เราจะสังเกตเห็นว่า ราคาหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาการซื้อขาย
และถ้าการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นเป็นไปตามแนวโน้ม
เราสามารถที่จะใช้หลักการวิเคราะห์ทางเทคนิคมาช่วยในการวิเคราะห์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่ถ้าราคาหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงอย่างรวดเร็ว
มีความผันผวนของราคาห่างกันมาก
การใช้อินดิเคเตอร์บางตัวจะไม่มีประสิทธิภาพ
เพราะราคาหุ้นขยับไปเร็วกว่าสัญญาณทางเทคนิค
ซึ่งความผันผวนที่เกิดขึ้นนี้
นักลงทุนจะต้องพบอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถหลีกเหลี่ยงได้
แต่สิ่งที่นักลงทุนสามารถทำได้ก็คือ
การกำหนดกรอบความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หรือก็คือการ Limit Loss
โดยส่วนตัวแล้ว ผู้เขียนมักกำหนด Limit Loss ไว้ที่ 2% ของพอร์ทฯ การลงทุน
เช่น ถ้ามีเงินลงทุน 1 ล้านบาท และ Limit Loss ไว้ที่ 2%
หรือก็คือเราสามารถยอมรับการขาดทุนได้ที่ 1,000,000*2/100 = 20,000 บาท
และสำหรับการนำไปประยุกต์ เพื่อใช้กับการวิเคราะห์ทางเทคนิค
จากบทความที่ผ่านมา เรื่องการหารจังหวะเข้าซื้อในหุ้น BCP
https://www.facebook.com/tasimplifieds/posts/358321307671552
จากตัวอย่าง
กำหนดให้ราคาเข้าซื้อที่ 30 บาทต่อหุ้น
และราคา Stop Loss ไว้ที่ 27.5 บาทต่อหุ้น
ดังนั้นความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ก็คือ 30-27.5=2.5 บาท
ให้เรานำค่าของ Limit Loss หารด้วย ราคา Stop Loss (จากการวิเคราะห์ทางเทคนิค)
ก็จะได้ 20,000/2.5 = 8,000
หรือก็คือเราสามารถซื้อหุ้นได้ 8,000 หุ้น ที่ราคา 30 บาทต่อหุ้น
รวมเป็นเงินค่าซื้อหุ้นประมาณ 240,000 บาท
และมีราคา Stop Loss อยู่ที่ 27.5 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้จะสังเกตุเห็นว่า
ถ้าราคา Stop Loss อยู่ใกล้กับราคาซื้อมากๆ
เราก็สามารถซื้อหุ้นได้จำนวนเพิ่มขึ้น แต่ราคา Stop Loss ก็จะอยู่ใกล้มากด้วยเช่นกัน
แต่ถ้าเรานำไปประยุกต์เพื่อซื้อแบบ DCA หรือ ซื้อแบบสะสม (ไม่ขายในระยะเวลาอันสั้น)
เราก็สามารถกำหนดราคา Stop Loss ให้อยู่ไกลมากๆ ได้
ซึ่งเราจะได้ผลตอบแทนจากการปันผล และกำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้น ในขณะที่ราคาหุ้นมีแนวโน้มขึ้น
ข้อมูลอ้างอิง
*
https://www.facebook.com/tasimplifieds
* บทความนี้ ได้นำมาจากหนังสือเรื่อง เสริมรายได้ด้วยการลงทุนไปกับหุ้นออนไลน์ ปี 2551 (ไม่มีจัดจำหน่ายแล้ว)
***** เทคนิคบริหารจัดการเงินลงทุน ด้วยการ Limit Loss ไว้ที่ 2% ของพอร์ทฯ (สำหรับมือใหม่) *****
และถ้าการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นเป็นไปตามแนวโน้ม
เราสามารถที่จะใช้หลักการวิเคราะห์ทางเทคนิคมาช่วยในการวิเคราะห์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่ถ้าราคาหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงอย่างรวดเร็ว
มีความผันผวนของราคาห่างกันมาก
การใช้อินดิเคเตอร์บางตัวจะไม่มีประสิทธิภาพ
เพราะราคาหุ้นขยับไปเร็วกว่าสัญญาณทางเทคนิค
ซึ่งความผันผวนที่เกิดขึ้นนี้
นักลงทุนจะต้องพบอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถหลีกเหลี่ยงได้
แต่สิ่งที่นักลงทุนสามารถทำได้ก็คือ
การกำหนดกรอบความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หรือก็คือการ Limit Loss
โดยส่วนตัวแล้ว ผู้เขียนมักกำหนด Limit Loss ไว้ที่ 2% ของพอร์ทฯ การลงทุน
เช่น ถ้ามีเงินลงทุน 1 ล้านบาท และ Limit Loss ไว้ที่ 2%
หรือก็คือเราสามารถยอมรับการขาดทุนได้ที่ 1,000,000*2/100 = 20,000 บาท
และสำหรับการนำไปประยุกต์ เพื่อใช้กับการวิเคราะห์ทางเทคนิค
จากบทความที่ผ่านมา เรื่องการหารจังหวะเข้าซื้อในหุ้น BCP
https://www.facebook.com/tasimplifieds/posts/358321307671552
จากตัวอย่าง
กำหนดให้ราคาเข้าซื้อที่ 30 บาทต่อหุ้น
และราคา Stop Loss ไว้ที่ 27.5 บาทต่อหุ้น
ดังนั้นความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ก็คือ 30-27.5=2.5 บาท
ให้เรานำค่าของ Limit Loss หารด้วย ราคา Stop Loss (จากการวิเคราะห์ทางเทคนิค)
ก็จะได้ 20,000/2.5 = 8,000
หรือก็คือเราสามารถซื้อหุ้นได้ 8,000 หุ้น ที่ราคา 30 บาทต่อหุ้น
รวมเป็นเงินค่าซื้อหุ้นประมาณ 240,000 บาท
และมีราคา Stop Loss อยู่ที่ 27.5 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้จะสังเกตุเห็นว่า
ถ้าราคา Stop Loss อยู่ใกล้กับราคาซื้อมากๆ
เราก็สามารถซื้อหุ้นได้จำนวนเพิ่มขึ้น แต่ราคา Stop Loss ก็จะอยู่ใกล้มากด้วยเช่นกัน
แต่ถ้าเรานำไปประยุกต์เพื่อซื้อแบบ DCA หรือ ซื้อแบบสะสม (ไม่ขายในระยะเวลาอันสั้น)
เราก็สามารถกำหนดราคา Stop Loss ให้อยู่ไกลมากๆ ได้
ซึ่งเราจะได้ผลตอบแทนจากการปันผล และกำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้น ในขณะที่ราคาหุ้นมีแนวโน้มขึ้น
ข้อมูลอ้างอิง
* https://www.facebook.com/tasimplifieds
* บทความนี้ ได้นำมาจากหนังสือเรื่อง เสริมรายได้ด้วยการลงทุนไปกับหุ้นออนไลน์ ปี 2551 (ไม่มีจัดจำหน่ายแล้ว)