จขกท. มีโอกาสได้รำลึกความหลัง คุยกับน้องสาวเรื่องที่เราเติบโตขึ้นมาโดยไม่เสียผู้เสียคนกันได้อย่างไรนะ แน่นอนว่าหนึ่งในสาเหตุหลักคือผู้หญิงคนหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าแม่นั่นเอง
ตอนคุยกันเรื่องราวสมัยเด็กมันไม่ได้รันทดอย่างที่มันควรจะเป็น เรื่องทุกอย่างที่เล่ามันเต็มไปด้วยสุขตามประสาเด็กๆ ยากจนแต่ก็มีความสุข เนื้อหาที่คุยกันประมาณ
จขกท : ตอนเด็กๆ เรายากจนเนอะ
น้องสาว : เฮ้ย! ก็แค่ยากจนเอง (แล้วก็หัวเราะกันเป็นบ้าเป็นหลังสองคนพี่น้อง)
จขกท : แม่ก็ไม่รู้เลี้ยงลูกร่วมสิบคนมาได้ยังไงคนเดียว พ่อก็เสียตั้งแต่เรายังเด็ก (พ่อเสียตั้งแต่ จขกท. ยังอยู่ ป.4)
น้องสาว : เฮ้ย! ก็แค่พ่อเสียเอง ไม่ได้รันทดอะไรขนาดนั้น (เอ่อ!! พ่อเสียแต่เด็กไม่ค่อยรันทดเท่าไหร่เลยเนอะ หัวเราะอีกรอบสองคนพี่น้อง สรุปเมากาวหรือเปล่านี่)
เออ แล้วตอนเด็กๆ นี่ เรากินอะไรกันหรอ(ตอนนั้นนางยังเด็ก นางจำอะไรไม่ค่อยได้)
จขกท : อ้าว จำไม่ได้หรอ อาหารหลักก็ปลาทู(หนึ่งเข่งมีประมาณ 4 ตัว แล้วก็กินกันทั้งครอบครัว) กับไข่เจียว บางวันดีหน่อยก็มีเกาเหลาหนึ่งถุงแบ่งกินกัน ทั้งบ้าน หรือไม่ก็หมูแดงซึ้อหนึ่งถุงบอกเขาขอน้ำเยอะๆ เพราะต้องแบ่งกินกันทั้งบ้านอีกเช่นกัน ก๋วยจั๊บบ้าง ขนมจีนบ้าง ตามแต่เงินในกระเป๋า แต่ทุกครั้งจะต้องบอกว่าขอน้ำราด น้ำแกงเยอะๆ (ตอนหลังที่บ้านเปลี่ยนมาขายก๋วยเตี๋ยวก็เลยจะได้กิน เส้นกับน้ำ ส่วนเนื้อสัตว์กับลูกชิ้นต้องเก็บไว้ขาย)
น้องสาว : อ้าวเรากินกันแบบนี้หรอ 5555
เอาล่ะที่นี้ก็มาเข้าเรื่องตอนสมัยเด็กกันเถอะ จขกท. เกิดและเติบโตใน กทม. มีพ่อแม่พี่น้องในครอบครัวรวมกันก็ร่วมสิบชีวิต พ่อแม่ไม่รู้หนังสือทั้งคู่ เพราะพ่อโล้สำเภามา ส่วนแม่ก็โล้มาตั้งแต่รุ่นตายาย จึงไม่ได้เรียนหนังสือทั้งคู่ เมื่อถึงเวลาที่ลูกถึงเกณฑ์เข้าก็ไม่ได้พาไปเข้า จนกระทั่งผู้ใหญ่บ้านต้องมาตาม
เหตุการณ์ก็ผ่านไปเช่นนี้อยู่หลายปี พ่อของ จขกท. เป็นคนจีนก็จริง แต่ในชีวิตจริงมันไม่ได้เหมือนในนิยาย เสื่อผืนหมอนใบ แล้วมาร่ำรวย พ่อจนยังไงก็ยังคงจนอยู่อย่างนั้น ยิ่งมีลูกมากก็ยิ่งยากจน (พ่อค้าขายไม่เก่ง)
ในครอบครัวพ่อทำงานหาเลี้ยงคนเดียว เพราะแม่ต้องเลี้ยงลูกอยู่บ้าน แล้วทำงานบ้าน พี่ๆ ที่เริ่มโตก็จะมาช่วยกันอย่างขยันขันแข็ง ทุกคนในบ้านต้องแบ่งงานกันทำ แต่ด้วย จขกท. เกิดในครอบครัวคนจีน ฉะนั้นผู้หญิงมีหน้าที่ทำงาน ส่วนผู้ชายมีหน้าที่เรียนหนังสือ ผู้หญิงในบ้านจะเรียนกันแค่ ป.6 หลังจากนั้นก็ต้องออกมาหางานทำ ถึงแม้พี่ชายของ จขกท. ไม่ต้องทำงานบ้านหรือแม้กระทั่งหาเงินเข้าบ้าน แต่ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจดีว่าบ้านยากจน ดังนั้นหากมีงานพิเศษทุกคนก็จะไปทำ
แม่จะเป็นคนที่เก็บเงินและวางแผนใช้จ่ายในบ้าน แม่ไม่เคยซื้อของสุรุ่ยสุร่าย (แค่กินไปวันๆ ยังเครียดเลย555) แม่จะคอยสอนตลอด คนเราถ้าขยันทำมาหากิน ไม่เล่นการพนัน ไม่กินเหล้าเมายา ไม่เป็นหนี้ รู้จักอดออม ไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย เราก็ไม่อดตายหรอก คำพูดเหล่านี้มันเหมือนเป็นพรประกาศิตทีเดียว เพราะลูกๆ ของแม่แต่ละคนก็ปฏิบัติตัวตามคำสอนของแม่ จนบางครั้ง จขกท. ก็โดนเพื่อนแซวว่างก เพราะจะจ่ายอะไรแต่ละทีก็คิดแล้วคิดอีก แล้วสวนเพื่อนกลับไปทุกครั้งว่าไม่ได้งก เขาเรียกว่ารู้จักใช้เงินต่างหาก
แม่ชอบซื้อผลไม้ทีละเยอะๆ ประมาณเหมากองที่ผลไม้มันไม่ค่อยสวย ไม่ดีแล้ว ใกล้เน่า แม่ค้าจะขายถูกๆ ให้ แม่บอกว่าแค่เปลือกนอกมันไม่สวยเราก็หั่นทิ้งไป ข้างในมันยังดีๆ อยู่ เราก็ยังกินได้ ดังนั้นนิสัยเหล่านี้ก็ติดตัวมาจนถึงทุกวันนี้ จขกท. ชอบซื้อของตอนลดราคาเสมอ 555
ตอนสมัยเด็กๆ เสื้อผ้านักเรียนส่วนใหญ่จะได้รับแจกมา เขามีมาบริจาคที่ ร.ร. ก็ทำให้ได้ใส่ชุดนักเรียนใหม่ๆ บ้างเหมือนกัน แต่ดั้นไม่มีใครมาบริจาคถุงเท้า กับรองเท้านี่ซิ ฉะนั้นถุงเท้า จขกท. ก็มักจะมีนิ้วโผล่ออกมาเสมอ บางครั้งยางก็ยืดจนต้องเอาหนังสติ๊กรัดไว้ไม่ให้ถุงเท้ามันร่น จนบางครั้งรัดแน่นไปจนเลือดแทบไม่หล่อเลี้ยง เขียวแดงเป็นจ้ำๆ 555 ส่วนรองเท้าก็ปากอ้าบ้าง เป็นรูบ้าง ถ้าอ้ามากๆ ก็เอาหนังสติ๊กรัด (สารพัดประโยชน์จริงๆ 555) แม่เคยเล่าให้ฟังเมื่อโตมาแล้วว่า พี่ชายคนโตใส่รองเท้าขาดเป็นรูจนนิ้วโป้งโผล่ออกมา แม่บอกว่าจะเก็บเงินซื้อรองเท้าใหม่ให้ แต่พี่ชายตอบว่า ไม่เป็นไรหรอกมันยังใส่ได้อยู่ แม่เล่าไปน้ำตาซึมไปT_T
ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง ตรงที่ลูกหลายคนของแม่เป็นเด็กเรียนดี ทั้งๆ ที่พ่อแม่ไม่รู้หนังสือ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ฉะนั้นไม่ต้องหวังว่าจะให้ใครมาสอนการบ้าน จขกท. ก็ยังดีหน่อยที่เป็นน้องเกือบสุดท้อง มีอะไรก็ถามพี่ๆ ได้ พอเรียนดีแล้วยากจนโอกาสมันก็มักจะมาหาอยู่เสมอ จขกท. มักจะได้รับความช่วยเหลือจากครูบาอาจารย์ เนื่องจากท่านรู้ว่าครอบครัวยากจน พ่อแม่มีลูกมาก อีกทั้งเรายังประพฤติตัวเป็นเด็กดี ทำให้บรรดาครูอาจารย์ต่างหยิบยื่นความอนุเคราะห์ให้ อาทิเช่น ได้รับแจกเสื้อผ้าบ้าง ได้ทุนอาหารกลางวัน ได้ทุนเป็นเงิน (T_T ทุนนี้จำได้ขึ้นใจ เพราะเอาไปซื้อถุงเท้าใหม่ กับกระเป๋าที่ขาดจนเป็นรู ของหล่นเรี่ยราดเป็นประจำ จนต้องเอาคลิปดำมาหนีบไว้)
และแล้วช่วงเวลาแห่งความสุขในวัยเด็กของ จขกท. ก็หมดลง เมื่อถึงเวลาใกล้จบ ป.6 ครูให้เอกสารมากรอกว่าใครจะไปต่อ ร.ร. ไหนกันบ้าง จขกท. จับปากกามือสั่นเล็กน้อย แววตาที่เศร้าหมองเริ่มมีน้ำตาปริ่มขึ้นมา แล้วมันก็หยดลงมาบนกระดาษที่ จขกท. เขียนข้อความไปว่า "ไม่เรียนต่อ" หลังจากนั้นก็เศร้ามากมายเพราะ จขกท. ต้องฟังเรื่องที่เพื่อนๆ คุยกันว่าจะไปต่อที่ไหน ส่วนตัวเราได้แต่ก้มหน้าแล้วตอบไปว่า ไม่เรียน
และแล้ววันหนึ่งเหมือนสวรรค์จะเห็นใจ จขกท. ถูกอาจารย์ประจำภาคชั้นเรียกไปพบ ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเรียกทำไม ครูท่านนั้นถามว่าทำไมไม่เรียนต่อ จขกท. ก็ตอบว่า เรียนจบแล้วต้องออกไปทำงานช่วยที่บ้าน ครูก็นิ่งไปแล้วพูดขึ้นมาว่า เรียนต่อไหม ร.ร. จะให้ทุน จขกท.ดีใจจนแทบกระโดด วันนั้นกลับบ้านไปบอกแม่ด้วยความดีใจ ยิ้มแก้มแทบแตก
แต่ก็อีกนั่นแหละชีวิตคนเราไม่ใช่นิยาย มันไม่ได้จบแบบแฮปปี้ แม่บอกกับ จขกท. ว่า ถ้าไปเรียนแล้วที่บ้านจะเอาอะไรกิน เนื่องจากที่บ้านประชากรเยอะ ถึงจะมีพี่บางคนทำงานแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะได้เงินเดือนเยอะแยะที่จะพอจุนเจือทั้งครอบครัว ตอนนั้นพ่อเสียไปแล้ว ถ้า จขกท. ไม่ทำงานก็ต้องเป็นภาระให้ครอบครัวส่งเสียอีก
ตอนนั้นเศร้าและเสียใจมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ก็ได้แต่ก้มหน้าขายของไป เปิดเทอมต้องเข็นรถผ่านเพื่อนๆ ที่กำลังเดินทางไป ร.ร. เพื่อนหันมายิ้มให้ แต่ จขกท. ยิ้มตอบพร้อมน้ำตา แม่บอกว่าไม่ต้องเสียใจ ไม่ใช่ว่าแม่ไม่อยากให้เรียน แต่เพราะเราไม่มีเงินจะกิน จึงต้องออกมาทำมาหากิน ถ้าเราขยันอดทน รู้จักเก็บเงิน เราก็ไม่ลำบากหรอก แต่ตอนนั้นในหัวของ จขกท. คิดว่าถ้าได้เรียนสูงๆ มันจะต้องมีงานทำที่ดีกว่านี้ (การฝังใจเรื่องนี้เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต)
ยังมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ พี่สาวสงสารเห็น จขกท. นั่งร้องไห้ จึงแนะนำว่า ถ้าอยากเรียนก็ไปลงเรียนภาคค่ำได้นะ ไม่ต้องเสียใจ น้ำตาที่ปริ่มอยู่เหือดแห้งทันที แล้วยิ้มดีใจให้พี่พาไปสมัครเรียน ลั่นล้าอยู่ได้ไม่นาน แต่แล้วก็ต้องผิดหวังกลับมาอีก เพราะอาจารย์ที่รับสมัครบอกว่าอายุน้อยไปให้มาสมัครใหม่ปีหน้า จขกท. อดทนหนึ่งปีเต็มแล้วกลับไปสมัครอีกครั้ง คราวนี้ตอนกลางวันขายของ ตกเย็นก็ไปเรียน
ด้วยความอดทนขยันขันแข็งของทุกคนในบ้านทำให้ฐานะทางบ้านดีขึ้น จนกระทั่งแม่เริ่มแก่ไปขายของไม่ค่อยไหว พี่ชายคนโต(ที่เคยใส่รองเท้าเป็นรู) จบวิศวะแล้วได้เงินเดือนค่อนข้างเยอะพอสมควร แม่เลยเลิกขายของ ส่วน จขกท. ก็ไปลงเรียนสายพาณิชย์ที่เรียนแค่ช่วงบ่าย ส่วนช่วงเช้า จขกท. ไปสมัครเป็นพนักงานที่ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง 7 วัน จขกท. ไม่เคยได้หยุดพัก มีโอกาสไปเที่ยวกับเพื่อนบ้างบางครั้ง แต่ก็ถือว่าน้อย เพราะต้องเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย
พอจบ ปวช. แม่ก็บอกว่าไปสมัครทำงานได้แล้วนะเพราะมีวุฒิ ปวช. จขกท. บอกกับแม่ไปว่า วุฒิแค่นี้มันไม่พอหรอกนะแม่ หลังจากจึงเรียนต่อสายเดิมแล้วหางานทำ ด้วยความโชคดี จขกท. สอบติด ปวส. ที่ ร.ร. รัฐบาล ทำให้เสียค่าเทอมถูกมาก 1,500 (สมัยยี่สิบปีก่อน) จขกท.ไม่ได้เรียนทั้งวันจึงเอาเวลาที่เหลือไปหางานทำ ทั้งขายของในสำเพ็ง เป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อ หรือบางทีก็รับจ้างพิมพ์รายงาน พิมพ์แบบสอบถาม
เช่นเดิมพอจบ ปวส. จขกท. ก็สอบต่อ ป.ตรีต่อเนื่อง เพราะเคยมีปมเรื่องเรียน จขกท. จึงทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย เก็บเงินเรียนไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายวุฒิสูงสุดของ จขกท. คือจบ ป.โท แล้วทำงานในตำแหน่งระดับ ผจก.ฝ่าย ในระหว่างทำงานก็ไปฝึกอบรมสารพัดอย่าง จนกระทั่งผิดหวังเรื่องความรัก เขาว่ากันว่าคนบางคน lucky in game but unlucky in love จขกท. ก็เป็นหนึ่งในนั้น จึงรวบรวมเงินทั้งหมดส่งตัวเองไปเรียนนอก (แต่ไปลงแค่คอร์สภาษา กับคอร์สธุรกิจระหว่างประเทศ ไม่ได้ลงปริญญาตามที่คิดเอาไว้ เพราะมันต้องใช้เงินเยอะพอสมควร) ปล.ที่ จขกท. มีเงินเก็บพอสมควรเพราะแม่สอนให้รู้จักประหยัดอดออม ตอนทำงานแม่บอกว่าให้ไปซื้อทองเก็บเอาไว้ เพราะทองมีแต่จะเพิ่มมูลค่า แม่ฉลาดหลักแหลมมาก เพราะ จขกท.ซื้อทองเก็บไว้ตั้งแต่เริ่มทำงาน ตอนเอาไปขายได้กำไร 200% (แต่ตอนนี้ลงทุนในทองคำมีปัจจัยเยอะไม่เหมือนเมื่อก่อน การลงทุนมีความเสี่ยง)
หลังจากนั้นฐานะทางบ้านก็เริ่มดีตามลำดับ ไม่ถึงกับร่ำรวย แต่ถือว่าห่างไกลจากความยากจนมามาก จากครอบครัวที่ใครๆ ก็ไม่อยากจะคบค้ามากมายเพราะยากจน แต่ตอนนี้ผู้คนที่เคยรู้จักก็กลับมาให้ความสนิทสนม อยากคบค้าสมาคม แม้กระทั่งญาติๆ
ความเจริญทั้งหมดทั้งมวล จขกท. ขอยกให้กับพ่อแม่ ผู้ที่สั่งสอนลูกให้เจริญก้าวหน้า ความยากจนมันไม่ได้น่ากลัว รันทด เพราะ จขกท. ก็เติบโตมาแบบที่ชีวิตมีความสุข สนุกสนาน อาจจะมีเศร้าบ้างบางครั้ง แต่ก็เป็นธรรมดาของทุกคน เวลาที่จะคิดน้อยอกน้อยใจมีบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยมีเวลามากนัก เพราะส่วนใหญ่จะเอาเวลาไปวางแผนชีวิตมากกว่า ว่าทำอย่างไรให้ชีวิตดีขึ้น การศึกษานั้นก็เป็นหนึ่งในคำตอบ ที่จะยกระดับชีวิตของเรา บางคนอาจจะแย้งว่าก็มีหลายคนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ยังร่ำรวย หากคุณฉลาดเหมือนพวกเขา มีความสามารถเหมือนพวกเขา การศึกษาก็ไม่จำเป็น แต่ถ้าคุณไม่ได้มีคุณสมบัติเหล่านั้นเหมือนพวกเขาละ?
ฉะนั้นหากเราขยันอดทน ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทั้งหลาย รู้จักอดออม ไม่ก่อหนี้(ที่ไม่มีความจำเป็น) ไม่สุรุ่ยสุร่าย การเรียนอย่าทิ้ง(หากมีโอกาสที่จะเรียน) วันหนึ่งคุณจะห่างไกลจากความยากจน
จขกท. แค่อยากจะแชร์มุมมองของคนที่เคยยากจนมาก่อน มันก็ไม่ได้รันทดขนาดนั้น มันก็มีความสุขในแบบของมัน อีกทั้งยังเป็นแรงผลักดันให้ก้าวเดิน หวังว่ามันจะสะท้อนมุมมอง หรือให้แง่คิดอะไรบางอย่าง ไม่มากก็น้อย^_^
ปล.เรื่องที่เล่าก็ผ่านมาร่วมสามสิบกว่าปีแล้ว อาจจะยาวไปหน่อยนะ (สนับสนุนคนไทยให้อ่านหนังสือเกิน 8 บรรทัด555)
แชร์ประสบการณ์แม่จน สอนลูกให้พ้นความยากจน
ตอนคุยกันเรื่องราวสมัยเด็กมันไม่ได้รันทดอย่างที่มันควรจะเป็น เรื่องทุกอย่างที่เล่ามันเต็มไปด้วยสุขตามประสาเด็กๆ ยากจนแต่ก็มีความสุข เนื้อหาที่คุยกันประมาณ
จขกท : ตอนเด็กๆ เรายากจนเนอะ
น้องสาว : เฮ้ย! ก็แค่ยากจนเอง (แล้วก็หัวเราะกันเป็นบ้าเป็นหลังสองคนพี่น้อง)
จขกท : แม่ก็ไม่รู้เลี้ยงลูกร่วมสิบคนมาได้ยังไงคนเดียว พ่อก็เสียตั้งแต่เรายังเด็ก (พ่อเสียตั้งแต่ จขกท. ยังอยู่ ป.4)
น้องสาว : เฮ้ย! ก็แค่พ่อเสียเอง ไม่ได้รันทดอะไรขนาดนั้น (เอ่อ!! พ่อเสียแต่เด็กไม่ค่อยรันทดเท่าไหร่เลยเนอะ หัวเราะอีกรอบสองคนพี่น้อง สรุปเมากาวหรือเปล่านี่)
เออ แล้วตอนเด็กๆ นี่ เรากินอะไรกันหรอ(ตอนนั้นนางยังเด็ก นางจำอะไรไม่ค่อยได้)
จขกท : อ้าว จำไม่ได้หรอ อาหารหลักก็ปลาทู(หนึ่งเข่งมีประมาณ 4 ตัว แล้วก็กินกันทั้งครอบครัว) กับไข่เจียว บางวันดีหน่อยก็มีเกาเหลาหนึ่งถุงแบ่งกินกัน ทั้งบ้าน หรือไม่ก็หมูแดงซึ้อหนึ่งถุงบอกเขาขอน้ำเยอะๆ เพราะต้องแบ่งกินกันทั้งบ้านอีกเช่นกัน ก๋วยจั๊บบ้าง ขนมจีนบ้าง ตามแต่เงินในกระเป๋า แต่ทุกครั้งจะต้องบอกว่าขอน้ำราด น้ำแกงเยอะๆ (ตอนหลังที่บ้านเปลี่ยนมาขายก๋วยเตี๋ยวก็เลยจะได้กิน เส้นกับน้ำ ส่วนเนื้อสัตว์กับลูกชิ้นต้องเก็บไว้ขาย)
น้องสาว : อ้าวเรากินกันแบบนี้หรอ 5555
เอาล่ะที่นี้ก็มาเข้าเรื่องตอนสมัยเด็กกันเถอะ จขกท. เกิดและเติบโตใน กทม. มีพ่อแม่พี่น้องในครอบครัวรวมกันก็ร่วมสิบชีวิต พ่อแม่ไม่รู้หนังสือทั้งคู่ เพราะพ่อโล้สำเภามา ส่วนแม่ก็โล้มาตั้งแต่รุ่นตายาย จึงไม่ได้เรียนหนังสือทั้งคู่ เมื่อถึงเวลาที่ลูกถึงเกณฑ์เข้าก็ไม่ได้พาไปเข้า จนกระทั่งผู้ใหญ่บ้านต้องมาตาม
เหตุการณ์ก็ผ่านไปเช่นนี้อยู่หลายปี พ่อของ จขกท. เป็นคนจีนก็จริง แต่ในชีวิตจริงมันไม่ได้เหมือนในนิยาย เสื่อผืนหมอนใบ แล้วมาร่ำรวย พ่อจนยังไงก็ยังคงจนอยู่อย่างนั้น ยิ่งมีลูกมากก็ยิ่งยากจน (พ่อค้าขายไม่เก่ง)
ในครอบครัวพ่อทำงานหาเลี้ยงคนเดียว เพราะแม่ต้องเลี้ยงลูกอยู่บ้าน แล้วทำงานบ้าน พี่ๆ ที่เริ่มโตก็จะมาช่วยกันอย่างขยันขันแข็ง ทุกคนในบ้านต้องแบ่งงานกันทำ แต่ด้วย จขกท. เกิดในครอบครัวคนจีน ฉะนั้นผู้หญิงมีหน้าที่ทำงาน ส่วนผู้ชายมีหน้าที่เรียนหนังสือ ผู้หญิงในบ้านจะเรียนกันแค่ ป.6 หลังจากนั้นก็ต้องออกมาหางานทำ ถึงแม้พี่ชายของ จขกท. ไม่ต้องทำงานบ้านหรือแม้กระทั่งหาเงินเข้าบ้าน แต่ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจดีว่าบ้านยากจน ดังนั้นหากมีงานพิเศษทุกคนก็จะไปทำ
แม่จะเป็นคนที่เก็บเงินและวางแผนใช้จ่ายในบ้าน แม่ไม่เคยซื้อของสุรุ่ยสุร่าย (แค่กินไปวันๆ ยังเครียดเลย555) แม่จะคอยสอนตลอด คนเราถ้าขยันทำมาหากิน ไม่เล่นการพนัน ไม่กินเหล้าเมายา ไม่เป็นหนี้ รู้จักอดออม ไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย เราก็ไม่อดตายหรอก คำพูดเหล่านี้มันเหมือนเป็นพรประกาศิตทีเดียว เพราะลูกๆ ของแม่แต่ละคนก็ปฏิบัติตัวตามคำสอนของแม่ จนบางครั้ง จขกท. ก็โดนเพื่อนแซวว่างก เพราะจะจ่ายอะไรแต่ละทีก็คิดแล้วคิดอีก แล้วสวนเพื่อนกลับไปทุกครั้งว่าไม่ได้งก เขาเรียกว่ารู้จักใช้เงินต่างหาก
แม่ชอบซื้อผลไม้ทีละเยอะๆ ประมาณเหมากองที่ผลไม้มันไม่ค่อยสวย ไม่ดีแล้ว ใกล้เน่า แม่ค้าจะขายถูกๆ ให้ แม่บอกว่าแค่เปลือกนอกมันไม่สวยเราก็หั่นทิ้งไป ข้างในมันยังดีๆ อยู่ เราก็ยังกินได้ ดังนั้นนิสัยเหล่านี้ก็ติดตัวมาจนถึงทุกวันนี้ จขกท. ชอบซื้อของตอนลดราคาเสมอ 555
ตอนสมัยเด็กๆ เสื้อผ้านักเรียนส่วนใหญ่จะได้รับแจกมา เขามีมาบริจาคที่ ร.ร. ก็ทำให้ได้ใส่ชุดนักเรียนใหม่ๆ บ้างเหมือนกัน แต่ดั้นไม่มีใครมาบริจาคถุงเท้า กับรองเท้านี่ซิ ฉะนั้นถุงเท้า จขกท. ก็มักจะมีนิ้วโผล่ออกมาเสมอ บางครั้งยางก็ยืดจนต้องเอาหนังสติ๊กรัดไว้ไม่ให้ถุงเท้ามันร่น จนบางครั้งรัดแน่นไปจนเลือดแทบไม่หล่อเลี้ยง เขียวแดงเป็นจ้ำๆ 555 ส่วนรองเท้าก็ปากอ้าบ้าง เป็นรูบ้าง ถ้าอ้ามากๆ ก็เอาหนังสติ๊กรัด (สารพัดประโยชน์จริงๆ 555) แม่เคยเล่าให้ฟังเมื่อโตมาแล้วว่า พี่ชายคนโตใส่รองเท้าขาดเป็นรูจนนิ้วโป้งโผล่ออกมา แม่บอกว่าจะเก็บเงินซื้อรองเท้าใหม่ให้ แต่พี่ชายตอบว่า ไม่เป็นไรหรอกมันยังใส่ได้อยู่ แม่เล่าไปน้ำตาซึมไปT_T
ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง ตรงที่ลูกหลายคนของแม่เป็นเด็กเรียนดี ทั้งๆ ที่พ่อแม่ไม่รู้หนังสือ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ฉะนั้นไม่ต้องหวังว่าจะให้ใครมาสอนการบ้าน จขกท. ก็ยังดีหน่อยที่เป็นน้องเกือบสุดท้อง มีอะไรก็ถามพี่ๆ ได้ พอเรียนดีแล้วยากจนโอกาสมันก็มักจะมาหาอยู่เสมอ จขกท. มักจะได้รับความช่วยเหลือจากครูบาอาจารย์ เนื่องจากท่านรู้ว่าครอบครัวยากจน พ่อแม่มีลูกมาก อีกทั้งเรายังประพฤติตัวเป็นเด็กดี ทำให้บรรดาครูอาจารย์ต่างหยิบยื่นความอนุเคราะห์ให้ อาทิเช่น ได้รับแจกเสื้อผ้าบ้าง ได้ทุนอาหารกลางวัน ได้ทุนเป็นเงิน (T_T ทุนนี้จำได้ขึ้นใจ เพราะเอาไปซื้อถุงเท้าใหม่ กับกระเป๋าที่ขาดจนเป็นรู ของหล่นเรี่ยราดเป็นประจำ จนต้องเอาคลิปดำมาหนีบไว้)
และแล้วช่วงเวลาแห่งความสุขในวัยเด็กของ จขกท. ก็หมดลง เมื่อถึงเวลาใกล้จบ ป.6 ครูให้เอกสารมากรอกว่าใครจะไปต่อ ร.ร. ไหนกันบ้าง จขกท. จับปากกามือสั่นเล็กน้อย แววตาที่เศร้าหมองเริ่มมีน้ำตาปริ่มขึ้นมา แล้วมันก็หยดลงมาบนกระดาษที่ จขกท. เขียนข้อความไปว่า "ไม่เรียนต่อ" หลังจากนั้นก็เศร้ามากมายเพราะ จขกท. ต้องฟังเรื่องที่เพื่อนๆ คุยกันว่าจะไปต่อที่ไหน ส่วนตัวเราได้แต่ก้มหน้าแล้วตอบไปว่า ไม่เรียน
และแล้ววันหนึ่งเหมือนสวรรค์จะเห็นใจ จขกท. ถูกอาจารย์ประจำภาคชั้นเรียกไปพบ ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเรียกทำไม ครูท่านนั้นถามว่าทำไมไม่เรียนต่อ จขกท. ก็ตอบว่า เรียนจบแล้วต้องออกไปทำงานช่วยที่บ้าน ครูก็นิ่งไปแล้วพูดขึ้นมาว่า เรียนต่อไหม ร.ร. จะให้ทุน จขกท.ดีใจจนแทบกระโดด วันนั้นกลับบ้านไปบอกแม่ด้วยความดีใจ ยิ้มแก้มแทบแตก
แต่ก็อีกนั่นแหละชีวิตคนเราไม่ใช่นิยาย มันไม่ได้จบแบบแฮปปี้ แม่บอกกับ จขกท. ว่า ถ้าไปเรียนแล้วที่บ้านจะเอาอะไรกิน เนื่องจากที่บ้านประชากรเยอะ ถึงจะมีพี่บางคนทำงานแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะได้เงินเดือนเยอะแยะที่จะพอจุนเจือทั้งครอบครัว ตอนนั้นพ่อเสียไปแล้ว ถ้า จขกท. ไม่ทำงานก็ต้องเป็นภาระให้ครอบครัวส่งเสียอีก
ตอนนั้นเศร้าและเสียใจมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ก็ได้แต่ก้มหน้าขายของไป เปิดเทอมต้องเข็นรถผ่านเพื่อนๆ ที่กำลังเดินทางไป ร.ร. เพื่อนหันมายิ้มให้ แต่ จขกท. ยิ้มตอบพร้อมน้ำตา แม่บอกว่าไม่ต้องเสียใจ ไม่ใช่ว่าแม่ไม่อยากให้เรียน แต่เพราะเราไม่มีเงินจะกิน จึงต้องออกมาทำมาหากิน ถ้าเราขยันอดทน รู้จักเก็บเงิน เราก็ไม่ลำบากหรอก แต่ตอนนั้นในหัวของ จขกท. คิดว่าถ้าได้เรียนสูงๆ มันจะต้องมีงานทำที่ดีกว่านี้ (การฝังใจเรื่องนี้เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต)
ยังมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ พี่สาวสงสารเห็น จขกท. นั่งร้องไห้ จึงแนะนำว่า ถ้าอยากเรียนก็ไปลงเรียนภาคค่ำได้นะ ไม่ต้องเสียใจ น้ำตาที่ปริ่มอยู่เหือดแห้งทันที แล้วยิ้มดีใจให้พี่พาไปสมัครเรียน ลั่นล้าอยู่ได้ไม่นาน แต่แล้วก็ต้องผิดหวังกลับมาอีก เพราะอาจารย์ที่รับสมัครบอกว่าอายุน้อยไปให้มาสมัครใหม่ปีหน้า จขกท. อดทนหนึ่งปีเต็มแล้วกลับไปสมัครอีกครั้ง คราวนี้ตอนกลางวันขายของ ตกเย็นก็ไปเรียน
ด้วยความอดทนขยันขันแข็งของทุกคนในบ้านทำให้ฐานะทางบ้านดีขึ้น จนกระทั่งแม่เริ่มแก่ไปขายของไม่ค่อยไหว พี่ชายคนโต(ที่เคยใส่รองเท้าเป็นรู) จบวิศวะแล้วได้เงินเดือนค่อนข้างเยอะพอสมควร แม่เลยเลิกขายของ ส่วน จขกท. ก็ไปลงเรียนสายพาณิชย์ที่เรียนแค่ช่วงบ่าย ส่วนช่วงเช้า จขกท. ไปสมัครเป็นพนักงานที่ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง 7 วัน จขกท. ไม่เคยได้หยุดพัก มีโอกาสไปเที่ยวกับเพื่อนบ้างบางครั้ง แต่ก็ถือว่าน้อย เพราะต้องเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย
พอจบ ปวช. แม่ก็บอกว่าไปสมัครทำงานได้แล้วนะเพราะมีวุฒิ ปวช. จขกท. บอกกับแม่ไปว่า วุฒิแค่นี้มันไม่พอหรอกนะแม่ หลังจากจึงเรียนต่อสายเดิมแล้วหางานทำ ด้วยความโชคดี จขกท. สอบติด ปวส. ที่ ร.ร. รัฐบาล ทำให้เสียค่าเทอมถูกมาก 1,500 (สมัยยี่สิบปีก่อน) จขกท.ไม่ได้เรียนทั้งวันจึงเอาเวลาที่เหลือไปหางานทำ ทั้งขายของในสำเพ็ง เป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อ หรือบางทีก็รับจ้างพิมพ์รายงาน พิมพ์แบบสอบถาม
เช่นเดิมพอจบ ปวส. จขกท. ก็สอบต่อ ป.ตรีต่อเนื่อง เพราะเคยมีปมเรื่องเรียน จขกท. จึงทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย เก็บเงินเรียนไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายวุฒิสูงสุดของ จขกท. คือจบ ป.โท แล้วทำงานในตำแหน่งระดับ ผจก.ฝ่าย ในระหว่างทำงานก็ไปฝึกอบรมสารพัดอย่าง จนกระทั่งผิดหวังเรื่องความรัก เขาว่ากันว่าคนบางคน lucky in game but unlucky in love จขกท. ก็เป็นหนึ่งในนั้น จึงรวบรวมเงินทั้งหมดส่งตัวเองไปเรียนนอก (แต่ไปลงแค่คอร์สภาษา กับคอร์สธุรกิจระหว่างประเทศ ไม่ได้ลงปริญญาตามที่คิดเอาไว้ เพราะมันต้องใช้เงินเยอะพอสมควร) ปล.ที่ จขกท. มีเงินเก็บพอสมควรเพราะแม่สอนให้รู้จักประหยัดอดออม ตอนทำงานแม่บอกว่าให้ไปซื้อทองเก็บเอาไว้ เพราะทองมีแต่จะเพิ่มมูลค่า แม่ฉลาดหลักแหลมมาก เพราะ จขกท.ซื้อทองเก็บไว้ตั้งแต่เริ่มทำงาน ตอนเอาไปขายได้กำไร 200% (แต่ตอนนี้ลงทุนในทองคำมีปัจจัยเยอะไม่เหมือนเมื่อก่อน การลงทุนมีความเสี่ยง)
หลังจากนั้นฐานะทางบ้านก็เริ่มดีตามลำดับ ไม่ถึงกับร่ำรวย แต่ถือว่าห่างไกลจากความยากจนมามาก จากครอบครัวที่ใครๆ ก็ไม่อยากจะคบค้ามากมายเพราะยากจน แต่ตอนนี้ผู้คนที่เคยรู้จักก็กลับมาให้ความสนิทสนม อยากคบค้าสมาคม แม้กระทั่งญาติๆ
ความเจริญทั้งหมดทั้งมวล จขกท. ขอยกให้กับพ่อแม่ ผู้ที่สั่งสอนลูกให้เจริญก้าวหน้า ความยากจนมันไม่ได้น่ากลัว รันทด เพราะ จขกท. ก็เติบโตมาแบบที่ชีวิตมีความสุข สนุกสนาน อาจจะมีเศร้าบ้างบางครั้ง แต่ก็เป็นธรรมดาของทุกคน เวลาที่จะคิดน้อยอกน้อยใจมีบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยมีเวลามากนัก เพราะส่วนใหญ่จะเอาเวลาไปวางแผนชีวิตมากกว่า ว่าทำอย่างไรให้ชีวิตดีขึ้น การศึกษานั้นก็เป็นหนึ่งในคำตอบ ที่จะยกระดับชีวิตของเรา บางคนอาจจะแย้งว่าก็มีหลายคนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ยังร่ำรวย หากคุณฉลาดเหมือนพวกเขา มีความสามารถเหมือนพวกเขา การศึกษาก็ไม่จำเป็น แต่ถ้าคุณไม่ได้มีคุณสมบัติเหล่านั้นเหมือนพวกเขาละ?
ฉะนั้นหากเราขยันอดทน ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทั้งหลาย รู้จักอดออม ไม่ก่อหนี้(ที่ไม่มีความจำเป็น) ไม่สุรุ่ยสุร่าย การเรียนอย่าทิ้ง(หากมีโอกาสที่จะเรียน) วันหนึ่งคุณจะห่างไกลจากความยากจน
จขกท. แค่อยากจะแชร์มุมมองของคนที่เคยยากจนมาก่อน มันก็ไม่ได้รันทดขนาดนั้น มันก็มีความสุขในแบบของมัน อีกทั้งยังเป็นแรงผลักดันให้ก้าวเดิน หวังว่ามันจะสะท้อนมุมมอง หรือให้แง่คิดอะไรบางอย่าง ไม่มากก็น้อย^_^
ปล.เรื่องที่เล่าก็ผ่านมาร่วมสามสิบกว่าปีแล้ว อาจจะยาวไปหน่อยนะ (สนับสนุนคนไทยให้อ่านหนังสือเกิน 8 บรรทัด555)