ทริปนี้ด้วยความอยากลองไปญี่ปุ่นแบบถูกๆ ก็ต้องมาช่วงหน้าร้อนนี่แหละ ทุกอย่างถูกไปหมดทั้งตั๋วเครื่องบิน ที่พัก การเดินทาง หลังจากได้สมาชิกมาช่วยกันแชร์ค่าห้องเรียบร้อยก็พร้อมเดินทางไปเยือนโอซาก้าหน้าร้อนกัน
หน้าร้อนของประเทศญี่ปุ่นคือตั้งแต่เดือน มิถุนายน – สิงหาคม อุณหภูมิโดยเฉลี่ย 35-38 องศา เหมือนอยู่ประเทศไทยเลย แต่จะให้ความรู้สึกอบอ้าวกว่า ข้อดีคือตั๋วถูก ไม่ต้องพกเสื้อผ้าไปเยอะ ไม่มืดเร็วทำให้เที่ยวได้เยอะ กินไอติมแล้วฟินมาก ต้นไม้จะเห็นแต่สีเขียวสดชื่น
แพลนทริป
วันที่ 1 บินไปลงสนามบินคันไซ (Kansai) เข้าที่พัก เดินเล่นย่านนัมบะ (Namba)
วันที่ 2 Universal Studio Japan / เดินเล่นโดทงโบริ (Dotonbori)
วันที่ 3 เที่ยวเมืองนารา (Nara) / เมืองโกเบ (Kobe) / เดินเล่นโดทงโบริ (Dotonbori)
วันที่ 4 เที่ยวเมืองเกียวโต (Kyoto)
วันที่ 5 เที่ยวในสนามบินคันไซ นั่งรอบินกลับสนามบินดอนเมือง
คลองโดทงโบริ
ทริปนี้เกิดจากการที่ผมเปิด Facebook ขึ้นมา แล้วเจอกับตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพฯ-คันไซ ราคาโปรโมชั่นจาก Ar-Pae คิดๆ จะไปคนเดียวดีไหมนะ เอาล่ะ!! ลองถามๆ ดูละกันว่ามีใครจะไปด้วยไหมเดี๋ยวทำแพลนให้เสร็จสรรพ เตรียมเอกสารให้ทุกอย่าง กินอิ่มนอนหลับ เที่ยวสบาย 5 วัน 4 คืน (จริงๆ แล้ว 4 วัน 4 คืน เพราะนั่งเครื่องบินเสียเวลาไป 12-13 ชม. ล่ะ) ในที่สุดก็ได้เหยื่อมา 2 คน มาช่วยหารค่าที่พักก็โอเค ผมเลยไม่ได้ลุยเดี่ยวสักทีสิน่า
สมาชิกพร้อม เงินพร้อม หาวันไปกันเล้ย หลังจากหาๆๆ วันนี้ก็ไม่มีราคาโปร วันนู้นก็ไม่มีโปร เอาไงดีๆ งั้นไปช่วงหน้าร้อนนี่แหละ ในที่สุดตั๋วเครื่องบิน Direct Flight ไปกลับ 26-30 กรกฎาคม ราคา 3,390 บาท/คน ก็มาอยู่ในมือเรียบร้อย แล้วไงต่อล่ะ… หน้าร้อนญี่ปุ่นมีแต่คนบอก… มันร้อนมากกกก ไปทำไมเนี่ย เที่ยวก็ไม่สนุก แช่ออนเซนก็ไม่ฟิน ใบไม้เปลี่ยนสีก็ไม่มี ซากุระก็ไม่บาน หิมะอย่าได้หวัง จะขึ้นฮอกไกโดเหรอเวลาก็น้อยไปอีกจะหมดไปกับการต่อเครื่องซะเปล่าๆ แหม.. นี่ถ้าน้องอีกคนไม่ติดสอบจะจองยาวกว่านี้เลยให้ตายสิ แต่ไม่เป็นไรหน้าร้อนนี่แหละ ต้องลองไปดูด้วยตัวเองว่ามันจะเป็นอย่างไร
Duty Free สนามบินดอนเมือง
นัดเจอที่สนามบินดอนเมืองทำพิธีผ่าน ตม. เรียบร้อย ก็เข้าไปซื้อของใน Duty Free รอเวลาขึ้นเครื่องกับแอร์เอเชีย ถึงเวลาเครื่องออกตรงเป๊ะ ผมนั่งหลับไป 2 ตื่น รู้สึกผ่านไปไวมาก 6 ชม. แล้วเหรอเนี่ย กัปตันประกาศจะลงแล้วนะสนามบินคันไซ ห้ามเดินเพ่นพ่านนะ..เออ โอเค.. เชื่อฟัง ในใจก็คิดว่าเวลาเพิ่งจะไม่เท่าไหร่เลย น่าจะทันรถไฟฟ้าเข้าเมืองรอบสุดท้ายน่า ที่ไหนได้เห็นแถว ตม. เท่านั้นแหละ คร่าวๆ คือคนเป็นพันๆ คนได้เลยยืนต่อแถวกัน โอ้ย..จะต้องนอนสนามบินเหรอเนี่ย ในใจคิดก็ดีนะ ประหยัดค่าที่พักได้ 1 คืน แต่เฮ้ย.. ไม่ได้ๆ บอกน้อง 2 คนไว้แล้วว่าทริปนี้จะต้องนอนสบาย ดังนั้นเราต้องไปให้ถึงที่พักให้ได้ แอบทำแผนสำรองไว้แล้วก็คือ Limousine Night Bus นี่แหละจะทำให้เราไม่ต้องนอนสนามบิน ซื้อตั๋วคนละ 1,550 เยน จากเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติได้ตั๋วมาแล้ว พอถึงเวลาก็กระโดดขึ้นรถได้เลย
รอลิมูซีนไนท์บัสไปส่งที่ Namba
Limousine Night Bus จะมี 4 รอบหลังเที่ยงคืน ซื้อตั๋วที่เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ ค่าโดยสาร 1,550 เยน ออกจากสนามบินคันไซ ไปถึงสถานี Nankai Namba
– Terminal 2 ออกเวลา 0:15 และ 1:15
– Terminal 1 ออกเวลา 0:30 และ 1:30
ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีก็มาถึงสถานี Nankai Namba
เดินเล่นหาข้าวกินย่านนัมบะ
เนื่องจากพวกผมจองตั๋วเครื่องบินกระชั้นชิด ที่พักราคาถูกและดีจึงหายไปจากสารบบทั้งหมด รับปากน้องๆ แล้วด้วยว่าจะไม่นอน Hostel ต้องการส่วนตัว เลยไปได้ที่ AirBNB เป็นอพาร์ทเมนใกล้ๆ สถานี JR Namba เลย จองเสร็จสรรพ 3 คืน จริงๆ พักได้ถึง 4 คน แต่พวกผมมากัน 3 คน ก็โอเคเฉลี่ยเป็นเงินไทยตกคนละ 880 บาท/คืน เมื่อมาถึงสถานี Nankai Namba ก็หาที่ฝากท้องกันก่อนเป็นข้าวหน้าหมูชามละ 530 เยน
ข้าวหน้าหมู ถูกและดี
ทานกันเสร็จก็เดินหาที่พักจนเจอ เอารหัสที่ได้มาเปิดเมล์บ๊อกแล้วหยิบกุญแจเอาไปไขห้องพัก ทะเลาะกับรีโมทแอร์กับเครื่องทำน้ำร้อนภาษาญี่ปุ่นนิดหน่อย ก็อาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันแล้วก็นอน พรุ่งนี้เช้าจะไป Universal Studio Japan
ตื่นมาก็จัดการตัวเองกันเรียบร้อย ไม่ลืมหยิบ Pocket Wifi จากที่พักติดตัวไปด้วย แชร์กัน 3 คน แค่นี้ไม่ต้องกลัวหลงทาง จิ้มพิกัดเลยเราจะไปสถานี Universal City กัน ค่าโดยสาร 180 เยน ซื้อที่เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติเช่นเดิม ใครถนัด Hyperdia ก็ใช้ ใครถนัด Google Map ก็ดี ในที่นี้ผมใช้ Google Map เพราะจะเห็นเส้นทางการเดินทางได้ชัดเจนกว่า จะบอกกระทั่งตำแหน่งของเรา ต้องนั่งรถไฟฟ้าสายอะไร กี่สถานที ลงที่ไหน ขึ้นรถที่ไหน ราคาเท่าไหร่ แนะนำมือถือที่ใช้ควรสนับสนุน GPS ของ Glonass เพราะจะทำให้จับสัญญาณ GPS ได้เร็วและแม่นยำมากขึ้น
การใช้ Google Map จาก JR Namba ไปยัง Universal Studio Japan
อีกอันก็คือ Hyperdia ส่วนตัวผมใช้สำหรับเช็คตารางเวลาของรถไฟแค่นั้นเพราะมีความแม่นยำกว่า Google Map แล้วก็นำมาบันทึกลงแพลนทริป เวลาจะใช้ก็เอาต้นทางและปลายทางมาค้นใน Google Map ใช้มาตลอดไม่มีหลงเลยครับ
การใช้ Hyperdia จาก JR Namba ไปยัง Universal City
เอาล่ะในที่สุดก็วาร์ปมาถึงหน้า Universal Studio Japan กันเลยดีกว่า พวกผมก็ตื่นเต้นกันนิดๆ แล้วล่ะ ว่าคนจะเยอะไหม จะได้เข้าแฮรี่รอบเช้าหรือเปล่า บัตร Express Pass จะหมดไหม พอมาถึงเราก็รีบไปซื้อตั๋วที่ Lawson เลย วานให้พนักงานช่วยซื้อให้ ได้ตั๋วมา 3 ใบเรียบร้อย ตกคนละ 7,200 เยน แอบถามว่าซื้อ Express Pass ได้ไหม พนักงานก็ใจดีช่วยทำให้แต่ปรากฏว่า Sold out หมดเกลี้ยง ดังนั้นทำใจไว้แล้วว่าเราไม่มีบัตรลัดคิวแล้วนะ เตรียมตัววิ่งไปเข้าโซนแฮรี่ให้ทันรอบแรกได้เลย แต่ก็ดีประหยัดไปได้หลายพันเยนเลยทีเดียว
ลูกโลกมหาชน Universal Studio Japan
สำหรับใครไม่รู้ว่า Express Pass คืออะไร บัตรนี้เรียกกันว่าบัตรลัดคิว โดยมีจะให้เลือกกว่าจะลัดคิวกี่เครื่องเล่น ถ้าซื้อแบบลัดคิวเครื่องเล่นเยอะๆ จะสามารถระบุเวลาเข้าไปโซน Harry Potter ได้ ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้ทาง Universal เปลี่ยนแปลงตลอด ดังนั้นให้เข้าไปดูที่เว็บไซต์จะดีที่สุด ส่วนราคา Express Pass ก็แพงพอๆ กับค่าเข้าเลย
คนต่อคิวรอเข้า Universal Studio Japan
เดินมาถึงที่ขายบัตรคนยืนต่อคิวกันเต็มเลย โชคดีที่พวกผมไปซื้อที่ Lawson กันเรียบร้อย ขอแผนที่มาจากเจ้าหน้าที่แล้วศึกษาเส้นทางไปยัง Harry Potter ที่เหลือก็แค่รอเวลาเปิด พอเปิดพวกผมก็ยื่นบัตรผ่านประตูให้เจ้าหน้าที่แล้วก็วิ่งๆๆๆๆ กัน ในที่สุดก็ได้เข้ามาโซนแฮรี่สมใจ รีบไปต่อคิวทันทีเพื่อเข้าชมฮอกวอตส์ ภายในปราสาทห้ามถ่ายรูป เลยมีแต่บรรยากาศรอบนอกมาฝากครับ
ปราสาทฮอกวอตส์
หลังจากอิ่มเอมกับแฮรี่ พอตเตอร์แล้ว ก็ต้องไม่พลาดกับบัตเตอร์เบียร์ ราคา 700 เยน แล้วก็เดินเล่นให้คุ้มกับการได้เข้ามารอบแรก แล้วก็ไปโต๋เต๋ต่อคิว Spider Man, Ride Backward, etc.
ร้านขาย Butter Beer
จนเย็นก็เดินทางกลับไปสถานี Shin-Imamiya ค่าโดยสาร 180 เยน ที่นี่มีออนเซนขึ้นชื่อ Spa World เปิดให้เข้าตลอดทั้งปี หน้าร้อนก็เข้าได้คนละ 1,200 เยน Spa world จะมี 2 โซน ได้แก่ European Zone กับ Asian Zone สลับกันระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย เช่น เดือนคี่ผู้ชายจะใช้ Asian Zone ผู้หญิงก็จะได้ใช้ European Zone พอเดือนคู่ผู้ชายก็จะมา European Zone ผู้หญิงก็จะไปใช้ที่ Asian Zone สลับกันไป
แผนที่รถไฟฟ้าจาก Universal Studio Japan ไปยัง Spa world
หลังจากสบายเนื้อสบายตัวกันเรียบร้อย พวกผมก็ต้องไปซื้อ Kansai Thru Pass สำหรับ 2 วัน ในการไปเที่ยวรอบๆ โอซาก้า จุดขายบัตรจะอยู่ที่ Osaka Visitors’ Information Center Namba ค่าบัตร 4,000 เยน
บัตร Kansai Thru Pass สำหรับ 2 วัน
ซื้อเสร็จเรียบร้อยพวกผมก็เดินไปยังร้านปู Kani Doraku ที่ขึ้นชื่อย่านโดทงโบริ จัดการจองคิวแล้วก็ไปเดินเล่นฆ่าเวลา ระหว่างทางก็เจอทาโกะยากิ เกี๊ยวซ่า ไอครีม ขนมปัง กินรองท้องไปเรื่อยแล้วก็แวะไปถ่ายป้ายไฟคุณลุงกูลิโกะกัน
ป้ายไฟกูลิโกะ โดทงโบริ
เนื่องด้วยเดินเล่นไปกินไปกันจนอิ่มเกินครึ่งไปแล้ว จึงตัดสินใจสั่งเซ็ตปู 10,000 เยน แล้วหารกัน จะได้ดูว่ามันเป็นอย่างไง ฟินแค่ไหน จากรูปนี้คือเขากว่าจะเสิร์ฟครบทั้งหมด พวกเราก็กินกันไปเยอะแล้ว เลยได้รูปซากปูมาแค่นี้ หวังว่าจะสร้างความฟินให้เพื่อนๆ ได้ไม่มากก็น้อย
ร้านปู Kani Doraku โดทงโบริ
ร้านปู Kani Doraku โดทงโบริ
กินอิ่ม พักสบาย เที่ยวกระจาย โอซาก้า/นารา/โกเบ/เกียวโต รวมทุกอย่าง ไม่เกิน 15,000
หน้าร้อนของประเทศญี่ปุ่นคือตั้งแต่เดือน มิถุนายน – สิงหาคม อุณหภูมิโดยเฉลี่ย 35-38 องศา เหมือนอยู่ประเทศไทยเลย แต่จะให้ความรู้สึกอบอ้าวกว่า ข้อดีคือตั๋วถูก ไม่ต้องพกเสื้อผ้าไปเยอะ ไม่มืดเร็วทำให้เที่ยวได้เยอะ กินไอติมแล้วฟินมาก ต้นไม้จะเห็นแต่สีเขียวสดชื่น
แพลนทริป
วันที่ 1 บินไปลงสนามบินคันไซ (Kansai) เข้าที่พัก เดินเล่นย่านนัมบะ (Namba)
วันที่ 2 Universal Studio Japan / เดินเล่นโดทงโบริ (Dotonbori)
วันที่ 3 เที่ยวเมืองนารา (Nara) / เมืองโกเบ (Kobe) / เดินเล่นโดทงโบริ (Dotonbori)
วันที่ 4 เที่ยวเมืองเกียวโต (Kyoto)
วันที่ 5 เที่ยวในสนามบินคันไซ นั่งรอบินกลับสนามบินดอนเมือง
คลองโดทงโบริ
ทริปนี้เกิดจากการที่ผมเปิด Facebook ขึ้นมา แล้วเจอกับตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพฯ-คันไซ ราคาโปรโมชั่นจาก Ar-Pae คิดๆ จะไปคนเดียวดีไหมนะ เอาล่ะ!! ลองถามๆ ดูละกันว่ามีใครจะไปด้วยไหมเดี๋ยวทำแพลนให้เสร็จสรรพ เตรียมเอกสารให้ทุกอย่าง กินอิ่มนอนหลับ เที่ยวสบาย 5 วัน 4 คืน (จริงๆ แล้ว 4 วัน 4 คืน เพราะนั่งเครื่องบินเสียเวลาไป 12-13 ชม. ล่ะ) ในที่สุดก็ได้เหยื่อมา 2 คน มาช่วยหารค่าที่พักก็โอเค ผมเลยไม่ได้ลุยเดี่ยวสักทีสิน่า
สมาชิกพร้อม เงินพร้อม หาวันไปกันเล้ย หลังจากหาๆๆ วันนี้ก็ไม่มีราคาโปร วันนู้นก็ไม่มีโปร เอาไงดีๆ งั้นไปช่วงหน้าร้อนนี่แหละ ในที่สุดตั๋วเครื่องบิน Direct Flight ไปกลับ 26-30 กรกฎาคม ราคา 3,390 บาท/คน ก็มาอยู่ในมือเรียบร้อย แล้วไงต่อล่ะ… หน้าร้อนญี่ปุ่นมีแต่คนบอก… มันร้อนมากกกก ไปทำไมเนี่ย เที่ยวก็ไม่สนุก แช่ออนเซนก็ไม่ฟิน ใบไม้เปลี่ยนสีก็ไม่มี ซากุระก็ไม่บาน หิมะอย่าได้หวัง จะขึ้นฮอกไกโดเหรอเวลาก็น้อยไปอีกจะหมดไปกับการต่อเครื่องซะเปล่าๆ แหม.. นี่ถ้าน้องอีกคนไม่ติดสอบจะจองยาวกว่านี้เลยให้ตายสิ แต่ไม่เป็นไรหน้าร้อนนี่แหละ ต้องลองไปดูด้วยตัวเองว่ามันจะเป็นอย่างไร
Duty Free สนามบินดอนเมือง
นัดเจอที่สนามบินดอนเมืองทำพิธีผ่าน ตม. เรียบร้อย ก็เข้าไปซื้อของใน Duty Free รอเวลาขึ้นเครื่องกับแอร์เอเชีย ถึงเวลาเครื่องออกตรงเป๊ะ ผมนั่งหลับไป 2 ตื่น รู้สึกผ่านไปไวมาก 6 ชม. แล้วเหรอเนี่ย กัปตันประกาศจะลงแล้วนะสนามบินคันไซ ห้ามเดินเพ่นพ่านนะ..เออ โอเค.. เชื่อฟัง ในใจก็คิดว่าเวลาเพิ่งจะไม่เท่าไหร่เลย น่าจะทันรถไฟฟ้าเข้าเมืองรอบสุดท้ายน่า ที่ไหนได้เห็นแถว ตม. เท่านั้นแหละ คร่าวๆ คือคนเป็นพันๆ คนได้เลยยืนต่อแถวกัน โอ้ย..จะต้องนอนสนามบินเหรอเนี่ย ในใจคิดก็ดีนะ ประหยัดค่าที่พักได้ 1 คืน แต่เฮ้ย.. ไม่ได้ๆ บอกน้อง 2 คนไว้แล้วว่าทริปนี้จะต้องนอนสบาย ดังนั้นเราต้องไปให้ถึงที่พักให้ได้ แอบทำแผนสำรองไว้แล้วก็คือ Limousine Night Bus นี่แหละจะทำให้เราไม่ต้องนอนสนามบิน ซื้อตั๋วคนละ 1,550 เยน จากเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติได้ตั๋วมาแล้ว พอถึงเวลาก็กระโดดขึ้นรถได้เลย
รอลิมูซีนไนท์บัสไปส่งที่ Namba
Limousine Night Bus จะมี 4 รอบหลังเที่ยงคืน ซื้อตั๋วที่เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ ค่าโดยสาร 1,550 เยน ออกจากสนามบินคันไซ ไปถึงสถานี Nankai Namba
– Terminal 2 ออกเวลา 0:15 และ 1:15
– Terminal 1 ออกเวลา 0:30 และ 1:30
ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีก็มาถึงสถานี Nankai Namba
เดินเล่นหาข้าวกินย่านนัมบะ
เนื่องจากพวกผมจองตั๋วเครื่องบินกระชั้นชิด ที่พักราคาถูกและดีจึงหายไปจากสารบบทั้งหมด รับปากน้องๆ แล้วด้วยว่าจะไม่นอน Hostel ต้องการส่วนตัว เลยไปได้ที่ AirBNB เป็นอพาร์ทเมนใกล้ๆ สถานี JR Namba เลย จองเสร็จสรรพ 3 คืน จริงๆ พักได้ถึง 4 คน แต่พวกผมมากัน 3 คน ก็โอเคเฉลี่ยเป็นเงินไทยตกคนละ 880 บาท/คืน เมื่อมาถึงสถานี Nankai Namba ก็หาที่ฝากท้องกันก่อนเป็นข้าวหน้าหมูชามละ 530 เยน
ข้าวหน้าหมู ถูกและดี
ทานกันเสร็จก็เดินหาที่พักจนเจอ เอารหัสที่ได้มาเปิดเมล์บ๊อกแล้วหยิบกุญแจเอาไปไขห้องพัก ทะเลาะกับรีโมทแอร์กับเครื่องทำน้ำร้อนภาษาญี่ปุ่นนิดหน่อย ก็อาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันแล้วก็นอน พรุ่งนี้เช้าจะไป Universal Studio Japan
รูปอพาร์ทเม้นท์ NAMBA! 2-3 จากเว็บไซต์ airbnb.com
https://www.airbnb.com/rooms/6732646
ตื่นมาก็จัดการตัวเองกันเรียบร้อย ไม่ลืมหยิบ Pocket Wifi จากที่พักติดตัวไปด้วย แชร์กัน 3 คน แค่นี้ไม่ต้องกลัวหลงทาง จิ้มพิกัดเลยเราจะไปสถานี Universal City กัน ค่าโดยสาร 180 เยน ซื้อที่เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติเช่นเดิม ใครถนัด Hyperdia ก็ใช้ ใครถนัด Google Map ก็ดี ในที่นี้ผมใช้ Google Map เพราะจะเห็นเส้นทางการเดินทางได้ชัดเจนกว่า จะบอกกระทั่งตำแหน่งของเรา ต้องนั่งรถไฟฟ้าสายอะไร กี่สถานที ลงที่ไหน ขึ้นรถที่ไหน ราคาเท่าไหร่ แนะนำมือถือที่ใช้ควรสนับสนุน GPS ของ Glonass เพราะจะทำให้จับสัญญาณ GPS ได้เร็วและแม่นยำมากขึ้น
การใช้ Google Map จาก JR Namba ไปยัง Universal Studio Japan
อีกอันก็คือ Hyperdia ส่วนตัวผมใช้สำหรับเช็คตารางเวลาของรถไฟแค่นั้นเพราะมีความแม่นยำกว่า Google Map แล้วก็นำมาบันทึกลงแพลนทริป เวลาจะใช้ก็เอาต้นทางและปลายทางมาค้นใน Google Map ใช้มาตลอดไม่มีหลงเลยครับ
การใช้ Hyperdia จาก JR Namba ไปยัง Universal City
เอาล่ะในที่สุดก็วาร์ปมาถึงหน้า Universal Studio Japan กันเลยดีกว่า พวกผมก็ตื่นเต้นกันนิดๆ แล้วล่ะ ว่าคนจะเยอะไหม จะได้เข้าแฮรี่รอบเช้าหรือเปล่า บัตร Express Pass จะหมดไหม พอมาถึงเราก็รีบไปซื้อตั๋วที่ Lawson เลย วานให้พนักงานช่วยซื้อให้ ได้ตั๋วมา 3 ใบเรียบร้อย ตกคนละ 7,200 เยน แอบถามว่าซื้อ Express Pass ได้ไหม พนักงานก็ใจดีช่วยทำให้แต่ปรากฏว่า Sold out หมดเกลี้ยง ดังนั้นทำใจไว้แล้วว่าเราไม่มีบัตรลัดคิวแล้วนะ เตรียมตัววิ่งไปเข้าโซนแฮรี่ให้ทันรอบแรกได้เลย แต่ก็ดีประหยัดไปได้หลายพันเยนเลยทีเดียว
ลูกโลกมหาชน Universal Studio Japan
สำหรับใครไม่รู้ว่า Express Pass คืออะไร บัตรนี้เรียกกันว่าบัตรลัดคิว โดยมีจะให้เลือกกว่าจะลัดคิวกี่เครื่องเล่น ถ้าซื้อแบบลัดคิวเครื่องเล่นเยอะๆ จะสามารถระบุเวลาเข้าไปโซน Harry Potter ได้ ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้ทาง Universal เปลี่ยนแปลงตลอด ดังนั้นให้เข้าไปดูที่เว็บไซต์จะดีที่สุด ส่วนราคา Express Pass ก็แพงพอๆ กับค่าเข้าเลย
คนต่อคิวรอเข้า Universal Studio Japan
เดินมาถึงที่ขายบัตรคนยืนต่อคิวกันเต็มเลย โชคดีที่พวกผมไปซื้อที่ Lawson กันเรียบร้อย ขอแผนที่มาจากเจ้าหน้าที่แล้วศึกษาเส้นทางไปยัง Harry Potter ที่เหลือก็แค่รอเวลาเปิด พอเปิดพวกผมก็ยื่นบัตรผ่านประตูให้เจ้าหน้าที่แล้วก็วิ่งๆๆๆๆ กัน ในที่สุดก็ได้เข้ามาโซนแฮรี่สมใจ รีบไปต่อคิวทันทีเพื่อเข้าชมฮอกวอตส์ ภายในปราสาทห้ามถ่ายรูป เลยมีแต่บรรยากาศรอบนอกมาฝากครับ
ปราสาทฮอกวอตส์
หลังจากอิ่มเอมกับแฮรี่ พอตเตอร์แล้ว ก็ต้องไม่พลาดกับบัตเตอร์เบียร์ ราคา 700 เยน แล้วก็เดินเล่นให้คุ้มกับการได้เข้ามารอบแรก แล้วก็ไปโต๋เต๋ต่อคิว Spider Man, Ride Backward, etc.
ร้านขาย Butter Beer
จนเย็นก็เดินทางกลับไปสถานี Shin-Imamiya ค่าโดยสาร 180 เยน ที่นี่มีออนเซนขึ้นชื่อ Spa World เปิดให้เข้าตลอดทั้งปี หน้าร้อนก็เข้าได้คนละ 1,200 เยน Spa world จะมี 2 โซน ได้แก่ European Zone กับ Asian Zone สลับกันระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย เช่น เดือนคี่ผู้ชายจะใช้ Asian Zone ผู้หญิงก็จะได้ใช้ European Zone พอเดือนคู่ผู้ชายก็จะมา European Zone ผู้หญิงก็จะไปใช้ที่ Asian Zone สลับกันไป
แผนที่รถไฟฟ้าจาก Universal Studio Japan ไปยัง Spa world
รูป Spa World ออนเซ็นขนาดใหญ่ใน Osaka จากเว็บไซต์ kansaiscence.com
https://www.kansaiscene.com/2012/12/a-world-away-from-the-city/
หลังจากสบายเนื้อสบายตัวกันเรียบร้อย พวกผมก็ต้องไปซื้อ Kansai Thru Pass สำหรับ 2 วัน ในการไปเที่ยวรอบๆ โอซาก้า จุดขายบัตรจะอยู่ที่ Osaka Visitors’ Information Center Namba ค่าบัตร 4,000 เยน
บัตร Kansai Thru Pass สำหรับ 2 วัน
ซื้อเสร็จเรียบร้อยพวกผมก็เดินไปยังร้านปู Kani Doraku ที่ขึ้นชื่อย่านโดทงโบริ จัดการจองคิวแล้วก็ไปเดินเล่นฆ่าเวลา ระหว่างทางก็เจอทาโกะยากิ เกี๊ยวซ่า ไอครีม ขนมปัง กินรองท้องไปเรื่อยแล้วก็แวะไปถ่ายป้ายไฟคุณลุงกูลิโกะกัน
ป้ายไฟกูลิโกะ โดทงโบริ
เนื่องด้วยเดินเล่นไปกินไปกันจนอิ่มเกินครึ่งไปแล้ว จึงตัดสินใจสั่งเซ็ตปู 10,000 เยน แล้วหารกัน จะได้ดูว่ามันเป็นอย่างไง ฟินแค่ไหน จากรูปนี้คือเขากว่าจะเสิร์ฟครบทั้งหมด พวกเราก็กินกันไปเยอะแล้ว เลยได้รูปซากปูมาแค่นี้ หวังว่าจะสร้างความฟินให้เพื่อนๆ ได้ไม่มากก็น้อย
ร้านปู Kani Doraku โดทงโบริ
ร้านปู Kani Doraku โดทงโบริ