เรื่องราวการต่อสู้ระหว่างผู้ยึดมั่นในความยุติธรรมทั้งสองขั้วยังเพิ่งเริ่มต้น และในภาค
the Last name นี้ก็จะเป็นการสรุปเรื่องราวทั้งหมด
อ่านสรุปภาคแรกได้ที่นี่
*****ย้ำให้รู้ว่าสปอยล์แหลกเลยล่ะจ้า*****
อามาเนะ มิสะ ไอดอลชื่อดัง กำลังวิ่งหนีผู้ช่วยผู้กำกับที่เธอได้ร่วมงานด้วย เพราะเขาหวังที่จะฆ่าเธอ ในขณะที่กำลังจวนตัว คนร้ายก็หัวใจล้มเหลวเสียชีวิต พร้อมๆ กับที่มีเดธโน้ตอีกเล่มหนึ่งตกลงมาใกล้ๆ ร่างของคนร้าย ทันทีที่มิสะสัมผัสกับบันทึก เธอก็ได้เห็นยมทูตสีขาวที่ชื่อว่า
เร็ม
เร็มมาแจ้งให้มิสะรู้ว่าเธอได้รับการต่ออายุขัยโดยการช่วยเหลือของ
เจลัส ยมทูตที่หลงรักมิสะอย่างหมดหัวใจ จึงยอมสละชีวิตของตนให้ และเร็มก็รับหน้าที่คอยดูแลมิสะตามคำสั่งเสียของเจลัส
เร็มเล่าเรื่องราวที่เจลัสช่วยชีวิตมิสะเอาไว้ให้เธอฟัง
ไลท์และกองสืบสวนคดีคิระเข้าร่วมในพิธีศพของชิโอริ ที่นั่นไลท์ได้ขออนุญาตพ่อว่าจะขอเข้าร่วมสืบคดีคิระด้วย เพื่อแก้แค้นให้คนรัก (ที่ถูกฆ่าตายด้วยแผนของตัวเอง) ซึ่งระหว่างนั้น ไลท์จะอาศัยจังหวะค้นหาชื่อจริงของแอลและกำจัดทิ้งเสีย
ไลท์เคารพศพชิโอริที่ถูกตัวเองฆ่าตายไป
ยางามิ ซายุ น้องสาวของไลท์ ไปร่วมงานฉลองของสถานีโทรทัศน์ซากุระกับเพื่อน และในงานนั้นเอง คิระอีกคนหนึ่งก็ได้ออกแถลงการณ์ว่าต้องการเข้าร่วมอุดมการณ์สร้างโลกใหม่ด้วย และได้ลงมือฆ่าผู้ที่ไม่เห็นด้วยออกสื่ออย่างโหดเหี้ยม
โมงิ หนึ่งในกองสืบสวนฯ ซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุที่สุดก็รีบรุดไปยังที่นั่นเพื่อยับยั้งสถานการณ์
แต่ก็พลาดท่าถูก
คิระคนที่สองพิพากษาไปอีกคน เมื่อโซอิจิโร่เห็นดังนั้น ก็อำพรางใบหน้าและขับรถตู้ไปยังที่เกิดเหตุ ซึ่งเขาก็สามารถระงับเหตุการณ์ทั้งหมดลงและช่วยซายุได้สำเร็จ จากนั้นไม่นาน ไลท์ก็ตามมาสมทบ ทั้งสามคนเข้าไปในตัวอาคารของสถานี เป็นจังหวะเดียวกับที่มิสะ (คิระคนที่สอง) ออกมาจากห้องพักพอดี และเนื่องจากเธอมี
ดวงตายมทูต จึงรู้ในทันทีว่าไลท์คือคิระ คนที่ตนบูชาเหนือสิ่งอื่นใด (ดวงตายมทูตจะมองไม่เห็นอายุขัยของผู้ที่ถือครองเดธโน้ต)
คิระคนที่สองออกแถลงการณ์ขอเข้าร่วมกับคิระคนแรก
กลางดึกคืนหนึ่ง มิสะได้แอบไปดักรอไลท์ระหว่างทางกลับบ้าน และได้เปิดเผยตัวตนของเธอให้อีกฝ่ายรู้ โดยบอกว่ายินดีจะทำทุกอย่างตามที่ไลท์ต้องการ และจะเป็นดวงตา หาชื่อของแอลมาให้ โดยมีเพียงเงื่อนไขเดียวคือไลท์ต้องยอมคบกับเธอ และเพื่อให้อีกฝ่ายไว้ใจ มิสะจึงได้ยกบันทึกของเธอให้ไลท์ เมื่อไลท์รู้ว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะได้กำจัดเสี้ยนหนาม จึงเล่นละคร ยอมตกลงเป็นแฟนกับมิสะไป
มิสะมอบเดธโน้ตของตัวเองให้ไลท์เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจ
ที่มหาวิทยาลัย ไลท์ได้พบกับริวซากิ (แอล) มานั่งเรียนด้วย เมื่อเรียนเสร็จ ทั้งคู่ก็เดินกลับด้วยกัน และก็ได้พบเข้ากับมิสะที่มาดักรอไลท์อยู่ (อีกแล้ว) ทันทีที่มิสะได้เห็นหน้าแอล ดวงตายมทูตก็ทำงาน เธอจึงรู้ชื่อจริงของอีกฝ่ายได้ในที่สุด ก่อนจะขอตัวแยกไปก่อน ไลท์ที่กำลังได้ใจว่าคงใกล้จะกำจัดศัตรูได้ ก็รีบโทรหามิสะเพื่อถามชื่อทันที แต่ปรากฏว่าคนที่รับสายกลับเป็นแอล โดยในขณะนี้ แอลได้นำตัวมิสะไปควบคุมไว้ที่ฐานลับแล้ว เพราะต้องสงสัยว่าเธอคือคิระคนที่สอง
มิสะมาดักรอไลท์ที่มหาวิทยาลัยและได้พบเข้ากับแอล
ไลท์จึงออกอุบายให้ลุคนำบันทึกของมิสะไปให้กับคนที่มีอุดมการณ์เดียวกับตน ซึ่งคนที่ลุคเลือกก็คือ
ทาคาดะ คิโยมิ ผู้ประกาศข่าวไฟแรงของสถานีซากุระ และไลท์ก็เสนอให้แอลขังตัวเองเอาไว้อีกคนเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ และเขาก็ได้สละสิทธิการครอบครองบันทึก เป็นเหตุให้สูญเสียความทรงจำทั้งหมดไป
ไลท์และมิสะในระหว่างถูกควบคุมตัว
ระหว่างที่ไลท์และมิสะถูกควบคุมตัวอยู่ คดีคิระก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง กองสืบสวนฯ จึงกดดันให้แอลปล่อยตัวทั้งคู่ออกมา แอลในขณะนี้ที่ไม่มีหลักฐานใดๆ มาเอาผิดทั้งคู่ จึงจำใจคืนอิสรภาพบางส่วนให้ โดยที่ไลท์จะต้องช่วยตนสืบคดี และมิสะจะต้องอยู่ที่ฐานลับตลอดเวลา
ในระหว่างนี้ ไลท์ แอลและกองสืบสวนฯ ก็สืบคดีจนสาวไปถึงของทาคาดะ และได้ใช้แผนล่อเธอออกมา จนนำไปสู่การจับตัวได้สำเร็จ จากเหตุการณ์นี้ กองสืบสวนฯ ทุกคนก็ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของยมทูตและเดธโน้ตเป็นครั้งแรก เมื่อไลท์สัมผัสบันทึก ความทรงจำที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก็กลับคืนมาตามที่ได้วางแผนเอาไว้ทุกอย่าง และไลท์ก็เขียนชื่อของทาคาดะที่หมดประโยชน์แล้วลงในเศษบันทึกที่แอบพกติดตัวไว้
กองสืบสวนฯ รับรู้ถึงการมีอยู่ของยมทูตและบันทึกสังหาร
ไลท์ได้ขอให้ลุคเพิ่มกฎปลอมๆ ลงไปในเดธโน้ต นั่นคือกฎที่ว่าถ้าผู้ถือครองบันทึกไม่เขียนชื่อใครลงไปติดต่อกันเป็นเวลา 13 วัน คนผู้นั้นจะต้องเสียชีวิต หรือที่เรียกว่า
กฎ 13 วัน เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของทั้งตัวเองและมิสะ
ระหว่างที่รอการพิสูจน์อำนาจของเดธโน้ต แอลจึงเสนอให้นำบันทึกไปเก็บไว้ที่อเมริกา โดยคนของกองสืบสวนฯ ซึ่งนำโดยโซอิจิโร่จะเป็นคนนำไปเอง ในที่สุด แอลและไลท์ก็ได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง โดยก่อนหน้านี้แอลได้ขอให้วาตาริไปนำตัวมิสะมายังฐานลับเพื่อจบเรื่องราวทั้งหมด เร็มที่เห็นว่าอายุขัยของมิสะลดลง จึงยอมสละชีวิตตัวเองเขียนชื่อวาตาริลงไปในบันทึก เพื่อให้เธอได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ทันใดนั้น แอลที่อยู่ในห้องบัญชาการกับไลท์ก็ล้มลง ขณะที่แอลกำลังจะขาดใจ ไลท์ก็ประกาศชัยชนะและเปิดเผยต่อหน้าอีกฝ่ายว่าตัวเองคือคิระ
เร็มสลายเป็นเม็ดทรายจากการช่วยต่ออายุขัยให้มิสะ
เมื่อกำจัดเสี้ยนหนามได้แล้ว ไลท์ก็ไปพบกับมิสะ และรอให้โซอิจิโร่นำเดธโน้ตมาคืน เพื่อเขียนชื่อคนในกองสืบสวนฯ ที่เหลือทั้งหมดลงไป แต่ทว่า แอลยังไม่ตาย และกองสืบสวนฯ ก็ได้เข้าล้อมไลท์และจับตัวมิสะเอาไว้
ขณะที่ไลท์กำลังงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แอลก็เฉลยว่าทั้งหมดเป็นแผนที่เขาร่วมมือกับโซอิจิโร่จัดฉากขึ้นเพื่อให้ไลท์ยอมรับสารภาพด้วยตัวเอง และบันทึกที่มิสะถืออยู่ก็เป็นเพียงของปลอมที่วาตาริทำขึ้นมา ส่วนเล่มจริงยังอยู่กับแอล โดยในนั้นมีชื่อของแอลที่ไลท์ตามหามานานถูกเขียนลงไปด้วย
ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ไลท์ขอให้ลุคเขียนชื่อแอลลงไปในเดธโน้ต ซึ่งลุคก็ตอบตกลง แต่ทว่า ชื่อที่ถูกเขียนลงไปก็คือไลท์ หนทางการขึ้นเป็นพระเจ้าของโลกใหม่ของเขาจึงต้องจบลงอย่างทุกข์ทรมาน
ไลท์นอนตายอย่างทรมานในอ้อมกอดของโซอิจิโร่
เมื่อปิดฉากคดีคิระลงได้แล้ว แอลจึงใช้เวลาที่เหลืออีก 23 วัน สะสางคดีที่คั่งค้างทั้งหมด (เหตุการณ์ใน L Change The World) และกลับมารอความตายอยู่ที่ฐานลับอย่างสงบ โดยมีโซอิจิโร่เข้ามาขอบคุณเขาเป็นครั้งสุดท้าย
แอลนั่งเสียชีวิตอย่างสงบในฐานลับ
**********จบแล้วครับ พบกันใหม่เมื่อ trailer ของ DEATH NOTE 2016 ออก**********
-สวัสดี-
[สปอยล์] สรุปเรื่องราวใน DEATH NOTE : the Last Name
อ่านสรุปภาคแรกได้ที่นี่
*****ย้ำให้รู้ว่าสปอยล์แหลกเลยล่ะจ้า*****
อามาเนะ มิสะ ไอดอลชื่อดัง กำลังวิ่งหนีผู้ช่วยผู้กำกับที่เธอได้ร่วมงานด้วย เพราะเขาหวังที่จะฆ่าเธอ ในขณะที่กำลังจวนตัว คนร้ายก็หัวใจล้มเหลวเสียชีวิต พร้อมๆ กับที่มีเดธโน้ตอีกเล่มหนึ่งตกลงมาใกล้ๆ ร่างของคนร้าย ทันทีที่มิสะสัมผัสกับบันทึก เธอก็ได้เห็นยมทูตสีขาวที่ชื่อว่าเร็ม
เร็มมาแจ้งให้มิสะรู้ว่าเธอได้รับการต่ออายุขัยโดยการช่วยเหลือของเจลัส ยมทูตที่หลงรักมิสะอย่างหมดหัวใจ จึงยอมสละชีวิตของตนให้ และเร็มก็รับหน้าที่คอยดูแลมิสะตามคำสั่งเสียของเจลัส
ไลท์และกองสืบสวนคดีคิระเข้าร่วมในพิธีศพของชิโอริ ที่นั่นไลท์ได้ขออนุญาตพ่อว่าจะขอเข้าร่วมสืบคดีคิระด้วย เพื่อแก้แค้นให้คนรัก (ที่ถูกฆ่าตายด้วยแผนของตัวเอง) ซึ่งระหว่างนั้น ไลท์จะอาศัยจังหวะค้นหาชื่อจริงของแอลและกำจัดทิ้งเสีย
ยางามิ ซายุ น้องสาวของไลท์ ไปร่วมงานฉลองของสถานีโทรทัศน์ซากุระกับเพื่อน และในงานนั้นเอง คิระอีกคนหนึ่งก็ได้ออกแถลงการณ์ว่าต้องการเข้าร่วมอุดมการณ์สร้างโลกใหม่ด้วย และได้ลงมือฆ่าผู้ที่ไม่เห็นด้วยออกสื่ออย่างโหดเหี้ยม โมงิ หนึ่งในกองสืบสวนฯ ซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุที่สุดก็รีบรุดไปยังที่นั่นเพื่อยับยั้งสถานการณ์
แต่ก็พลาดท่าถูกคิระคนที่สองพิพากษาไปอีกคน เมื่อโซอิจิโร่เห็นดังนั้น ก็อำพรางใบหน้าและขับรถตู้ไปยังที่เกิดเหตุ ซึ่งเขาก็สามารถระงับเหตุการณ์ทั้งหมดลงและช่วยซายุได้สำเร็จ จากนั้นไม่นาน ไลท์ก็ตามมาสมทบ ทั้งสามคนเข้าไปในตัวอาคารของสถานี เป็นจังหวะเดียวกับที่มิสะ (คิระคนที่สอง) ออกมาจากห้องพักพอดี และเนื่องจากเธอมีดวงตายมทูต จึงรู้ในทันทีว่าไลท์คือคิระ คนที่ตนบูชาเหนือสิ่งอื่นใด (ดวงตายมทูตจะมองไม่เห็นอายุขัยของผู้ที่ถือครองเดธโน้ต)
กลางดึกคืนหนึ่ง มิสะได้แอบไปดักรอไลท์ระหว่างทางกลับบ้าน และได้เปิดเผยตัวตนของเธอให้อีกฝ่ายรู้ โดยบอกว่ายินดีจะทำทุกอย่างตามที่ไลท์ต้องการ และจะเป็นดวงตา หาชื่อของแอลมาให้ โดยมีเพียงเงื่อนไขเดียวคือไลท์ต้องยอมคบกับเธอ และเพื่อให้อีกฝ่ายไว้ใจ มิสะจึงได้ยกบันทึกของเธอให้ไลท์ เมื่อไลท์รู้ว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะได้กำจัดเสี้ยนหนาม จึงเล่นละคร ยอมตกลงเป็นแฟนกับมิสะไป
ที่มหาวิทยาลัย ไลท์ได้พบกับริวซากิ (แอล) มานั่งเรียนด้วย เมื่อเรียนเสร็จ ทั้งคู่ก็เดินกลับด้วยกัน และก็ได้พบเข้ากับมิสะที่มาดักรอไลท์อยู่ (อีกแล้ว) ทันทีที่มิสะได้เห็นหน้าแอล ดวงตายมทูตก็ทำงาน เธอจึงรู้ชื่อจริงของอีกฝ่ายได้ในที่สุด ก่อนจะขอตัวแยกไปก่อน ไลท์ที่กำลังได้ใจว่าคงใกล้จะกำจัดศัตรูได้ ก็รีบโทรหามิสะเพื่อถามชื่อทันที แต่ปรากฏว่าคนที่รับสายกลับเป็นแอล โดยในขณะนี้ แอลได้นำตัวมิสะไปควบคุมไว้ที่ฐานลับแล้ว เพราะต้องสงสัยว่าเธอคือคิระคนที่สอง
ไลท์จึงออกอุบายให้ลุคนำบันทึกของมิสะไปให้กับคนที่มีอุดมการณ์เดียวกับตน ซึ่งคนที่ลุคเลือกก็คือทาคาดะ คิโยมิ ผู้ประกาศข่าวไฟแรงของสถานีซากุระ และไลท์ก็เสนอให้แอลขังตัวเองเอาไว้อีกคนเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ และเขาก็ได้สละสิทธิการครอบครองบันทึก เป็นเหตุให้สูญเสียความทรงจำทั้งหมดไป
ระหว่างที่ไลท์และมิสะถูกควบคุมตัวอยู่ คดีคิระก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง กองสืบสวนฯ จึงกดดันให้แอลปล่อยตัวทั้งคู่ออกมา แอลในขณะนี้ที่ไม่มีหลักฐานใดๆ มาเอาผิดทั้งคู่ จึงจำใจคืนอิสรภาพบางส่วนให้ โดยที่ไลท์จะต้องช่วยตนสืบคดี และมิสะจะต้องอยู่ที่ฐานลับตลอดเวลา
ในระหว่างนี้ ไลท์ แอลและกองสืบสวนฯ ก็สืบคดีจนสาวไปถึงของทาคาดะ และได้ใช้แผนล่อเธอออกมา จนนำไปสู่การจับตัวได้สำเร็จ จากเหตุการณ์นี้ กองสืบสวนฯ ทุกคนก็ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของยมทูตและเดธโน้ตเป็นครั้งแรก เมื่อไลท์สัมผัสบันทึก ความทรงจำที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก็กลับคืนมาตามที่ได้วางแผนเอาไว้ทุกอย่าง และไลท์ก็เขียนชื่อของทาคาดะที่หมดประโยชน์แล้วลงในเศษบันทึกที่แอบพกติดตัวไว้
ไลท์ได้ขอให้ลุคเพิ่มกฎปลอมๆ ลงไปในเดธโน้ต นั่นคือกฎที่ว่าถ้าผู้ถือครองบันทึกไม่เขียนชื่อใครลงไปติดต่อกันเป็นเวลา 13 วัน คนผู้นั้นจะต้องเสียชีวิต หรือที่เรียกว่ากฎ 13 วัน เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของทั้งตัวเองและมิสะ
ระหว่างที่รอการพิสูจน์อำนาจของเดธโน้ต แอลจึงเสนอให้นำบันทึกไปเก็บไว้ที่อเมริกา โดยคนของกองสืบสวนฯ ซึ่งนำโดยโซอิจิโร่จะเป็นคนนำไปเอง ในที่สุด แอลและไลท์ก็ได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง โดยก่อนหน้านี้แอลได้ขอให้วาตาริไปนำตัวมิสะมายังฐานลับเพื่อจบเรื่องราวทั้งหมด เร็มที่เห็นว่าอายุขัยของมิสะลดลง จึงยอมสละชีวิตตัวเองเขียนชื่อวาตาริลงไปในบันทึก เพื่อให้เธอได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ทันใดนั้น แอลที่อยู่ในห้องบัญชาการกับไลท์ก็ล้มลง ขณะที่แอลกำลังจะขาดใจ ไลท์ก็ประกาศชัยชนะและเปิดเผยต่อหน้าอีกฝ่ายว่าตัวเองคือคิระ
เมื่อกำจัดเสี้ยนหนามได้แล้ว ไลท์ก็ไปพบกับมิสะ และรอให้โซอิจิโร่นำเดธโน้ตมาคืน เพื่อเขียนชื่อคนในกองสืบสวนฯ ที่เหลือทั้งหมดลงไป แต่ทว่า แอลยังไม่ตาย และกองสืบสวนฯ ก็ได้เข้าล้อมไลท์และจับตัวมิสะเอาไว้
ขณะที่ไลท์กำลังงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แอลก็เฉลยว่าทั้งหมดเป็นแผนที่เขาร่วมมือกับโซอิจิโร่จัดฉากขึ้นเพื่อให้ไลท์ยอมรับสารภาพด้วยตัวเอง และบันทึกที่มิสะถืออยู่ก็เป็นเพียงของปลอมที่วาตาริทำขึ้นมา ส่วนเล่มจริงยังอยู่กับแอล โดยในนั้นมีชื่อของแอลที่ไลท์ตามหามานานถูกเขียนลงไปด้วย
ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ไลท์ขอให้ลุคเขียนชื่อแอลลงไปในเดธโน้ต ซึ่งลุคก็ตอบตกลง แต่ทว่า ชื่อที่ถูกเขียนลงไปก็คือไลท์ หนทางการขึ้นเป็นพระเจ้าของโลกใหม่ของเขาจึงต้องจบลงอย่างทุกข์ทรมาน
เมื่อปิดฉากคดีคิระลงได้แล้ว แอลจึงใช้เวลาที่เหลืออีก 23 วัน สะสางคดีที่คั่งค้างทั้งหมด (เหตุการณ์ใน L Change The World) และกลับมารอความตายอยู่ที่ฐานลับอย่างสงบ โดยมีโซอิจิโร่เข้ามาขอบคุณเขาเป็นครั้งสุดท้าย