จากแอร์โฮสเตส สู่วิถีเกษตรกร..เปิ้ล-พภัสสรณ์..“เกษตรกรยุคใหม่ต้องก้าวให้ทันโลก!”
โดย MGR Online
6 เมษายน 2559 10:34 น. (แก้ไขล่าสุด 6 เมษายน 2559 18:14 น.)
สวมชุดแอร์โฮสเตสนานถึง 7 ปี สุดท้ายกลับหันหลังให้งานสุดหรู ก้าวสู่วิถีเกษตรกร “เปิ้ล-พภัสสรณ์ จิรวราพันธ์” อดีตนางฟ้าแห่ง Japan Airlines เธอมีเหตุผลอย่างไรในการปลดชุดสุดสวยที่หญิงสาวจำนวนมากอยากสวมใส่?
ช่วงหลังๆ กระแสหนึ่งซึ่งกำลังก่อตัวหนาแน่นขึ้นทุกขณะในวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ คือการลาออกจากการงานประจำเพื่อไปทำสิ่งที่ตัวเองรัก นอกจากกิจการส่วนตัว โลกแบบหนึ่งที่ได้รับการเอ่ยถึงในฐานะท็อปไฟว์เส้นทางที่หลายคนใฝ่ฝัน คือการกลับไปอยู่กับธรรมชาติ ทำการเกษตรหล่อเลี้ยงชีวิต หลายต่อหลายคนประสบความสำเร็จจนได้รับการยกย่องให้เป็นแบบอย่าง ขณะที่อีกหลายคนกำลังเริ่มต้นและพิสูจน์ความตั้งใจของตนเอง เช่นเดียวกับ “เปิ้ล-พภัสสรณ์ จิรวราพันธ์” สาวสวยที่เคยเป็นแอร์โฮสเตสนานถึง 7 ปี
จากวันนั้นถึงวันนี้ นับแต่ที่ลาออกจากงาน ก็ผ่านไปแล้ว 3 ปีที่เธอสามารถพูดได้เต็มปากว่าเป็นเกษตรกรเต็มตัว นอกจากสวนผักสวนพืช ยังมีผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่แปรรูปจากธรรมชาติในชื่อแบรนด์ OganicSpace Thailland รวมทั้งแบรนด์เสื้อผ้า wear me natural ที่จำหน่ายตามบูทงานต่างๆ และทางอินสตาแกรม อย่างไรก็ตาม เธอแง้มๆ ให้เราฟังเบื้องต้นว่า มันไม่ง่ายแต่อย่างใด สามปีที่ผ่าน ก็เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นบนเส้นทางสายนี้เท่านั้น...
จากแอร์โฮสเตส สู่วิถีเกษตรกร..เปิ้ล-พภัสสรณ์..“เกษตรกรยุคใหม่ต้องก้าวให้ทันโลก!”
• เส้นทางชีวิต ก่อนเบนเข็มทิศสู่วิถีเกษตร
เปิ้ลจบมาทางด้านบริหารธุรกิจ พอเรียนจบ เปิ้ลเลือกงานสายการโรงแรม และทำงานที่โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล (Mandarin Oriental Hotel) ประมาณปีกว่าๆ จากนั้นจึงได้ไปสอบแอร์โฮสเตสเพราะอยากใช้ภาษาที่เรียนมา ปรากฏสอบผ่าน ได้เป็นแอร์โฮสเตส สายการบินเจแปนแอร์ไลน์ เปิ้ลเป็นแอร์โฮสเตสได้ประมาณ 7 ปี ก็มีปัญหาสุขภาพ เพราะเราต้องยืนเป็นเวลานาน ทำให้ปวดหลัง จึงลาออกมาทำงานออฟฟิศ แต่ก็ต้องเจอปัญหาสุขภาพอีก เป็นออฟฟิศซินโดรม อีกอย่างคือรู้สึกเบื่อๆ และคิดว่าอยากจะทำอะไรเป็นของตัวเอง ยิ่งตอนทำงานออฟฟิศจะเบื่อมากเป็นพิเศษ เพราะมันหนักกว่าตอนเป็นแอร์โฮสเตสอีกนะคะ เราต้องนั่งทำงานหน้าคอมพ์ฯ ทั้งวัน ทำงานหนักเพราะส่วนตัวเราก็เป็นคนบ้างาน
เมื่อมีปัญหาสุขภาพ เราจึงต้องชั่งใจกับการที่เราได้เงินมาก็จริง แต่ก็ต้องไปโรงพยาบาลทุกเดือน จึงอยากลาออก หันมาสนใจสุขภาพเราดีกว่า แล้วพอเราเลือกในด้านสุขภาพแล้ว เราก็เลยถามว่าตัวเองว่าชอบอะไร ก็ได้คำตอบว่าชอบธรรมชาติ พอตอบตัวเองได้ เราก็เริ่มมองหาทางเลือกว่าอะไรที่จะช่วยและไม่ทำลายสุขภาพบ้าง ก็ไปสนใจเรื่องการปลูกผัก และไปเรียนเกี่ยวกับการปลูกผักที่ Organic Way ของป้าหน่อยแถวๆ ราษฎร์บูรณะ ตอนนั้นเราก็ยังทำงานออฟฟิศอยู่นะคะ
พอเราเลือกสุขภาพ เราก็ต้องจริงจังกับชีวิตมากขึ้น ทั้งเรื่องอาหารการกิน เรื่องของใช้ต่างๆ เริ่มทำสวนหลังบ้านด้วยการดัดแปลงพื้นที่เล็กๆ ให้เป็นที่ปลูกผักกินเองก่อน หลังจากนั้นก็ศึกษาเกี่ยวกับการเกษตรมากขึ้น ศึกษาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงด้วย และประจวบกับคุณแม่มีที่ทางอยู่ที่บ้านหมอ จังหวัดสระบุรีหลายไร่ เราก็เลยตัดสินใจว่าจะมาทำจริงๆ จังๆ อีกอย่าง ต้องบอกว่าจุดที่เราเปลี่ยนจริงจัง เพราะเราได้ไปเข้าโครงการคนกล้าคืนถิ่น เป็นโครงการที่ให้คนที่มีที่ทางมาเข้าศึกษาหลักสูตร มีปราชญ์ชาวบ้านมาให้คำแนะนำ
พอได้อบรมจริงจังแล้ว เราก็เริ่มทำ จากเล็กๆ 2 ไร่ก่อน เพราะเราอยากรู้ว่าตัวเองทำได้ไหม ก็เริ่มด้วยการปลูกข้าวโพด พอทำข้าวโพดได้เก็บได้กินแล้ว เราก็ไถข้าวโพดหมักดินเพื่อปลูกข้าวต่อ ข้าวที่ปลูกเป็นข้าวไร่เหลืองดง ข้าวพันธุ์พื้นบ้านตามคอนเซ็ปต์ที่เปิ้ลอยากปลูกอะไรที่เป็นการอนุรักษ์พันธุ์พืชพื้นบ้านไว้ เราก็จึงปลูกข้าวชนิดนี้แล้วมันก็เหมาะกับพื้นที่ของเราด้วย เพราะปีที่แล้วแล้งมาก เราเลยต้องปลูกข้าวชนิดนี้เพราะข้าวชนิดนี้ใช้น้ำน้อย
• พื้นฐานครอบครัวเราเป็นอย่างไร ทำการเกษตรมาก่อนหรือเปล่าคะ
ที่บ้านเปิ้ลทำเกี่ยวกับสมุนไพรมาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้วค่ะ คือนำเข้าสมุนไพรจีน ส่งออกสมุนไพรไทยต่างๆ ประมาณว่าซื้อมาขายไป และด้วยเหตุนั้น คุณพ่อจึงมีความรู้เรื่องสมุนไพร แม้ว่าท่านจะไม่ได้ปลูกเอง และท่านก็สามารถให้ความรู้เราได้ อีกอย่าง ที่บ้านจะมีหนังสือเกี่ยวกับสมุนไพรและการเกษตรเยอะมาก หรืออย่างทางบ้านคุณแม่ คุณตาคุณยายก็จะมีบ้านสวนที่สระบุรีด้วย ตอนเด็กๆ ปิดเทอม เราก็ชอบไปวิ่งเล่นในสวน ได้อยู่กับธรรมชาติ โดยส่วนตัว เปิ้ลชอบความเรียบง่าย ชอบความเป็นธรรมชาติอยู่แล้วด้วย เราคงซึมซับสิ่งนี้มาจากพื้นฐานครอบครัว
จากแอร์โฮสเตส สู่วิถีเกษตรกร..เปิ้ล-พภัสสรณ์..“เกษตรกรยุคใหม่ต้องก้าวให้ทันโลก!”
• พูดถึงวันที่ลาออกจากกงาน เรามีการวางแผนอะไรก่อนหรือเปล่า
เปิ้ลว่าอันนี้น่าจะเป็นกันทุกคนเลยนะคะ สำหรับใครที่ลาออกจากงานวันแรกมันจะรู้สึกเคว้งคว้าง เพราะตอนแรกที่เปิ้ลออกมา เปิ้ลยังจับทางอะไรไม่ถูกเลยนะคะ เรายังไม่รู้ว่าเราจะทำอะไร เปิ้ลใช้เวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ ที่นั่งทบทวนตัวเอง แล้วก็นั่งจดรายละเอียดไปเป็นข้อๆ เลยว่าเราชอบอะไร จนได้รู้ว่าตัวเองชอบธรรมชาติและอยากจะปลูกพืชผัก แต่จริงๆ มันก็จะมีบางส่วนอยู่แล้วที่ทำให้เรารู้ว่าเราออกไปเพื่ออะไร ซึ่งเปิ้ลรู้ตัวเองว่าเราจะมาทางนี้ แต่เรายังไม่รู้ว่าเราจะไปทำเกษตรแนวไหนดี แต่เรารู้อยู่แล้วว่าเราจะออกมาทำด้านของธรรมชาติ ด้านเกษตร แต่ไม่รู้ว่าอะไรที่ชอบที่สุด ก็เลยต้องไปศึกษา
ส่วนตัวเปิ้ลไม่ได้วางแผนก่อนออกจากงานเลยนะคะ เปิ้ลว่าน่าจะเหมือนมนุษย์เงินเดือนทั่วๆ ไปเลยนะคะคือหลายคนมองว่ามันยากที่เราจะออกจากพื้นที่เดิมๆ แต่พอมันต้องใช้ความเด็ดเดี่ยว ซึ่งพอรู้ตัวเองแล้วหลังจากนั้นเปิ้ลใช้เวลาประมาณหนึ่งปีเพื่อไปเรียนรู้ ตั้งแต่ไปเรียนการปลูกข้าวอินทรีย์ที่มูลนิธิข้าวขวัญของอาจารย์เดชา ไปเรียนกับคุณโจน จันใด ที่จังหวัดเชียงใหม่ ฝึกทำบ้านดิน ปลูกผักออแกนิก หรือไปเรียนเรื่องการทำข้าวของเครื่องใช้ ทำโยเกิร์ตและอื่นๆ อีกมากมายค่ะ
เปิ้ลคิดว่าเราต้องมีจุดที่เรารัก ก่อนออกจากงาน ต้องถามตัวเองก่อนว่าเรารักและชอบที่จะทำอะไร แล้วพอรู้ตัวแล้วตัดสินใจแล้วปุ๊บ เราต้องลงไปเรียนรู้กับสิ่งสิ่งนั้น เรียนเพื่อให้ได้ความรู้ เพื่อให้มีความมั่นใจมากขึ้น รู้ให้มันจริงมากขึ้น ขั้นตอนต่อไปคือการลงมือทำ เปิ้ลว่าการที่เราลงมือทำ เรายังไม่รู้หรอกว่ามันจะสำเร็จ ดีหรือไม่ดี แต่อย่างน้อยพอเราได้ศึกษาแล้วลงมือทำไปด้วย มันก็จะเป็นการพัฒนาเพื่อจะได้แก้ไขต่อไป
มันมีช่วงที่เราตั้งคำถามกับตัวเองนะคะว่าชีวิตเราต้องการอะไร จริงๆ แล้วความฝันในชีวิตของเราคืออะไร เราเลยต้องตัดสินใจว่าชีวิตที่เราเหลืออยู่นี่แหละ ฉันจะทำในสิ่งที่ฉันตั้งใจจะทำ อย่างตอนอยู่ออฟฟิศก็เคยคุยกับเพื่อนๆ นะคะว่าเราอยากปลูกข้าว เพื่อนๆ ก็ขำว่าเราเป็นถึงผู้จัดการคุมร้านทั่วประเทศ มีลูกน้องเยอะมาก แต่ทำไมจะไปทางนั้นล่ะ อะไรทำนองนี้ค่ะ ตอนเปิ้ลทำงานออฟฟิศ เปิ้ลก็ใฝ่ฝันนะคะว่าอยากมีสวนของตัวเอง อยากมีผลิตภัณฑ์ที่เป็นยี่ห้อของตัวเอง
• แล้วทางบ้านหรือคนรอบข้างล่ะคะว่าอย่างไรที่เราลาออกในวันนั้น
เปิ้ลโชคดีนะคะที่ทางบ้านเข้าใจว่าเรื่องสุขภาพต้องมาก่อน มันต้องสำคัญกว่า แต่ที่บ้านเขาก็คาดหวังเหมือนกับพ่อแม่ทั่วไปที่เขาอยากให้เป็นเจ้าคนนายคน ซึ่งเราก็ทำสำเร็จนะคะ เพราะก่อนหน้านี้ หลังจากลาออกจากแอร์โฮสเตส เราก็มาเป็นผู้จัดการ ต้องดูแลลูกน้อง 100-200 คนเหมือนกัน
จริงๆ เรามีความฝันว่าอยากจะเป็นเกษตรกรอยู่แล้วนะคะ ซึ่งที่เปิ้ลออกมาทำตรงนี้ได้ จะบอกว่าเราก็มีเงินเก็บอยู่แล้วพอสมควร เพราะเราต้องคำนวณดูด้วยว่าถ้าเราทำไปแล้ว ถ้าเราไม่มีรายได้เข้ามาเราจะได้ใช้เงินเก็บเลี้ยงตัวเราไปก่อน ตรงนี้เปิ้ลแนะนำนะคะว่าคนทำงานออฟฟิศจริงๆ ทำแบบเปิ้ลได้นะคะ แต่แค่ลองเอาวันหยุดมาทบทวนตัวเองว่าอะไรเป็นสิ่งที่คุณรัก คุณถนัด ส่วนมากเปิ้ลว่า 90 เปอร์เซ็นต์เลยจะบอกว่า เฮ้ย เรายังไม่เจอเลยว่าชีวิตนี้เรารักเราชอบอะไร ซึ่งเปิ้ลจะแนะนำให้จดรายละเอียดเป็นข้อๆ ดูว่าอะไรคือสิ่งที่คุณรักสัก 10 ข้อ ไปทบทวนดู ลองทำทีละอัน แล้วลองสังเกตดูว่าอะไรที่คุณอยู่กับมันได้ทั้งวันโดยไม่เบื่อ อยู่กับมันแล้วเวลาผ่านไปเร็วมากๆ คุณมีความสุขกับมัน นั่นแหละคือสิ่งที่คุณรักและเป็นก็สิ่งที่คุณควรจะทำ ส่วนตัวเปิ้ลกล้าที่จะตัดสินใจแบบนั้น เพราะเราจดสิ่งที่เราชอบดูแล้วว่ามันใช่ค่ะ
จากแอร์โฮสเตส สู่วิถีเกษตรกร..เปิ้ล-พภัสสรณ์..“เกษตรกรยุคใหม่ต้องก้าวให้ทันโลก!”
.• แล้วตอนนี้เราทำอะไรอยู่บ้าง มีผลิตภัณฑ์อะไรบ้างคะ
ตอนนี้เปิ้ลทำอยู่ทั้งหมด 3 อย่างค่ะ เรื่องเกษตรที่เราปลูก ก็เริ่มจากทำที่สวนหลังบ้านให้เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น เปิ้ลเริ่มจากปลูกข้าวโพด ปลูกข้าว แต่ตอนนี้ในเรื่องของการเป็นเกษตรกร เรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นอยู่ อยู่ในขั้นพอกินอยู่ จะเป็นการเอาสิ่งที่ปลูกมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์มากกว่า ส่วนสิ่งที่เราปลูกยังไม่มีจำหน่าย เรายังอยู่ในขั้นตอนการเป็นเกษตรกรเล็กๆ ที่ปลูกกินเองตามแนวพระราชดำริก่อน แต่ว่าก็มีแผนที่จะปลูกขยายมากขึ้นเหมือนกันนะคะ
อย่างที่สองเปิ้ลมีแบรนด์ OganicSpace Thailland อันนี้จะเป็นผลิตภัณฑ์ของใช้ เช่น สบู่ออแกนิกที่ทำจากเกล็ดน้ำมันซึ่งน้ำมันเราก็จะใช้น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอกสกัดเย็น น้ำมันละหุ่ง โดยเอาผลิตผลที่ปลูกอยู่หลังบ้านอย่างตำลึง มะเฟือง มาเป็นส่วนประกอบในการทำสบู่ ซึ่งการปลูกพืชของเราก็จะไปเชื่อมโยง แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ด้วยค่ะอันนี้เปิดตัวที่งาน organic and natural expo Thailand ซึ่งตอนนี้สบู่ของเราก็จะมีขายทางเพจเฟซบุ๊ก Organic Space Thailand และบูทงาน organic and natural expo Thailand ค่ะ เป็นการเปิดตัวสบู่ครั้งแรกเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม ตอนนี้เปิ้ลก็เริ่มมีกลุ่มเครือข่ายแม่บ้านจังหวัดสระบุรีด้วย ซึ่งเขาจะปลูกมะกรูดกันเยอะ เราเลยคิดว่ามันสามารถเอามาแปรรูปได้ ก็มีการรวมกลุ่มเรื่องของผลิตภัณฑ์มากขึ้น แล้วก็เอาความรู้ที่เรามีมาทำอย่างแชมพูสมุนไพรทำอะไรต่างๆ
อย่างที่สาม เปิ้ลมีแบรนด์เสื้อผ้าชื่อว่า wear me natural ซึ่งอันนี้เปิ้ลจะทำงานร่วมกับวิสาหกิจชุมชนที่ภาคเหนือ ซึ่งเราก็ไปอยู่กับชาวบ้านเลย แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเรื่องสีธรรมชาติ แล้วเราก็ออกแบบให้งานเขาตัดเย็บ ย้อมแล้วก็ส่งมาให้ทางเราจำหน่าย ในส่วนของเสื้อผ้า เปิ้ลจะไปตั้งบูทขายตามงานต่างๆ เองแล้วก็มีขายทางอินสตาแกรม อย่างเสื้อผ้า นอกจากจะขายคนไทยแล้วก็เริ่มต่อยอดพัฒนาไปคนต่างชาติ ตอนนี้ก็มีคนญี่ปุ่นเข้ามาคุยบ้างแล้ว แต่เป็นญี่ปุ่นที่อยู่ในเมืองไทยที่เขาอยากให้คนญี่ปุ่นได้ใช้
เปิ้ลจะเริ่มพัฒนาแล้วช่วยเหลือกันเป็นกลุ่ม ซึ่งเราจะแตกผลิตภัณฑ์ไปเรื่อยๆ ซึ่งงานของเปิ้ลจะมีสแกนว่า เป็นธรรมชาติ ผสมผสานกับการให้ และรวมไปถึงการรวมกลุ่ม เพราะมันสำคัญนะคะ เราไม่ได้ก้าวไปคนเดียว เราต้องดึงคนนั้นคนนี้ให้พัฒนาไปด้วยกันและเขาก็มีชีวิตที่ดีขึ้นอะไรทำนองนี้ค่ะ (ยิ้ม)
• มีปัญหาอุปสรรคอย่างไรบ้างหรือเปล่า และเรารับมือหรือแก้ไขอย่างไร
ตอนที่ออกจากงานมาช่วงแรกๆ เปิ้ลต้องใช้เวลาหาข้อมูลเหมือนกันว่าเราต้องไปเรียนที่ไหน ต้องทำยังไง ต้องเริ่มใหม่ทั้งหมด เพราะเราไม่เคยทำมาก่อน แต่ทุกอย่างมันต้องมีขั้นตอน มีจุดเริ่มต้น มีการเรียนรู้และการลงมือทำ ซึ่งเรามองว่ามันไม่ยากนะคะ มันเรียนรู้กันได้ อาจจะใช้เวลามากน้อยต่างกัน แต่ก็ทำได้
อ่านต่อ
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9590000034932
แอร์ฮอสเตส เบื่อชีวิตงานหรูหันมาเป็นชาวนา
โดย MGR Online
6 เมษายน 2559 10:34 น. (แก้ไขล่าสุด 6 เมษายน 2559 18:14 น.)
สวมชุดแอร์โฮสเตสนานถึง 7 ปี สุดท้ายกลับหันหลังให้งานสุดหรู ก้าวสู่วิถีเกษตรกร “เปิ้ล-พภัสสรณ์ จิรวราพันธ์” อดีตนางฟ้าแห่ง Japan Airlines เธอมีเหตุผลอย่างไรในการปลดชุดสุดสวยที่หญิงสาวจำนวนมากอยากสวมใส่?
ช่วงหลังๆ กระแสหนึ่งซึ่งกำลังก่อตัวหนาแน่นขึ้นทุกขณะในวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ คือการลาออกจากการงานประจำเพื่อไปทำสิ่งที่ตัวเองรัก นอกจากกิจการส่วนตัว โลกแบบหนึ่งที่ได้รับการเอ่ยถึงในฐานะท็อปไฟว์เส้นทางที่หลายคนใฝ่ฝัน คือการกลับไปอยู่กับธรรมชาติ ทำการเกษตรหล่อเลี้ยงชีวิต หลายต่อหลายคนประสบความสำเร็จจนได้รับการยกย่องให้เป็นแบบอย่าง ขณะที่อีกหลายคนกำลังเริ่มต้นและพิสูจน์ความตั้งใจของตนเอง เช่นเดียวกับ “เปิ้ล-พภัสสรณ์ จิรวราพันธ์” สาวสวยที่เคยเป็นแอร์โฮสเตสนานถึง 7 ปี
จากวันนั้นถึงวันนี้ นับแต่ที่ลาออกจากงาน ก็ผ่านไปแล้ว 3 ปีที่เธอสามารถพูดได้เต็มปากว่าเป็นเกษตรกรเต็มตัว นอกจากสวนผักสวนพืช ยังมีผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่แปรรูปจากธรรมชาติในชื่อแบรนด์ OganicSpace Thailland รวมทั้งแบรนด์เสื้อผ้า wear me natural ที่จำหน่ายตามบูทงานต่างๆ และทางอินสตาแกรม อย่างไรก็ตาม เธอแง้มๆ ให้เราฟังเบื้องต้นว่า มันไม่ง่ายแต่อย่างใด สามปีที่ผ่าน ก็เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นบนเส้นทางสายนี้เท่านั้น...
จากแอร์โฮสเตส สู่วิถีเกษตรกร..เปิ้ล-พภัสสรณ์..“เกษตรกรยุคใหม่ต้องก้าวให้ทันโลก!”
• เส้นทางชีวิต ก่อนเบนเข็มทิศสู่วิถีเกษตร
เปิ้ลจบมาทางด้านบริหารธุรกิจ พอเรียนจบ เปิ้ลเลือกงานสายการโรงแรม และทำงานที่โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล (Mandarin Oriental Hotel) ประมาณปีกว่าๆ จากนั้นจึงได้ไปสอบแอร์โฮสเตสเพราะอยากใช้ภาษาที่เรียนมา ปรากฏสอบผ่าน ได้เป็นแอร์โฮสเตส สายการบินเจแปนแอร์ไลน์ เปิ้ลเป็นแอร์โฮสเตสได้ประมาณ 7 ปี ก็มีปัญหาสุขภาพ เพราะเราต้องยืนเป็นเวลานาน ทำให้ปวดหลัง จึงลาออกมาทำงานออฟฟิศ แต่ก็ต้องเจอปัญหาสุขภาพอีก เป็นออฟฟิศซินโดรม อีกอย่างคือรู้สึกเบื่อๆ และคิดว่าอยากจะทำอะไรเป็นของตัวเอง ยิ่งตอนทำงานออฟฟิศจะเบื่อมากเป็นพิเศษ เพราะมันหนักกว่าตอนเป็นแอร์โฮสเตสอีกนะคะ เราต้องนั่งทำงานหน้าคอมพ์ฯ ทั้งวัน ทำงานหนักเพราะส่วนตัวเราก็เป็นคนบ้างาน
เมื่อมีปัญหาสุขภาพ เราจึงต้องชั่งใจกับการที่เราได้เงินมาก็จริง แต่ก็ต้องไปโรงพยาบาลทุกเดือน จึงอยากลาออก หันมาสนใจสุขภาพเราดีกว่า แล้วพอเราเลือกในด้านสุขภาพแล้ว เราก็เลยถามว่าตัวเองว่าชอบอะไร ก็ได้คำตอบว่าชอบธรรมชาติ พอตอบตัวเองได้ เราก็เริ่มมองหาทางเลือกว่าอะไรที่จะช่วยและไม่ทำลายสุขภาพบ้าง ก็ไปสนใจเรื่องการปลูกผัก และไปเรียนเกี่ยวกับการปลูกผักที่ Organic Way ของป้าหน่อยแถวๆ ราษฎร์บูรณะ ตอนนั้นเราก็ยังทำงานออฟฟิศอยู่นะคะ
พอเราเลือกสุขภาพ เราก็ต้องจริงจังกับชีวิตมากขึ้น ทั้งเรื่องอาหารการกิน เรื่องของใช้ต่างๆ เริ่มทำสวนหลังบ้านด้วยการดัดแปลงพื้นที่เล็กๆ ให้เป็นที่ปลูกผักกินเองก่อน หลังจากนั้นก็ศึกษาเกี่ยวกับการเกษตรมากขึ้น ศึกษาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงด้วย และประจวบกับคุณแม่มีที่ทางอยู่ที่บ้านหมอ จังหวัดสระบุรีหลายไร่ เราก็เลยตัดสินใจว่าจะมาทำจริงๆ จังๆ อีกอย่าง ต้องบอกว่าจุดที่เราเปลี่ยนจริงจัง เพราะเราได้ไปเข้าโครงการคนกล้าคืนถิ่น เป็นโครงการที่ให้คนที่มีที่ทางมาเข้าศึกษาหลักสูตร มีปราชญ์ชาวบ้านมาให้คำแนะนำ
พอได้อบรมจริงจังแล้ว เราก็เริ่มทำ จากเล็กๆ 2 ไร่ก่อน เพราะเราอยากรู้ว่าตัวเองทำได้ไหม ก็เริ่มด้วยการปลูกข้าวโพด พอทำข้าวโพดได้เก็บได้กินแล้ว เราก็ไถข้าวโพดหมักดินเพื่อปลูกข้าวต่อ ข้าวที่ปลูกเป็นข้าวไร่เหลืองดง ข้าวพันธุ์พื้นบ้านตามคอนเซ็ปต์ที่เปิ้ลอยากปลูกอะไรที่เป็นการอนุรักษ์พันธุ์พืชพื้นบ้านไว้ เราก็จึงปลูกข้าวชนิดนี้แล้วมันก็เหมาะกับพื้นที่ของเราด้วย เพราะปีที่แล้วแล้งมาก เราเลยต้องปลูกข้าวชนิดนี้เพราะข้าวชนิดนี้ใช้น้ำน้อย
• พื้นฐานครอบครัวเราเป็นอย่างไร ทำการเกษตรมาก่อนหรือเปล่าคะ
ที่บ้านเปิ้ลทำเกี่ยวกับสมุนไพรมาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้วค่ะ คือนำเข้าสมุนไพรจีน ส่งออกสมุนไพรไทยต่างๆ ประมาณว่าซื้อมาขายไป และด้วยเหตุนั้น คุณพ่อจึงมีความรู้เรื่องสมุนไพร แม้ว่าท่านจะไม่ได้ปลูกเอง และท่านก็สามารถให้ความรู้เราได้ อีกอย่าง ที่บ้านจะมีหนังสือเกี่ยวกับสมุนไพรและการเกษตรเยอะมาก หรืออย่างทางบ้านคุณแม่ คุณตาคุณยายก็จะมีบ้านสวนที่สระบุรีด้วย ตอนเด็กๆ ปิดเทอม เราก็ชอบไปวิ่งเล่นในสวน ได้อยู่กับธรรมชาติ โดยส่วนตัว เปิ้ลชอบความเรียบง่าย ชอบความเป็นธรรมชาติอยู่แล้วด้วย เราคงซึมซับสิ่งนี้มาจากพื้นฐานครอบครัว
จากแอร์โฮสเตส สู่วิถีเกษตรกร..เปิ้ล-พภัสสรณ์..“เกษตรกรยุคใหม่ต้องก้าวให้ทันโลก!”
• พูดถึงวันที่ลาออกจากกงาน เรามีการวางแผนอะไรก่อนหรือเปล่า
เปิ้ลว่าอันนี้น่าจะเป็นกันทุกคนเลยนะคะ สำหรับใครที่ลาออกจากงานวันแรกมันจะรู้สึกเคว้งคว้าง เพราะตอนแรกที่เปิ้ลออกมา เปิ้ลยังจับทางอะไรไม่ถูกเลยนะคะ เรายังไม่รู้ว่าเราจะทำอะไร เปิ้ลใช้เวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ ที่นั่งทบทวนตัวเอง แล้วก็นั่งจดรายละเอียดไปเป็นข้อๆ เลยว่าเราชอบอะไร จนได้รู้ว่าตัวเองชอบธรรมชาติและอยากจะปลูกพืชผัก แต่จริงๆ มันก็จะมีบางส่วนอยู่แล้วที่ทำให้เรารู้ว่าเราออกไปเพื่ออะไร ซึ่งเปิ้ลรู้ตัวเองว่าเราจะมาทางนี้ แต่เรายังไม่รู้ว่าเราจะไปทำเกษตรแนวไหนดี แต่เรารู้อยู่แล้วว่าเราจะออกมาทำด้านของธรรมชาติ ด้านเกษตร แต่ไม่รู้ว่าอะไรที่ชอบที่สุด ก็เลยต้องไปศึกษา
ส่วนตัวเปิ้ลไม่ได้วางแผนก่อนออกจากงานเลยนะคะ เปิ้ลว่าน่าจะเหมือนมนุษย์เงินเดือนทั่วๆ ไปเลยนะคะคือหลายคนมองว่ามันยากที่เราจะออกจากพื้นที่เดิมๆ แต่พอมันต้องใช้ความเด็ดเดี่ยว ซึ่งพอรู้ตัวเองแล้วหลังจากนั้นเปิ้ลใช้เวลาประมาณหนึ่งปีเพื่อไปเรียนรู้ ตั้งแต่ไปเรียนการปลูกข้าวอินทรีย์ที่มูลนิธิข้าวขวัญของอาจารย์เดชา ไปเรียนกับคุณโจน จันใด ที่จังหวัดเชียงใหม่ ฝึกทำบ้านดิน ปลูกผักออแกนิก หรือไปเรียนเรื่องการทำข้าวของเครื่องใช้ ทำโยเกิร์ตและอื่นๆ อีกมากมายค่ะ
เปิ้ลคิดว่าเราต้องมีจุดที่เรารัก ก่อนออกจากงาน ต้องถามตัวเองก่อนว่าเรารักและชอบที่จะทำอะไร แล้วพอรู้ตัวแล้วตัดสินใจแล้วปุ๊บ เราต้องลงไปเรียนรู้กับสิ่งสิ่งนั้น เรียนเพื่อให้ได้ความรู้ เพื่อให้มีความมั่นใจมากขึ้น รู้ให้มันจริงมากขึ้น ขั้นตอนต่อไปคือการลงมือทำ เปิ้ลว่าการที่เราลงมือทำ เรายังไม่รู้หรอกว่ามันจะสำเร็จ ดีหรือไม่ดี แต่อย่างน้อยพอเราได้ศึกษาแล้วลงมือทำไปด้วย มันก็จะเป็นการพัฒนาเพื่อจะได้แก้ไขต่อไป
มันมีช่วงที่เราตั้งคำถามกับตัวเองนะคะว่าชีวิตเราต้องการอะไร จริงๆ แล้วความฝันในชีวิตของเราคืออะไร เราเลยต้องตัดสินใจว่าชีวิตที่เราเหลืออยู่นี่แหละ ฉันจะทำในสิ่งที่ฉันตั้งใจจะทำ อย่างตอนอยู่ออฟฟิศก็เคยคุยกับเพื่อนๆ นะคะว่าเราอยากปลูกข้าว เพื่อนๆ ก็ขำว่าเราเป็นถึงผู้จัดการคุมร้านทั่วประเทศ มีลูกน้องเยอะมาก แต่ทำไมจะไปทางนั้นล่ะ อะไรทำนองนี้ค่ะ ตอนเปิ้ลทำงานออฟฟิศ เปิ้ลก็ใฝ่ฝันนะคะว่าอยากมีสวนของตัวเอง อยากมีผลิตภัณฑ์ที่เป็นยี่ห้อของตัวเอง
• แล้วทางบ้านหรือคนรอบข้างล่ะคะว่าอย่างไรที่เราลาออกในวันนั้น
เปิ้ลโชคดีนะคะที่ทางบ้านเข้าใจว่าเรื่องสุขภาพต้องมาก่อน มันต้องสำคัญกว่า แต่ที่บ้านเขาก็คาดหวังเหมือนกับพ่อแม่ทั่วไปที่เขาอยากให้เป็นเจ้าคนนายคน ซึ่งเราก็ทำสำเร็จนะคะ เพราะก่อนหน้านี้ หลังจากลาออกจากแอร์โฮสเตส เราก็มาเป็นผู้จัดการ ต้องดูแลลูกน้อง 100-200 คนเหมือนกัน
จริงๆ เรามีความฝันว่าอยากจะเป็นเกษตรกรอยู่แล้วนะคะ ซึ่งที่เปิ้ลออกมาทำตรงนี้ได้ จะบอกว่าเราก็มีเงินเก็บอยู่แล้วพอสมควร เพราะเราต้องคำนวณดูด้วยว่าถ้าเราทำไปแล้ว ถ้าเราไม่มีรายได้เข้ามาเราจะได้ใช้เงินเก็บเลี้ยงตัวเราไปก่อน ตรงนี้เปิ้ลแนะนำนะคะว่าคนทำงานออฟฟิศจริงๆ ทำแบบเปิ้ลได้นะคะ แต่แค่ลองเอาวันหยุดมาทบทวนตัวเองว่าอะไรเป็นสิ่งที่คุณรัก คุณถนัด ส่วนมากเปิ้ลว่า 90 เปอร์เซ็นต์เลยจะบอกว่า เฮ้ย เรายังไม่เจอเลยว่าชีวิตนี้เรารักเราชอบอะไร ซึ่งเปิ้ลจะแนะนำให้จดรายละเอียดเป็นข้อๆ ดูว่าอะไรคือสิ่งที่คุณรักสัก 10 ข้อ ไปทบทวนดู ลองทำทีละอัน แล้วลองสังเกตดูว่าอะไรที่คุณอยู่กับมันได้ทั้งวันโดยไม่เบื่อ อยู่กับมันแล้วเวลาผ่านไปเร็วมากๆ คุณมีความสุขกับมัน นั่นแหละคือสิ่งที่คุณรักและเป็นก็สิ่งที่คุณควรจะทำ ส่วนตัวเปิ้ลกล้าที่จะตัดสินใจแบบนั้น เพราะเราจดสิ่งที่เราชอบดูแล้วว่ามันใช่ค่ะ
จากแอร์โฮสเตส สู่วิถีเกษตรกร..เปิ้ล-พภัสสรณ์..“เกษตรกรยุคใหม่ต้องก้าวให้ทันโลก!”
.• แล้วตอนนี้เราทำอะไรอยู่บ้าง มีผลิตภัณฑ์อะไรบ้างคะ
ตอนนี้เปิ้ลทำอยู่ทั้งหมด 3 อย่างค่ะ เรื่องเกษตรที่เราปลูก ก็เริ่มจากทำที่สวนหลังบ้านให้เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น เปิ้ลเริ่มจากปลูกข้าวโพด ปลูกข้าว แต่ตอนนี้ในเรื่องของการเป็นเกษตรกร เรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นอยู่ อยู่ในขั้นพอกินอยู่ จะเป็นการเอาสิ่งที่ปลูกมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์มากกว่า ส่วนสิ่งที่เราปลูกยังไม่มีจำหน่าย เรายังอยู่ในขั้นตอนการเป็นเกษตรกรเล็กๆ ที่ปลูกกินเองตามแนวพระราชดำริก่อน แต่ว่าก็มีแผนที่จะปลูกขยายมากขึ้นเหมือนกันนะคะ
อย่างที่สองเปิ้ลมีแบรนด์ OganicSpace Thailland อันนี้จะเป็นผลิตภัณฑ์ของใช้ เช่น สบู่ออแกนิกที่ทำจากเกล็ดน้ำมันซึ่งน้ำมันเราก็จะใช้น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอกสกัดเย็น น้ำมันละหุ่ง โดยเอาผลิตผลที่ปลูกอยู่หลังบ้านอย่างตำลึง มะเฟือง มาเป็นส่วนประกอบในการทำสบู่ ซึ่งการปลูกพืชของเราก็จะไปเชื่อมโยง แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ด้วยค่ะอันนี้เปิดตัวที่งาน organic and natural expo Thailand ซึ่งตอนนี้สบู่ของเราก็จะมีขายทางเพจเฟซบุ๊ก Organic Space Thailand และบูทงาน organic and natural expo Thailand ค่ะ เป็นการเปิดตัวสบู่ครั้งแรกเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม ตอนนี้เปิ้ลก็เริ่มมีกลุ่มเครือข่ายแม่บ้านจังหวัดสระบุรีด้วย ซึ่งเขาจะปลูกมะกรูดกันเยอะ เราเลยคิดว่ามันสามารถเอามาแปรรูปได้ ก็มีการรวมกลุ่มเรื่องของผลิตภัณฑ์มากขึ้น แล้วก็เอาความรู้ที่เรามีมาทำอย่างแชมพูสมุนไพรทำอะไรต่างๆ
อย่างที่สาม เปิ้ลมีแบรนด์เสื้อผ้าชื่อว่า wear me natural ซึ่งอันนี้เปิ้ลจะทำงานร่วมกับวิสาหกิจชุมชนที่ภาคเหนือ ซึ่งเราก็ไปอยู่กับชาวบ้านเลย แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเรื่องสีธรรมชาติ แล้วเราก็ออกแบบให้งานเขาตัดเย็บ ย้อมแล้วก็ส่งมาให้ทางเราจำหน่าย ในส่วนของเสื้อผ้า เปิ้ลจะไปตั้งบูทขายตามงานต่างๆ เองแล้วก็มีขายทางอินสตาแกรม อย่างเสื้อผ้า นอกจากจะขายคนไทยแล้วก็เริ่มต่อยอดพัฒนาไปคนต่างชาติ ตอนนี้ก็มีคนญี่ปุ่นเข้ามาคุยบ้างแล้ว แต่เป็นญี่ปุ่นที่อยู่ในเมืองไทยที่เขาอยากให้คนญี่ปุ่นได้ใช้
เปิ้ลจะเริ่มพัฒนาแล้วช่วยเหลือกันเป็นกลุ่ม ซึ่งเราจะแตกผลิตภัณฑ์ไปเรื่อยๆ ซึ่งงานของเปิ้ลจะมีสแกนว่า เป็นธรรมชาติ ผสมผสานกับการให้ และรวมไปถึงการรวมกลุ่ม เพราะมันสำคัญนะคะ เราไม่ได้ก้าวไปคนเดียว เราต้องดึงคนนั้นคนนี้ให้พัฒนาไปด้วยกันและเขาก็มีชีวิตที่ดีขึ้นอะไรทำนองนี้ค่ะ (ยิ้ม)
• มีปัญหาอุปสรรคอย่างไรบ้างหรือเปล่า และเรารับมือหรือแก้ไขอย่างไร
ตอนที่ออกจากงานมาช่วงแรกๆ เปิ้ลต้องใช้เวลาหาข้อมูลเหมือนกันว่าเราต้องไปเรียนที่ไหน ต้องทำยังไง ต้องเริ่มใหม่ทั้งหมด เพราะเราไม่เคยทำมาก่อน แต่ทุกอย่างมันต้องมีขั้นตอน มีจุดเริ่มต้น มีการเรียนรู้และการลงมือทำ ซึ่งเรามองว่ามันไม่ยากนะคะ มันเรียนรู้กันได้ อาจจะใช้เวลามากน้อยต่างกัน แต่ก็ทำได้
อ่านต่อ http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9590000034932