หลังจากได้ Schengen Visa เป็นครั้งที่สองก็ตั้งใจจะมาเล่าประสบการณ์การขอวีซ่าเชงเกนจากสถานทูตเยอรมนีในประเทศสิงคโปร์ให้ฟังค่ะ
ขอย้ำว่านี่คือการขอ Schengen Visa ในประเทศสิงคโปร์ การเตรียมเอกสารบางอย่างอาจไม่เหมือนเวลาขอที่ไทยนะคะ เอาล่ะ เริ่ม!
หากคุณเป็นคนไทย ถือพาสปอร์ตไทย แต่มีถิ่นพำนักในสิงคโปร์ ไม่ว่าจะมาเรียน ทำงาน แต่งงานมีครอบครัว โดยถือพาสชนิด long term ชนิดใดชนิดหนึ่งของสิงคโปร์ คุณสามารถขอวีซ่าที่สถานทูตเยอรมนีในสิงคโปร์ได้ค่ะ
มาเริ่มจากการหาข้อมูลกันก่อน เว็บนี้เลยค่ะ เว็บของสถานทูต
http://www.singapur.diplo.de/Vertretung/singapur/en/04/2__Visa/seite__21__Schengen__Visa.html
เอกสารที่ต้องเตรียม ประกอบด้วย ตาม Link นี้
http://www.singapur.diplo.de/contentblob/3649628/Daten/6290336/download_visa_tourist.pdf
1.
Application form 1 ชุด ดาวน์โหลดได้จาก link ด้านบน จขกท. print ออกมาเขียนด้วยมือเลยค่ะ ง่ายดี ส่วนตัวอย่างการกรอกแบบฟอร์มก็มีสมาชิกพันทิปรีวิวไว้หลายท่านแล้ว ขอข้ามไปเลยนะคะ
2.
Original passport: พาสปอร์ต
2.1 ต้องมีอายุอย่างน้อย 3 เดือนในวันที่เดินทางออกจากเขตเชงเกน
2.2 มีหน้าว่างสองหน้า
2.3 ต้องเป็นพาสปอร์ตที่ออกมาไม่เกิน 10 ปี
ทำสำเนาหน้าที่เป็นข้อมูลของเรา และถ้ามีเชงเกนวีซ่าอันเดิม หรือวีซ่าของ US/UK ภายในระยะเวลาสามปีก็ทำสำเนาไปด้วยค่ะ 1 ชุด
3.
Proof of legal residence in Singapore ซึ่งก็คือพาสที่เราถืออยู่ในสิงคโปร์ ถ้าทำงานก็ EP/ S pass/ Work permit ถ้าเป็นนักเรียน ก็ Student pass หรือพวก Long term พาสทั้งหลายของคนที่ตามครอบครัวมาอยู่ที่สิงคโปร์ค่ะ พร้อมสำเนา 1 ชุด
4.
A booking for a round-trip airline ticket ตั๋วเครื่องบินไปกลับ
ตอนขอรอบแรก จขกท ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างในเรื่องความโหดในการขอวีซ่าในไทย จะออกใบจองของเอเจนซี่ แต่ถามกี่ที่ๆ เค้าก็ไม่ทำให้ (ต้องเข้าใจว่า คนสิงคโปร์น่ะ อยากไปไหนก็ไปได้เลย ไม่ต้องขอวีซ่า พาสปอร์ตสิงคโปร์จัดเป็นหนึ่งในพาสปอร์ตทรงอิทธิพลเลยทีเดียว) ก็เลยต้องยอมจองตั๋วในราคาที่สามารถ refund ได้ ซึ่งก็แพงนิดหน่อย แต่พอรอบสองมั่นใจมากว่าได้แน่ ก็จองไปตามปกติค่ะ
5.
A travel itinerary ประกอบด้วย booking โรงแรม จองผ่าน Booking.com โดยเลือกโรงแรมที่ให้ยกเลิกได้ ส่วนแผนการเดินทางคร่าวๆ โดย จขกท ทำเป็นตาราง แบบในภาพค่ะ พวกพาหนะ บางทีเราก็ไม่รู้ว่าจะได้รถไฟชนิดไหนก็ใส่ไปพอให้ได้ไอเดียว่าจะเดินทางยังไง จขกท ซื้อตั๋วรถไฟล่วงหน้าแค่สองเที่ยวเท่านั้น นอกนั้นไปซื้อหน้างานเลยค่ะ เพราะบางทีเราอาจจะอยากปรับเปลี่ยนแผนการเที่ยวบ้าง
6.
Travel/medical insurance ต้อง cover ค่ารักษาพยาบาล อุบัติเหตุ ฯลฯ อย่างน้อย EUR 30,000 โดยต้องยื่นใบปะหน้าประกันที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเรา การเดินทาง และชนิดของประกัน เป็นต้น ต้องใช้ตัวจริง จะเป็นแค่ใบเสร็จรับเงินอะไรแบบนี้ไม่ได้ค่ะ แนบเล่มรายละเอียด (ตัว Policy) ไปด้วยก็ดี แต่เค้าโยนคืนมาทุกที ฮ่าๆๆๆ
จขกท. ซื้อของ MSIG ทั้งสองครั้งเลยค่ะ ซื้อออนไลน์จะได้รับเอกสารทันทีทางอีเมล์ และเจ้านี้ก็เคลมง่ายทีเดียว เพราะรอบแรกที่ไป จขกท เจอปัญหากระเป๋าดีเลย์ค่ะ กลับมาก็ยื่นหลักฐานในเว็บไซต์แค่สองสามวันก็ตอบกลับมา และได้รับเช็คทันทีไม่มีอิดออดหรือจู้จี้หรือมีปัญหาอะไรเลย
7.
Proof of the applicant's financial circumstances หลักฐานการเงินย้อนหลัง 3 เดือน ซึ่งบอกตรงๆ ว่าไม่ทราบเหมือนกันว่าที่สิงคโปร์ต้องมีจำนวนเงินอย่างน้อยเท่าไหร่ค่ะ (อย่างที่บอก คนสิงคโปร์เค้าไม่เคยต้องขอวีซ่า)
อันนี้แค่ Print ตัว e-statement จากเว็บไซต์ของธนาคาร และแวะไปที่สาขาใกล้บ้านให้เจ้าหน้าที่ช่วยทำ official stamp ให้ค่ะ เค้าจะปั๊มตราและเซ็นต์ชื่อรับรองให้ แต่ไม่รู้ที่ไทยทำแบบนี้ได้รึเปล่านะคะ ส่วนจดหมายรับรองของธนาคารไม่จำเป็นค่ะ เสียเงินเปล่าๆ ด้วย
8.
A letter from the applicant's employer จดหมายจากบริษัท ซึ่งประกอบไปด้วยรายละเอียดหลักๆ ที่ยืนยันว่าเรา ...ชื่อนี้ ...กำลังทำงานที่บริษัทนี้ ตำแหน่ง เงินเดือน ลาวันไหนถึงวันไหน เมื่อก่อนเข้มงวดมาก จดหมายต้องเซ็นต์ด้วยหมึกน้ำเงินเท่านั้น แต่พอรอบสองนี่ไม่ต้องแล้วค่ะ
9.
รูปถ่าย ก็คิดว่าเหมือนกันทุกที่ โดยหลักๆ ก็คือ หน้าเราต้องมีพื้นที่ 80% ของรูป อย่ามืด อย่ามีแสงตกสะท้อนบนหน้า อย่ามีเงาที่ฉากหลัง คุณภาพคมชัด รูปไม่แตก ประมาณนี้
จริงๆ แล้ว ขั้นตอนนี้ที่ไทยคงจะไม่ยุ่งยาก เพราะร้านถ่ายรูปส่วนใหญ่จัดการให้ได้ แต่ที่สิงคโปร์นี่คือ ขอบ่น ทำไมชีวิตชั้นมันต้องยากกกกกขนาดนี้ แพงก็แพง (ครั้งละ 8-10 SGD) ถ่ายก็ไม่สวย ไม่แต่งรูป ไม่รีทัชอะไรให้เลย รอบแรกเฟลกับรูปที่ได้มามากค่ะ คือไม่สวยยังไม่เท่าไหร่ แต่มันค่อนข้างจะออกมาคล้ำ เพราะห้องที่ถ่ายไม่ได้จัดแสงเป็นสตูดิโอแบบร้านในไทยแล้วยังไม่ปรับแสงในรูปให้อีก ก็นอยด์มาก กลัวรูปไม่ผ่าน พอดีได้กลับมา กทม. ก่อน ก็ร้านแถวท่าพระจันทร์เลยค่ะ จะเอาสวย+สว่างเบอร์ไหนร้านไหนก็ได้หมด รักเมืองไทยจริงๆ ตัวอย่างรูปที่ถูกต้องตาม link นะคะ
http://www.singapur.diplo.de/contentblob/3649600/Daten/34560/download_sample_photo.pdf
เอกสารเพิ่มเติมที่ จขกท ยื่น ก็มี
10. สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3 เดือน
11. จดหมายเชิญจากเพื่อนที่เยอรมนี โดยให้เพื่อนเขียนและเซ็นต์ส่งไปรษณีย์มา ปรากฏว่ารอบแรก จดหมายมาถึงไม่ทันก็เลยยื่นตัวที่สแกนไป ก็ไม่มีปัญหาอะไรนะคะ จดหมายมีสองชุด เป็นภาษาอังกฤษ 1 ภาษาเยอรมัน 1 พร้อมแนบสำเนา ID ของเพื่อน นามบัตร หรืออะไรก็ตามที่ยืนยันว่าเพื่อนอยู่ในเยอรมนีค่ะ ข้างล่างเป็นรูปแบบจดหมาย เผื่อใครอยากนำไปใช้
ประสบการณ์ขอ Schengen visa ในประเทศสิงคโปร์
ขอย้ำว่านี่คือการขอ Schengen Visa ในประเทศสิงคโปร์ การเตรียมเอกสารบางอย่างอาจไม่เหมือนเวลาขอที่ไทยนะคะ เอาล่ะ เริ่ม!
หากคุณเป็นคนไทย ถือพาสปอร์ตไทย แต่มีถิ่นพำนักในสิงคโปร์ ไม่ว่าจะมาเรียน ทำงาน แต่งงานมีครอบครัว โดยถือพาสชนิด long term ชนิดใดชนิดหนึ่งของสิงคโปร์ คุณสามารถขอวีซ่าที่สถานทูตเยอรมนีในสิงคโปร์ได้ค่ะ
มาเริ่มจากการหาข้อมูลกันก่อน เว็บนี้เลยค่ะ เว็บของสถานทูต
http://www.singapur.diplo.de/Vertretung/singapur/en/04/2__Visa/seite__21__Schengen__Visa.html
เอกสารที่ต้องเตรียม ประกอบด้วย ตาม Link นี้
http://www.singapur.diplo.de/contentblob/3649628/Daten/6290336/download_visa_tourist.pdf
1. Application form 1 ชุด ดาวน์โหลดได้จาก link ด้านบน จขกท. print ออกมาเขียนด้วยมือเลยค่ะ ง่ายดี ส่วนตัวอย่างการกรอกแบบฟอร์มก็มีสมาชิกพันทิปรีวิวไว้หลายท่านแล้ว ขอข้ามไปเลยนะคะ
2. Original passport: พาสปอร์ต
2.1 ต้องมีอายุอย่างน้อย 3 เดือนในวันที่เดินทางออกจากเขตเชงเกน
2.2 มีหน้าว่างสองหน้า
2.3 ต้องเป็นพาสปอร์ตที่ออกมาไม่เกิน 10 ปี
ทำสำเนาหน้าที่เป็นข้อมูลของเรา และถ้ามีเชงเกนวีซ่าอันเดิม หรือวีซ่าของ US/UK ภายในระยะเวลาสามปีก็ทำสำเนาไปด้วยค่ะ 1 ชุด
3. Proof of legal residence in Singapore ซึ่งก็คือพาสที่เราถืออยู่ในสิงคโปร์ ถ้าทำงานก็ EP/ S pass/ Work permit ถ้าเป็นนักเรียน ก็ Student pass หรือพวก Long term พาสทั้งหลายของคนที่ตามครอบครัวมาอยู่ที่สิงคโปร์ค่ะ พร้อมสำเนา 1 ชุด
4. A booking for a round-trip airline ticket ตั๋วเครื่องบินไปกลับ
ตอนขอรอบแรก จขกท ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างในเรื่องความโหดในการขอวีซ่าในไทย จะออกใบจองของเอเจนซี่ แต่ถามกี่ที่ๆ เค้าก็ไม่ทำให้ (ต้องเข้าใจว่า คนสิงคโปร์น่ะ อยากไปไหนก็ไปได้เลย ไม่ต้องขอวีซ่า พาสปอร์ตสิงคโปร์จัดเป็นหนึ่งในพาสปอร์ตทรงอิทธิพลเลยทีเดียว) ก็เลยต้องยอมจองตั๋วในราคาที่สามารถ refund ได้ ซึ่งก็แพงนิดหน่อย แต่พอรอบสองมั่นใจมากว่าได้แน่ ก็จองไปตามปกติค่ะ
5. A travel itinerary ประกอบด้วย booking โรงแรม จองผ่าน Booking.com โดยเลือกโรงแรมที่ให้ยกเลิกได้ ส่วนแผนการเดินทางคร่าวๆ โดย จขกท ทำเป็นตาราง แบบในภาพค่ะ พวกพาหนะ บางทีเราก็ไม่รู้ว่าจะได้รถไฟชนิดไหนก็ใส่ไปพอให้ได้ไอเดียว่าจะเดินทางยังไง จขกท ซื้อตั๋วรถไฟล่วงหน้าแค่สองเที่ยวเท่านั้น นอกนั้นไปซื้อหน้างานเลยค่ะ เพราะบางทีเราอาจจะอยากปรับเปลี่ยนแผนการเที่ยวบ้าง
6. Travel/medical insurance ต้อง cover ค่ารักษาพยาบาล อุบัติเหตุ ฯลฯ อย่างน้อย EUR 30,000 โดยต้องยื่นใบปะหน้าประกันที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเรา การเดินทาง และชนิดของประกัน เป็นต้น ต้องใช้ตัวจริง จะเป็นแค่ใบเสร็จรับเงินอะไรแบบนี้ไม่ได้ค่ะ แนบเล่มรายละเอียด (ตัว Policy) ไปด้วยก็ดี แต่เค้าโยนคืนมาทุกที ฮ่าๆๆๆ
จขกท. ซื้อของ MSIG ทั้งสองครั้งเลยค่ะ ซื้อออนไลน์จะได้รับเอกสารทันทีทางอีเมล์ และเจ้านี้ก็เคลมง่ายทีเดียว เพราะรอบแรกที่ไป จขกท เจอปัญหากระเป๋าดีเลย์ค่ะ กลับมาก็ยื่นหลักฐานในเว็บไซต์แค่สองสามวันก็ตอบกลับมา และได้รับเช็คทันทีไม่มีอิดออดหรือจู้จี้หรือมีปัญหาอะไรเลย
7. Proof of the applicant's financial circumstances หลักฐานการเงินย้อนหลัง 3 เดือน ซึ่งบอกตรงๆ ว่าไม่ทราบเหมือนกันว่าที่สิงคโปร์ต้องมีจำนวนเงินอย่างน้อยเท่าไหร่ค่ะ (อย่างที่บอก คนสิงคโปร์เค้าไม่เคยต้องขอวีซ่า)
อันนี้แค่ Print ตัว e-statement จากเว็บไซต์ของธนาคาร และแวะไปที่สาขาใกล้บ้านให้เจ้าหน้าที่ช่วยทำ official stamp ให้ค่ะ เค้าจะปั๊มตราและเซ็นต์ชื่อรับรองให้ แต่ไม่รู้ที่ไทยทำแบบนี้ได้รึเปล่านะคะ ส่วนจดหมายรับรองของธนาคารไม่จำเป็นค่ะ เสียเงินเปล่าๆ ด้วย
8. A letter from the applicant's employer จดหมายจากบริษัท ซึ่งประกอบไปด้วยรายละเอียดหลักๆ ที่ยืนยันว่าเรา ...ชื่อนี้ ...กำลังทำงานที่บริษัทนี้ ตำแหน่ง เงินเดือน ลาวันไหนถึงวันไหน เมื่อก่อนเข้มงวดมาก จดหมายต้องเซ็นต์ด้วยหมึกน้ำเงินเท่านั้น แต่พอรอบสองนี่ไม่ต้องแล้วค่ะ
9. รูปถ่าย ก็คิดว่าเหมือนกันทุกที่ โดยหลักๆ ก็คือ หน้าเราต้องมีพื้นที่ 80% ของรูป อย่ามืด อย่ามีแสงตกสะท้อนบนหน้า อย่ามีเงาที่ฉากหลัง คุณภาพคมชัด รูปไม่แตก ประมาณนี้
จริงๆ แล้ว ขั้นตอนนี้ที่ไทยคงจะไม่ยุ่งยาก เพราะร้านถ่ายรูปส่วนใหญ่จัดการให้ได้ แต่ที่สิงคโปร์นี่คือ ขอบ่น ทำไมชีวิตชั้นมันต้องยากกกกกขนาดนี้ แพงก็แพง (ครั้งละ 8-10 SGD) ถ่ายก็ไม่สวย ไม่แต่งรูป ไม่รีทัชอะไรให้เลย รอบแรกเฟลกับรูปที่ได้มามากค่ะ คือไม่สวยยังไม่เท่าไหร่ แต่มันค่อนข้างจะออกมาคล้ำ เพราะห้องที่ถ่ายไม่ได้จัดแสงเป็นสตูดิโอแบบร้านในไทยแล้วยังไม่ปรับแสงในรูปให้อีก ก็นอยด์มาก กลัวรูปไม่ผ่าน พอดีได้กลับมา กทม. ก่อน ก็ร้านแถวท่าพระจันทร์เลยค่ะ จะเอาสวย+สว่างเบอร์ไหนร้านไหนก็ได้หมด รักเมืองไทยจริงๆ ตัวอย่างรูปที่ถูกต้องตาม link นะคะ
http://www.singapur.diplo.de/contentblob/3649600/Daten/34560/download_sample_photo.pdf
เอกสารเพิ่มเติมที่ จขกท ยื่น ก็มี
10. สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3 เดือน
11. จดหมายเชิญจากเพื่อนที่เยอรมนี โดยให้เพื่อนเขียนและเซ็นต์ส่งไปรษณีย์มา ปรากฏว่ารอบแรก จดหมายมาถึงไม่ทันก็เลยยื่นตัวที่สแกนไป ก็ไม่มีปัญหาอะไรนะคะ จดหมายมีสองชุด เป็นภาษาอังกฤษ 1 ภาษาเยอรมัน 1 พร้อมแนบสำเนา ID ของเพื่อน นามบัตร หรืออะไรก็ตามที่ยืนยันว่าเพื่อนอยู่ในเยอรมนีค่ะ ข้างล่างเป็นรูปแบบจดหมาย เผื่อใครอยากนำไปใช้