผลประโยชน์ แรกๆเขาก็จะพยายามปั้นตัวเอง ให้เป็นที่รู้จักก่อน โดยใช้คำพูดสวยๆหล่อๆ เพื่อให้คนสนใจ และ อยากติดตาม ซึ่ง ยุคนี้ ก็คงจะเป็นการใช้โซเซียลนั่นแหล่ะ บางคนอาจจะลงทุนไปจ้างช่างภาพ แต่งตัวให้ดูมีระดับ ใส่สูตร ถ่ายรูปแอ็คอาร์ต ให้ดูเท่ห์ จะได้ดูมีความน่าเชื่อถือ ก็คงจะเป็นธรรมดาของสังคม วัตถุนิยมไปแล้วหล่ะมั้ง ที่มักจะมองคนจากภายนอก ลองถ้าใส่แตะ เสื้อคอกลมสิ ใครเขาจะมาสนใจ
แล้วทีนี้ กูรู หรือ โค้ช มันมีอะไรบ้างหล่ะ ส่วนมากก็จะเกี่ยวกับเรื่อง รวยๆ เงินๆทองๆ นั่นแหล่ะ ซึ่งเท่าที่เห็นก็จะมี ประมาณนี้ เช่น
1.รวยร้อยล้านด้วยการนำเข้าสินค้า จาก ประเทศ xxx :: กูรูแนวๆนี้ เขาจะเปิดให้คนเข้าไปเรียนฟรีก่อน (แค่วันเดียว ไม่กี่ชม)แนะนำตัว พร้อมพูดโปรยด้วยคำสวยหรู อาจจะเช่น เคยเป็นนักขายบน เว็ป อี โบ้ย ระดับ power seller รูปดาวสีทอง ซึ่งเขาอาจจะเคยเป็นมาจริงๆ ก็ได้ หรือ ไม่ก็อาจจะอุปโลกขึ้นมา แน่นอน ก็คงจะไม่มีใครไปตรวจสอบ หรือ ขอดูหรอกว่า เขาได้มาจริงๆหรือเปล่า แล้วระหว่างที่พูดไป เขาก้จะค่อยๆเอา ตัวอย่าง มาบิ้วให้คนเกิดความอยาก เสียเงินค่าคอร์ส มากขึ้น อาจจะเป็นการโชว์หน้าสมุดบัญชี (โชว์แค่ตัวเลขนะ ไม่ใช่หน้าแรกที่มี่ชื่อ) จากนั้น เขาก็จะพูดแบบกั๊กๆ ไปสักพัก พอท้ายๆ ก็จะเริ่มเสนอคอร์ส ว่ามีโปรพิเศษ เฉพาะวันนี้เท่านั้น เช่น สมมติ ค่าคอาร์ส 50,000 บาท เขาก็จะเสนอราคามาว่า ปกติ 5 หมื่น สมัครวันนี้ พร้อมเพื่อนอีก 3 คน ลดเหลือ 30,000 บาท เท่านั้น สุดท้ายก็อย่างที่เห็น คนเดินออก เกือบหมด มีส่วนน้อยที่หลงเชื่อ เสียตังค์ไปเรียน แค่สองวัน จบ
2.รวยพันล้านด้วยอสังหา :: กูรูด้านอสังหา นี่ก็เช่นกัน แรกๆก็จะออกมาเป็นหนังสือก่อน โดยพูดนิดๆหน่อยๆ แล้วก็โปรโมทไปเรื่อยๆ แล้วพอติดตลาด หรือ เป็นที่รู้จัก เขาก็จะพยายามนำเสนอ เกี่ยวกับ การสร้าง passive โดยการสร้าง อพาร์ทเม้นต์ ให้เช่า ซึ่งถ้าดูเวลาเขาพูด นำเสนอตัวเอง เขาก็มักจะพูดแค่ประมาณนี้ ให้มันดูยังสวยหรู และดูรวยง่าย จากนั้นก็จะชวนคนไปลงเรียนคอร์ส เสียเป็นหลายหมื่น (วันเดียวจบ) คนก็กลับไปแบบ โหย สงสัยรวยแน่ๆแล้วเรางานนี้ แต่ในความเป็นจริงนั้น ขั้นตอนต่างๆใช้เงินเยอะมากๆ ยิ่งถ้าไม่มีเงินทุนจำนวนนึง หรือ หลักทรัพย์มาค้ำ ก็ยากที่จะเสนอเรื่องกู้ สร้างตึก แล้วไหนจะเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆมากมายอีก ไม่ว่าจะค่าประเมินราคาที่ดิน ค่ารางวัด จ้างผู้รับเหมา ซื้อวัสดุอิฐ หิน ปูน ทราย ค่าจ้างคนงาน ยิ่งถ้าไม่ได้ที่ดินทำเลดีๆ ก็เสี่ยงสูงที่จะล้มเหลวอีก อาจจะหมดตัวไปเลยก็ได้ เพราะชีวิตที่เหลือ ต้องอยู่ใช้หนี้ กับ ตึกที่ไม่มีคนมาเช่า ประจำ
3.โค้ชพัฒนาชีวิต :: กูรูด้านนี้ จะมาในเชิง การสร้างพลังใจ หรือ แก้ปมในชีวิต เพื่อที่จะทะยานพาตัวเองไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ รำรวยได้ โดยการพูดสวยหรู แต่เขาจะมีความสามารถสูง ในการเข้าถึงคน โดยอาจจะพูดดีๆ โอบกอด ปลอบใจต่างๆ สาระพัด เพื่อให้ คนที่เสียเงินหลายหมื่น มาสัมมนากับเขานั้น รู้สึกดีต่อตัวเองมากขึ้น แน่นอนว่า คนส่วนใหญ่ก็มีปัญหาจิตใจกันมาก ไม่ว่าจะยากดีมีจน แต่สุดท้าย คนที่จะไปอบอรม กับ คอร์ส เหล่านีได้ ก็ไม่พ้น ลูกเศรษฐี ที่ยินดี เสียเงิน ให้กับ โค้ชพวกนี้ สุดท้าย เขาก็จะบอกว่า จะต้องมาอบรมเรื่อยๆ เพราะชีวิต จะต้องพัฒนาตลอด สุดท้ายกลายเป็นว่า จะต้องเสียเงินจำนวนมากมายเรื่อยๆ เพื่อไปฟัง คำพูดให้รู้สึกดีแปปนึงเท่านั้น แทนที่จะหาสาเหตุ ว่า จริงๆแล้ว ที่เราเป็นทุกข์ มันเพราะอะไรแน่
4.กูรูเซียนหุ้นพันล้าน :: คอร์ส สัมมนา เกี่ยวกับ หุ้นนี่ ก็เยอะแยะเหลือเกิน อาจจะด้วยว่า ใช้เงินลงทุนน้อยกว่า อสังหาหล่ะมั้ง มันก็เลยเข้าถึงคนได้ง่าย ซึ่งคอร์สพวกนี้ ก็จะแบ่งเป้น การเรียนวิเคราะห์หุ้น ขั้นพื้นฐาน และ เทคนิคนั่นแหล่ะ แต่ส่วนมาก มักจะเน้นไปทางเทคนิคมากกว่า เหตุผลก็เพราะ มันทำให้เกิดการซื้อขายบ่อย กว่า การดูพื้นฐาน สุดท้ายก็ไม่พ้น การคาดการณ์แนวโน้ม (เดานั่นแหล่ะ) จากอินดิเคเตอร์ต่างๆ ไม่ว่าจะ macd rsi volume คาดการณ์ราคา ซึ่งโดยมากมักจะเป็น การเล่น พวก tfex forex มากกว่า เพราะมันได้เงินเร็วกว่า ที่จะรอผลประกอบการหุ้น แน่นอนว่า ช้าเกินไป เผลอๆ ถึงเวลานั้น ก็อาจจะไม่ได้ราคาขึ้น อย่างที่คาดหวังไว้ก็ได้ คนก็เลยนิยมมาเทรด แทน เพียงแต่ขอให้ได้กำไรมากกว่าขาดทุนเป็นใช้ได้ ซึ่งคอร์ส พวกกูรูด้านเทคนิคนี้ก็มีมากมาย บ้างโบรกอาจจะเป็นคนจัดเอง แล้วก็เก็บเงินเพิ่มจากลูกบ้าง หรือ ไม่ก็ถ้าปั้นกูรูขึ้นมาติดตลาดแล้ว ก็อาจจะเรียกเก็บค่าคอร์ส หลายหมื่น วันเดียวจบก็ได้ แต่ส่วนมากเทรดเขาไม่ได้กำไรหรอก เพราะไม่มีใครรู้อนาคต แต่พวกที่ได้เงินแน่ๆ ก็ไม่พ้น กูรู หุ้นสู่วันพรุ่งนี้ไง
5.โค้ชวางแผนการเงิน :: โค้ชวาแผงนการเงิน ก็จะเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจาก คนจะเริ่มสนใจเรื่องนี้ เนื่องจาก สังคมไทย เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว ซึ่งเนื้อหาก็คงไม่พ้นการให้ตระหนัก ถึงเรื่องการเก็บเงิน หรือ วางแผนชีวิต ช่วงสุดท้ายของชีวิตนั่นแหล่ะ แล้วก็จะแนะนำให้หารายได้หลายๆทาง (แต่ทำจริงก็ทำกันไม่ได้หรอก ทุกวันนี้คนมันแย่งกันกินใช้นะ ไม่ว่าจะแย่งกันสมัครเข้าองค์กร แย่งกันขายของ) แล้วก็สอนการวางแผน ผ่อนรถ ผ่อนคอนโด ซึ่งจริงๆ มันก็เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ น่าจะพอรู้อยู่แล้ว ว่ากินใช้ ก็ควรจะประหยัด ถ้าหาไม่เก่ง ก็ควรจะประหยัดค่าใช้จายให้มากขึ้น อย่าไปติดเที่ยว เสพสุข ช่วงเทศกาล มาก แล้วก็ไม่ต้องบ้าอัพรูปลงโซเซียลบ่อย เพราะมันจะเปลืองเน็ต มือถือ และก็ไม่พ้น จะต้องเสียค่าบริการมากขึ้นด้วย ซึ่งคอร์สวางแผนการเงิน มันก็มีมาเรื่อยๆ นั่นแหล่ะ บางเจ้าก็เก็บหลายหมื่น บางเจ้าก็เก็บหลายพัน เอาเป็นว่า ถ้าอยากเรียนกับใคร และ พอจ่ายไหว ก็เรียนไป
ทั้ง 5 ข้อ ที่ยกมาทั้งหมดนั้น เพียงแค่อยากจะเตือนสติ อย่าไปตกเป็นทาส ของความอยากมี อยากได้ อยากรวย จนต้องเสียเงินทอง ที่หาจะยากเย็น หรือ ต้องเสียสมบัติ ที่มีน้อยนิด หมดไปกับ กูรู พวกนั้น แต่ตัวเองกลับต้องลำบาก จนลง มากกว่าเดิม สำคัญคือ จะต้องดำรง ชีวิต ด้วยความมีสติ พอใจสิ่งที่มี อย่าคาดหวังกับอะไรในชีวิตมาก ที่โลกทุกวันนี้วุ่นวาย ก็เพราะคนไม่รู้จักพอ คนส่วนใหญ่มองกันที่ผลประโยชน์จะได้รับ ซึ่งไม่ใช่คุณค่าที่แท้จริง ของการมีชีวิต การมีชีวิตที่แท้จริงนั้น ก็คือ การมีชีวิต เพื่อผู้อื่น
เพราะถ้าหากคนมีเงินเยอะ มากมาย ทำไมเขาถึงไม่มีความสุขจริงๆหล่ะ
ทำไมคนรอบๆคนเหล่านี้ ถึงมักจะหาจริงใจไม่ได้สักคน
ลองไปคิดดูนะว่าจริงไหม
แล้วก็ขอร้องนะว่า เวลาได้ยินได้ฟังใครยกตัวอย่าง ไม่ว่าจะเจ้าสัว คนรวย หรือ วัยรุ่นพันล้าน อาเสี่ย เถ้าแก่ใหญ่ ทั้งหลาย
ก็ขอให้พิจารณาให้ละเอียดมากๆด้วย ไม่ใช่ เวลาเขาโปรโมทใครขึ้นมาหน่อย โดยเฉพาะวัยรุ่นพันล้านเนี่ย สำเร็จรวยตั้งแต่
อายุเกือบๆ 20 ก็หือฮา หลงเชื่อ อยากจะมี อยากจะทำได้แบบเขา โดยหลงลืมดูความจริงไปเลยว่า การที่คนจะร่ำรวย
รวดเร็วได้ มันจะต้องมีปัจจัยหลายๆอย่างประกอบกัน ไม่ใช่แบบ พอเห็นว่ารวย เขาพูดอะไรหน่อยก็เชื่อหมด
ลองไปดูประวัติคนพวกนี้ให้ดีๆ คนรวยที่พวกท่านชอบยกมา บางคนก็ได้รับการศึกษามาอย่างดี แล้วก็มีกิจการใหญ่โต
รอให้สานต่ออยู่แล้ว เพียงแต่สมัยก่อน มันยังไม่แข่งขันรุนแรงเท่าสมัยนี้ ขณะที่ บางคนสมัยนี้ ปากก็บอกใช้หนี้ให้ที่บ้านพันล้าน
ปรากฎถ้าดูดีๆ คือ เขาแค่แบ่งที่ดินจากที่บ้านมาขาย หรือ พูดง่ายๆ บ้านรวยอยู่แล้ว ลองถ้าจนๆสิ ชีวิตเรียกได้ว่า ลืมตาอ้างปาก
ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ บ้างก็บอกตัวเองมีวิสัยทัศน์ คิดบวก เลยมีวันนี้ แต่ไปๆมาๆ อ่าว กลายเป็นว่า โกงญาติมา จนตัวเองรวยก็มี
แล้วที่น่าสังเกตคือ คนรวยๆ ที่พวกท่าน ชอบยกตัวอย่างมา เขาจะทำอะไรให้สังคมบ้าง (CSR) เพราะไม่งั้นจะถูกด่าไงหล่ะ
เก่งแต่กอบโกย มอบเมา กระตุ้นให้คนละโมภ โลภมาก แต่ไม่ทำอะไรให้สังคม ก็เลยทำให้ถูกด่าน้อยลงไป
แต่ก็ยังดีกว่า พวกที่ไม่ได้ช่วยอะไรใครเลย
สิ่งที่ว่ามาทั้งหมด ในกระทู้นี้ คือ สิ่งที่เกิดขึ้นจริง และ อยากจะเตือนหลายๆคนให้มีสติ
ยังไง ถ้าคิดว่า เนื้อหาในกระทู้นี้ ไม่มีประโยชน์ ก็ขอให้ลืมๆไปซะ ไปอ่านในสิ่งที่ถูกใจ ชอบใจก็แล้วกัน
แต่ถ้าหาก คิดว่า เนื้อหาในกระทู้ พอมีสาระ เป็นประโยชน์ให้แง่คิดที่ดี ก็ลองเอาไปปรับใช้ดู
ใครที่สนใจอ่านข้อคิด คำคม ข้อความต่างๆ ตามความเป็นจริง (แบบเนื้อหาข้างต้น)
ก็สามารถ เข้ามาอ่าน พูดคุย เกี่ยวกับ ความจริงชีวิต ได้ตาม เครดิตด้านล่าง
เครดิตที่มา [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ยังไงก็ขอย้ำอีกครั้ง จงใช้ชีวิตอย่างมีสติ อย่าปล่อยให้ความโลภ อยากมี อยากได้ อยากเป็นเข้าครอบงำ
จนทำให้ คนบางกลุ่ม เข้ามาหาผลประโยชน์ จากทรัพย์สิน เงินทอง ที่มีอยู่ ไม่ได้มากมายอะไร หมดไปกับการ
เสียเงินจำนวนหลายแสน เข้าไปฟัง คำพูดสวยหรู แล้วก็กลับไปฝันต่อ แล้วเขาก็จะเสนอคอร์ส ต่อไปเรื่อยๆ
แล้วก็อย่าลืมว่า ต้นทุนแต่ละคน มันมีไม่เท่ากัน ท่านอาจจะคิดว่า ท่านขาดโอกาส แต่ก็อย่าลืมว่า ยังมีอีกหลายคน
ที่ชีวิตยังย่ำแย่กว่าท่าน อยู่อีกเยอะมาก บ้างก็ไม่มีที่อยู่ บ้างก็ไม่มีอาหารเล็กๆน้อยๆทาน ยังไงหากใครมีความรู้
หรือ พอแนะนำอะไร ให้กันได้ แม้เล็กๆน้อยๆ ก็ช่วยกันเถอะ อย่างน้อย สังคมฟอนเฟะ มันจะได้พอมีสิ่งดีๆอยู่บ้าง