ในที่สุดผมก็ไปตามหาหนังเรื่องนี้มาดูได้ซะที หลังจากเราได้ยินคนพูดถึงหนังเรื่องนี้บ่อยเหลือเกิน ผมชอบหนังเรื่อง Gravity มากๆ มันเป็นหนังทำให้เรามีอารมณ์ร่วมมากที่สุด เป็นประสบการณ์การดูหนังที่เราไม่เคยพบเจอมาก่อนในชีวิต และนั่นเองที่ทำให้เราอยากไปหาดูผลงานที่ขึ้นชื่อของคู่หูสุดสร้างสรรค์อย่าง Afonso Cuaron และ Emmanuel Lubezki
พอดูจบแล้ว เราชอบหนังเรื่องนี้มากนะ ปกติผมจะไม่ค่อยชอบหนังแนวนี้ซักเท่าไหร่ แต่หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องได้สนุกมากๆ และองค์ประกอบในด้านความเป็นหนังก็ทำได้ดีมากๆ เป็นส่วนผสมที่ลงตัวของสิ่งต่างๆที่ประกอบขึ้นมาเป็นภาพยนตร์
ผลงานด้านการถ่ายภาพอันเลื่องชื่อของ Emmanuel Lubezki ที่ผมเคยได้ยินมาในเรื่องนี้ ไม่ใช่คำกล่าวที่เกินจริงแต่อย่างใด Emmauel บันทึกภาพได้ยอดเยี่ยมมาก ฉาก long take ในเรื่องนี้น่าชื่นชมมากๆ มันไม่ใช่การสักแต่ว่าจะถ่าย long take เฉยๆ ผมรู้สึกว่ามันมีที่มา มีเหตุผลในการเลือกใช้ long take เรารู้สึกว่าซีนที่เค้าใช้ เค้าต้องการให้เรารู้สึกร่วมไปกับหนังในจังหวะนั้นๆ ซึ่งถ้าใช้การตัดต่อ มันก็อาจจะสื่ออารมณ์ได้เช่นกัน แต่เราเชื่อว่า long take มันดึงอารมณ์ร่วมได้มากกว่า และนี่คือจุดแข็งของหนังเรื่องนี้ ...มันคือการดึงอารมณ์ร่วมของคนดูนะ ไม่ใช่การถ่าย long take
นอกจากฉาก long take บนรถยนต์อันลือลั่นแล้ว ผมก็ชอบฉากตอนท้ายเรื่อง ตอนที่ Theo ต้องตามไปช่วย Kee ที่ถูกพาตัวเข้าไปในตึก โดยต้องพยายามวิ่งหลบดงลูกกระสุนที่สาดไปมาตลอด กล้องต้องวิ่งตาม Theo ไปตลอด วิ่งหลบตามมุมซอกตึก ตามซากปรักหักพัง วิ่งเข้ารถบัส แต่เราดูแล้วไม่รู้สึกเวียนหัวแต่อย่างใด กลับรู้สึกเหมือนเข้าไปร่วมอยู่ในสถานที่ตรงนั้นจริงๆ และซีนนี้เอง มีจังหวะที่มีเลือดกระเซ็นมาติดหน้ากล้อง ซึ่งดูแล้วคงไม่ได้มาจากความตั้งใจเป็นแน่ แต่มันกลับทำให้เรารู้สึกจริงมากยิ่งขึ้นไปอีก ผมว่านี่แหละ คือเสน่ห์อย่างหนึ่งของการถ่าย long take
ผมอาจจะเขียนถึงการถ่ายภาพเยอะหน่อย เพราะผมชอบจริงๆ อีกประเด็นหนึ่งที่อยากชื่นชมนอกจากฉาก long take แล้ว คือเรารู้สึกว่าในการถ่ายซีนธรรมดาๆ เค้าเลือกมุมกล้องได้เจ๋งมาก เราไม่เคยคิดมาก่อนว่า นอกจากการแสดงที่ทำหน้าที่ส่งอารมณ์มาให้เราได้แล้ว การถ่ายภาพก็ทำหน้าที่นั้นได้เช่นกัน เรายอมรับว่า เราไม่เคยคิดว่า การเลือกมุมกล้องหรือวิธีการถ่ายภาพ จะส่งผลอะไรมากมายกับหนังเรื่องหนึ่งมากนัก แต่เราเปลี่ยนความคิดนี้ไปสิ้นเชิงหลังดูหนังเรื่องนี้จบ
เราชอบดนตรีประกอบเรื่องนี้ หนังเรื่องนี้มีหลายซีนที่ต้องการอารมณ์ที่แตกต่างกัน บางฉากเป็นวิ่งหนีการไล่ล่า บางฉากเป็นฉากต้องหลบซ่อนตัว บางฉากเป็นการพูดคุยกันในเรื่องชีวิต และดนตรีในแต่ละช่วงก็ทำหน้าที่ของมันได้อย่างยอดเยี่ยมมาก
บทภาพยนตร์เรื่องนี้ เราไม่แน่ใจมากนักในแง่ของความสมจริง แต่สิ่งที่ต้องชื่นชมคือการผูกเรื่องและเดินเรื่องได้สนุกมากๆ สิ่งที่ต้องชมอีกอย่างคือ บทภาพยนตร์เรื่องนี้มันไม่ทิ้งคนดูอย่างเราๆ หลายๆแบ็คกราวน์ของตัวละครที่เราอยากรู้ หนังก็หาจังหวะบอกเราจนได้ และมันไม่ใช่จังหวะที่ยัดเยียดในการบอกด้วย มันหาจังหวะที่พอเหมาะพอดี แล้วเล่าให้เราฟัง และหลายซีนในการเล่านี้ เราก็ชอบมากๆ
ในส่วนพาร์ทของการแสดง เสียดายไปนิดที่ได้เห็นฝีมือของ Julianne Moore น้อยไปหน่อย แต่ด้วยน้อยซีนที่โผล่มา เราก็ยังชอบการแสดงของเธอมาก เรารู้สึกว่า Julianne เป็นคนที่แสดงเป็นอะไรก็ได้จริงๆ เรารู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติในทุกบทบาทของเธอ และบอกได้เลยว่า Julianne เป็นหนึ่งในนักแสดงขวัญใจผมเลย
ส่วนของ Clive Owen คงไม่ต้องพูดถึง เค้าเล่นเป็นตัวละครหลักในการดำเนินเรื่อง และเล่นได้เนียนตามากๆ แม้จะเป็นตัวละครที่ค่อนข้างแสดงออกน้อย เก็บความรู้สึกไว้ข้างในซะส่วนใหญ่ แต่ก็เล่นซีนที่ต้องแสดงความรู้สึกได้เก่งมาก ผมชอบซีนตอนที่ Julian ถูกยิงเสียชีวิต แล้วหลังจากจัดการศพของเธอเรียบร้อยแล้ว Theo หลบออกมากำลังจะจุดบุหรี่ แล้วเก็บอาการไว้ไม่อยู่ เค้าเข่าอ่อนและร้องไห้ แต่ในไม่กี่วินาทีถัดมาที่เค้าต้องกลับไปที่รถ เค้าต้องรีบเก็บอาการความเสียใจเอานั้นเอาไว้ ซีนนี้เล่นได้สุดยอดมากๆ และอีกซีนที่ผมชอบ คือตอนที่ Theo เดินมาแอบได้ยิน Jasper กำลังเล่าเรื่องของเค้ากับ Julian ให้ Miriam ฟัง ซีนนี้แววตาของ Clive สุดยอดจริงๆ
เราเชื่อว่าธรรมชาติสร้างสิ่งที่ดีที่สุดให้พวกเรา หลายครั้งหลายที เรามักจะฝืนสิ่งที่เป็นธรรมชาติ และมันก็มักจะถูกพิสูจน์ให้เห็นอยู่เสมอๆว่า มันไม่เวิร์คหรอก เราเชื่อว่าสิ่งที่ธรรมชาติกำหนดมา มันมีเหตุบางอย่าง ซึ่งหลายๆครั้งที่เราจะพยายามแก้ไขธรรมชาติ โดยเราหวังว่ามันจะทำให้อะไรบางอย่างดีขึ้นนั้น มันก็อาจจะดีได้ในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น สำหรับในระยะยาว ธรรมชาติก็จะให้คำตอบเราอยู่ดีว่า สิ่งที่ควรจะต้องเป็นไปคืออะไร
หลายๆครั้ง เรามักจะเกิดความขัดแย้งกันจากเรื่องบางอย่างที่เราไปกำหนดค่าให้มัน คนเราพอเติบโตขึ้นมา ก็มักจะถูกสิ่งรอบข้างเริ่มหล่อหลอมให้เราเป็นหรือคิดอะไรในแบบที่สิ่งแวดล้อมรอบข้างเป็น แต่เมื่อมองย้อนไปในวันแรกของชีวิตคนเราทุกคน เราเริ่มต้นมาจากสิ่งเดียวกัน เรามีที่มาเหมือนกัน วันแรกที่เราลืมตาดูโลก เราต้องการสิ่งเดียวกัน เราต้องการอ้อมกอดที่อบอุ่นจากแม่ เราต้องการน้ำนมจากอกแม่ เราร้องไห้ออกมาไม่ต่างกันเลย เมื่อเราเติบโตขึ้น อย่าให้เราลืมจุดเริ่มต้นของเราทุกคน เราไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำร้ายกัน แต่เราถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออยู่ร่วมกันและพึ่งพาอาศัยกันและกันมากกว่า
อีกประเด็นที่ผมชอบ คือเมื่อเราอยู่ในจุดที่ต้องเลือก เราจะตัดสินใจเลือกทางไหน Theo อาจจะเลือกตัดสินใจช่วย Kee เพราะ Julian เป็นคนขอให้ช่วยในตอนแรก แต่หลังจากนั้น เรารู้สึกว่า Theo ต้องการช่วยเหลือ Kee จริงๆ เค้าเลือกสิ่งที่เค้าคิดว่ามันจะดีต่อคนอื่น แม้จะรู้ว่ามันอาจจะทำให้ตัวเค้าลำบากก็ตาม หรือแม้แต่ Jasper ที่เลือกที่จะช่วยเหลือ Theo
และ Kee แม้ตัวเค้าเองจะต้องเอาชีวิตเข้าแลกก็ตาม
หนังพูดเรื่อง Faith (ศรัทธา) และ Chance (โอกาส) ได้น่าสนใจมากๆ เราทุกคนมีสิ่งที่เราศรัทธา มีสิ่งที่เราเชื่อกันอยู่ทุกคน และขณะเดียวกัน ชีวิตเราก็มีจังหวะและโอกาสเกิดขึ้นแตกต่างกันไป ซึ่งหลายๆครั้ง โอกาสที่มันเกิดขึ้นนั้น มันป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้เลย สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ได้มีใครกำหนดมาทั้งนั้น ทั้ง "ศรัทธา" และ "โอกาส" เป็นสิ่งที่มีอยู่คู่กันตลอด คอยสร้างความสมดุลให้แก่กัน แต่บางครั้งทั้ง 2 สิ่งก็อาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งกันในบางที เรารู้สึกว่า สิ่งที่ต่างกันของ 2 สิ่งนี้คือ เราเชื่อว่า "ศรัทธา" คือสิ่งที่อยู่ที่เรา มันไม่มีใครที่สามารถพรากมันไปจากเราได้ นอกจากตัวเราเอง แต่ "โอกาส" คือสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมมันได้ เราได้แต่ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดเท่านั้น แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เราแค่ต้องยอมรับกับมันเท่านั้นเอง แต่หลายครั้ง เราก็ต้องยอมรับว่า "โอกาส" ที่มันเกิดขึ้นนั้น มันโหดร้ายกับเรามากจนเกินไปจริงๆ จนบางครั้งมันอาจทำให้เราถึงกับสูญเสีย "ศรัทธา" ในบางสิ่งได้เลยเช่นกัน
เราชอบประโยคที่ Mariam พูดกับ Jasper ว่า "Everything happens for a reason." เราเชื่อเช่นกันว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนมีเหตุผลของมัน มันสอนให้เราเรียนรู้ในการที่จะทำใจยอมรับสิ่งที่มันเกิดขึ้นให้ได้ แต่ในขณะเดียวกัน ประโยคนี้ไม่ได้บอกให้เราอยู่เฉยๆรอรับผลที่มันจะเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องทำอะไร เราเองควรต้องทำปัจจุบันของเราให้เต็มที่ที่สุด และเมื่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม เราก็แค่ต้องยอมรับและเข้าใจว่า "Everything happens for a reason."
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
Children of Men - ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนมีเหตุผลของมัน (Spoil)
พอดูจบแล้ว เราชอบหนังเรื่องนี้มากนะ ปกติผมจะไม่ค่อยชอบหนังแนวนี้ซักเท่าไหร่ แต่หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องได้สนุกมากๆ และองค์ประกอบในด้านความเป็นหนังก็ทำได้ดีมากๆ เป็นส่วนผสมที่ลงตัวของสิ่งต่างๆที่ประกอบขึ้นมาเป็นภาพยนตร์
ผลงานด้านการถ่ายภาพอันเลื่องชื่อของ Emmanuel Lubezki ที่ผมเคยได้ยินมาในเรื่องนี้ ไม่ใช่คำกล่าวที่เกินจริงแต่อย่างใด Emmauel บันทึกภาพได้ยอดเยี่ยมมาก ฉาก long take ในเรื่องนี้น่าชื่นชมมากๆ มันไม่ใช่การสักแต่ว่าจะถ่าย long take เฉยๆ ผมรู้สึกว่ามันมีที่มา มีเหตุผลในการเลือกใช้ long take เรารู้สึกว่าซีนที่เค้าใช้ เค้าต้องการให้เรารู้สึกร่วมไปกับหนังในจังหวะนั้นๆ ซึ่งถ้าใช้การตัดต่อ มันก็อาจจะสื่ออารมณ์ได้เช่นกัน แต่เราเชื่อว่า long take มันดึงอารมณ์ร่วมได้มากกว่า และนี่คือจุดแข็งของหนังเรื่องนี้ ...มันคือการดึงอารมณ์ร่วมของคนดูนะ ไม่ใช่การถ่าย long take
นอกจากฉาก long take บนรถยนต์อันลือลั่นแล้ว ผมก็ชอบฉากตอนท้ายเรื่อง ตอนที่ Theo ต้องตามไปช่วย Kee ที่ถูกพาตัวเข้าไปในตึก โดยต้องพยายามวิ่งหลบดงลูกกระสุนที่สาดไปมาตลอด กล้องต้องวิ่งตาม Theo ไปตลอด วิ่งหลบตามมุมซอกตึก ตามซากปรักหักพัง วิ่งเข้ารถบัส แต่เราดูแล้วไม่รู้สึกเวียนหัวแต่อย่างใด กลับรู้สึกเหมือนเข้าไปร่วมอยู่ในสถานที่ตรงนั้นจริงๆ และซีนนี้เอง มีจังหวะที่มีเลือดกระเซ็นมาติดหน้ากล้อง ซึ่งดูแล้วคงไม่ได้มาจากความตั้งใจเป็นแน่ แต่มันกลับทำให้เรารู้สึกจริงมากยิ่งขึ้นไปอีก ผมว่านี่แหละ คือเสน่ห์อย่างหนึ่งของการถ่าย long take
ผมอาจจะเขียนถึงการถ่ายภาพเยอะหน่อย เพราะผมชอบจริงๆ อีกประเด็นหนึ่งที่อยากชื่นชมนอกจากฉาก long take แล้ว คือเรารู้สึกว่าในการถ่ายซีนธรรมดาๆ เค้าเลือกมุมกล้องได้เจ๋งมาก เราไม่เคยคิดมาก่อนว่า นอกจากการแสดงที่ทำหน้าที่ส่งอารมณ์มาให้เราได้แล้ว การถ่ายภาพก็ทำหน้าที่นั้นได้เช่นกัน เรายอมรับว่า เราไม่เคยคิดว่า การเลือกมุมกล้องหรือวิธีการถ่ายภาพ จะส่งผลอะไรมากมายกับหนังเรื่องหนึ่งมากนัก แต่เราเปลี่ยนความคิดนี้ไปสิ้นเชิงหลังดูหนังเรื่องนี้จบ
เราชอบดนตรีประกอบเรื่องนี้ หนังเรื่องนี้มีหลายซีนที่ต้องการอารมณ์ที่แตกต่างกัน บางฉากเป็นวิ่งหนีการไล่ล่า บางฉากเป็นฉากต้องหลบซ่อนตัว บางฉากเป็นการพูดคุยกันในเรื่องชีวิต และดนตรีในแต่ละช่วงก็ทำหน้าที่ของมันได้อย่างยอดเยี่ยมมาก
บทภาพยนตร์เรื่องนี้ เราไม่แน่ใจมากนักในแง่ของความสมจริง แต่สิ่งที่ต้องชื่นชมคือการผูกเรื่องและเดินเรื่องได้สนุกมากๆ สิ่งที่ต้องชมอีกอย่างคือ บทภาพยนตร์เรื่องนี้มันไม่ทิ้งคนดูอย่างเราๆ หลายๆแบ็คกราวน์ของตัวละครที่เราอยากรู้ หนังก็หาจังหวะบอกเราจนได้ และมันไม่ใช่จังหวะที่ยัดเยียดในการบอกด้วย มันหาจังหวะที่พอเหมาะพอดี แล้วเล่าให้เราฟัง และหลายซีนในการเล่านี้ เราก็ชอบมากๆ
ในส่วนพาร์ทของการแสดง เสียดายไปนิดที่ได้เห็นฝีมือของ Julianne Moore น้อยไปหน่อย แต่ด้วยน้อยซีนที่โผล่มา เราก็ยังชอบการแสดงของเธอมาก เรารู้สึกว่า Julianne เป็นคนที่แสดงเป็นอะไรก็ได้จริงๆ เรารู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติในทุกบทบาทของเธอ และบอกได้เลยว่า Julianne เป็นหนึ่งในนักแสดงขวัญใจผมเลย
ส่วนของ Clive Owen คงไม่ต้องพูดถึง เค้าเล่นเป็นตัวละครหลักในการดำเนินเรื่อง และเล่นได้เนียนตามากๆ แม้จะเป็นตัวละครที่ค่อนข้างแสดงออกน้อย เก็บความรู้สึกไว้ข้างในซะส่วนใหญ่ แต่ก็เล่นซีนที่ต้องแสดงความรู้สึกได้เก่งมาก ผมชอบซีนตอนที่ Julian ถูกยิงเสียชีวิต แล้วหลังจากจัดการศพของเธอเรียบร้อยแล้ว Theo หลบออกมากำลังจะจุดบุหรี่ แล้วเก็บอาการไว้ไม่อยู่ เค้าเข่าอ่อนและร้องไห้ แต่ในไม่กี่วินาทีถัดมาที่เค้าต้องกลับไปที่รถ เค้าต้องรีบเก็บอาการความเสียใจเอานั้นเอาไว้ ซีนนี้เล่นได้สุดยอดมากๆ และอีกซีนที่ผมชอบ คือตอนที่ Theo เดินมาแอบได้ยิน Jasper กำลังเล่าเรื่องของเค้ากับ Julian ให้ Miriam ฟัง ซีนนี้แววตาของ Clive สุดยอดจริงๆ
เราเชื่อว่าธรรมชาติสร้างสิ่งที่ดีที่สุดให้พวกเรา หลายครั้งหลายที เรามักจะฝืนสิ่งที่เป็นธรรมชาติ และมันก็มักจะถูกพิสูจน์ให้เห็นอยู่เสมอๆว่า มันไม่เวิร์คหรอก เราเชื่อว่าสิ่งที่ธรรมชาติกำหนดมา มันมีเหตุบางอย่าง ซึ่งหลายๆครั้งที่เราจะพยายามแก้ไขธรรมชาติ โดยเราหวังว่ามันจะทำให้อะไรบางอย่างดีขึ้นนั้น มันก็อาจจะดีได้ในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น สำหรับในระยะยาว ธรรมชาติก็จะให้คำตอบเราอยู่ดีว่า สิ่งที่ควรจะต้องเป็นไปคืออะไร
หลายๆครั้ง เรามักจะเกิดความขัดแย้งกันจากเรื่องบางอย่างที่เราไปกำหนดค่าให้มัน คนเราพอเติบโตขึ้นมา ก็มักจะถูกสิ่งรอบข้างเริ่มหล่อหลอมให้เราเป็นหรือคิดอะไรในแบบที่สิ่งแวดล้อมรอบข้างเป็น แต่เมื่อมองย้อนไปในวันแรกของชีวิตคนเราทุกคน เราเริ่มต้นมาจากสิ่งเดียวกัน เรามีที่มาเหมือนกัน วันแรกที่เราลืมตาดูโลก เราต้องการสิ่งเดียวกัน เราต้องการอ้อมกอดที่อบอุ่นจากแม่ เราต้องการน้ำนมจากอกแม่ เราร้องไห้ออกมาไม่ต่างกันเลย เมื่อเราเติบโตขึ้น อย่าให้เราลืมจุดเริ่มต้นของเราทุกคน เราไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำร้ายกัน แต่เราถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออยู่ร่วมกันและพึ่งพาอาศัยกันและกันมากกว่า
อีกประเด็นที่ผมชอบ คือเมื่อเราอยู่ในจุดที่ต้องเลือก เราจะตัดสินใจเลือกทางไหน Theo อาจจะเลือกตัดสินใจช่วย Kee เพราะ Julian เป็นคนขอให้ช่วยในตอนแรก แต่หลังจากนั้น เรารู้สึกว่า Theo ต้องการช่วยเหลือ Kee จริงๆ เค้าเลือกสิ่งที่เค้าคิดว่ามันจะดีต่อคนอื่น แม้จะรู้ว่ามันอาจจะทำให้ตัวเค้าลำบากก็ตาม หรือแม้แต่ Jasper ที่เลือกที่จะช่วยเหลือ Theo
และ Kee แม้ตัวเค้าเองจะต้องเอาชีวิตเข้าแลกก็ตาม
หนังพูดเรื่อง Faith (ศรัทธา) และ Chance (โอกาส) ได้น่าสนใจมากๆ เราทุกคนมีสิ่งที่เราศรัทธา มีสิ่งที่เราเชื่อกันอยู่ทุกคน และขณะเดียวกัน ชีวิตเราก็มีจังหวะและโอกาสเกิดขึ้นแตกต่างกันไป ซึ่งหลายๆครั้ง โอกาสที่มันเกิดขึ้นนั้น มันป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้เลย สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ได้มีใครกำหนดมาทั้งนั้น ทั้ง "ศรัทธา" และ "โอกาส" เป็นสิ่งที่มีอยู่คู่กันตลอด คอยสร้างความสมดุลให้แก่กัน แต่บางครั้งทั้ง 2 สิ่งก็อาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งกันในบางที เรารู้สึกว่า สิ่งที่ต่างกันของ 2 สิ่งนี้คือ เราเชื่อว่า "ศรัทธา" คือสิ่งที่อยู่ที่เรา มันไม่มีใครที่สามารถพรากมันไปจากเราได้ นอกจากตัวเราเอง แต่ "โอกาส" คือสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมมันได้ เราได้แต่ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดเท่านั้น แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เราแค่ต้องยอมรับกับมันเท่านั้นเอง แต่หลายครั้ง เราก็ต้องยอมรับว่า "โอกาส" ที่มันเกิดขึ้นนั้น มันโหดร้ายกับเรามากจนเกินไปจริงๆ จนบางครั้งมันอาจทำให้เราถึงกับสูญเสีย "ศรัทธา" ในบางสิ่งได้เลยเช่นกัน
เราชอบประโยคที่ Mariam พูดกับ Jasper ว่า "Everything happens for a reason." เราเชื่อเช่นกันว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนมีเหตุผลของมัน มันสอนให้เราเรียนรู้ในการที่จะทำใจยอมรับสิ่งที่มันเกิดขึ้นให้ได้ แต่ในขณะเดียวกัน ประโยคนี้ไม่ได้บอกให้เราอยู่เฉยๆรอรับผลที่มันจะเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องทำอะไร เราเองควรต้องทำปัจจุบันของเราให้เต็มที่ที่สุด และเมื่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม เราก็แค่ต้องยอมรับและเข้าใจว่า "Everything happens for a reason."
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/