ผมคัดบทความนี้มาจากหนังสือพิมพ์มติชนเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 ลองไปอ่านดูนะครับ
วิทยา เลาหกุล สักวันหนึ่งขอกลับมาพัฒนาบอลไทย!
ตกเป็นข่าวฮือฮาคล้อยหลัง โค้ชหรั่ง ชาญวิทย์ ผลชีวิน ที่ไปเป็นโค้ชอาชีพที่เวียดนามเพียงไม่กี่วัน สำหรับ โค้ชเฮง วิทยา เลาหกุล
โค้ชเฮง วัย 53 ตัดสินใจรับข้อเสนอคุมสโมสรโตโตริ ในลีก 3 ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งดูเหมือนเจ้าตัวจะถูกโฉลกกับการไปทำมาหากินที่แดนปลาดิบเพราะการไปคุมทีมโตโตริ ภายใต้สัญญา 3 ปีหนนี้ถือเป็นครั้งที่ 3 ที่ไปประกอบอาชีพที่ญี่ปุ่น ครั้งแรก ปี 2521-2524 ในฐานะนักเตะอาชีพให้สโมสรยันมาร์ดีเซล ครั้งที่ 2 ปี 2528-2536 ในฐานะผู้ฝึกสอนอาชีพให้ทีมสโมสรมัตสึชิตะ (ปัจจุบัน คือสโมสรกัมบะ)
ก่อนเหินฟ้าสู่ประเทศญี่ปุ่นเพียงไม่กี่ชั่วโมง ลองมาฟังความในใจของ โค้ชเฮง ซึ่งเป็นผู้ฝึกสอนฟุตบอลที่ มากความรู้ คนหนึ่งของไทย
ผมเข้ามาคุมทีม จ.ชลบุรี เพื่อต้องการวางรากฐานฟุตบอลให้เยาวชน และที่สำคัญคือ ต้องการช่วยงานสมาคมฟุตบอลฯ แต่เมื่ออยู่ตรงนี้แล้วยังไงก็ไม่มีทางได้รับโอกาสจากสมาคมอยู่แล้ว จึงคิดว่าอย่าอยู่เมืองไทยให้เสียเวลา อีกทั้งนักบอลไทยก็ไร้วินัย ไม่มีระเบียบจึงตัดสินใจไปเป็นโค้ชอาชีพที่ญี่ปุ่นดีกว่า โค้ชเฮงเปิดฉากสนทนา
ลืมเขาไปหรือยัง วิทยา เลาหกุล
หนึ่งผู้ที่มีฝีมือระดับต้นๆ ของฟุตบอลไทย ทั้งในด้านฝีเท้า และมันสมอง แต่ว่ากันว่า การทำงานสไตล์นี้ ไม่สามารถอยู่กับวงการลูกหนังไทยได้นาน ซึ่งก็เป็นจริง เมื่อในที่สุด “เดอะเฮง” วิทยา เลาหกุล ก็ถึงเวลาต้องเดินทางไปตามเส้นทางของเขา สู่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อคุมทีมโตโตริ
วิทยา เลาหกุล ชีพจรลงเท้าตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะ เคยเล่นให้กับ แฮร์ธา เบอร์ลินรวมทั้งในลีกญี่ปุ่น กับทีมยันมาร์ดีเซล ส่วนในการเป็นโค้ช เคยไปคุมทีมในแดนปลาดิบแล้ว 1 ครั้ง กับทีมมัตสึชิตะ หรือ กัมบะ ในปัจจุบัน
อยู่ประเทศไทยสลับกับคุมทีมในต่างแดนตลอด จนล่าสุด เมื่อสัปดาห์ก่อน บินไปคุม โตโตริ ทีมดิวิชัน 3 ของญี่ปุ่น เป็นเวลา 3 ปี รับค่าตอบแทนกว่า 40 ล้านบาท
“ทีแรกผมปฏิเสธเขาไปแล้ว เพราะทางสโมสรชลบุรี โดย คุณสนธยา คุณปลื้ม ให้เท่ากับที่โตโตริให้ แต่ทางนั้นเขาต้องการผมจริงๆ เพราะเห็นผลงานตอนผมนำทีม กัมบะ คว้าแชมป์เอ็มเพอร์เรอร์สคัพ เมื่อปี 1990 แล้วอีกอย่างผมก็ต้องการพิสูจน์ว่า ฝีมืออย่างผม ทีมในญี่ปุ่นต้องการจริงๆ ไม่ใช่แค่สร้างกระแส หรือโม้ เป้าหมายที่เขาวางไว้คือ 3 ปี ต้องขึ้นเจลีกให้ได้” โค้ชเฮง กล่าว
วิทยา เป็นหนึ่งในผู้ที่หายใจเข้าออกมีแต่ฟุตบอล และพยายามเรียนรู้ศาสตร์ในด้านนี้มาโดยตลอด และนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาตัดสินใจเดินทางสู่แดนปลาดิบเช่นกัน
“ผมต้องการอัพเกรดตัวเอง ความจริงผมอยู่ที่ไหนก็ได้ที่มีฟุตบอล แต่อยู่เมืองไทยก็มีอยู่เท่านี้ ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย โดยเฉพาะโครงสร้าง ผมไปคุยกับเพื่อนๆ แอฟริกา หรือตะวันออกกลาง เขาบอกว่าโครงสร้างเขาไม่ดี แต่เราไม่ใช่แค่ไม่ดี เราไม่มีโครงสร้างเลย”
“สมัยผมไปเล่นในเยอรมนี ประเทศแถบสแกนดิเนเวีย อย่าง นอร์เวย์, ฟินแลนด์บอลยังสู้เราไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้คงไม่ต้องบอกนะ เพราะอย่าว่าแต่ระดับระนั้นเลย แค่อาเซียน อีกไม่นาน สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ลาว ก็จะแซงเราแล้ว”
การทำฟุตบอลต้องพัฒนาแบบปีรามิด ฐานต้องแน่น แล้วจะส่งผลถึงยอด แต่ “โค้ชเฮง” เห็นว่า สมาคมฟุตบอลไทย ละเลยตรงนี้ไปหมด
“ไม่ว่าจะประเทศไหนในโลก เยาวชนต้องมาก่อน ต่อด้วยระบบสร้างโค้ช แต่เราไม่ใช่ บอลไทยพุ่งเป้าไปที่ชุดใหญ่เท่านั้น เพราะเป็นที่สนใจ แต่เยาวชน ไม่เคยเหลียวแล อย่างตอนผมทำทีมชลบุรี ผมก็สร้างระดับเยาวชนให้แน่น ก่อนต่อยอดไปสู่ชุดใหญ่”
กุนซือฝีปากกล้า ยังได้ทำนายถึงอนาคตของ อ.ทองสุข สัมปหังสิต เฮดโค้ชทีมชุดใหญ่ ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งไว้ด้วยว่า จะถูกเชือดแน่ๆ หลังจบเอเชียนคัพ
“ผมไม่ได้ว่า อ.ทองสุข ไม่มีฝีมือ แต่คู่ต่อสู้ในเอเชียนคัพ มันหินจริงๆ ออสเตรเลีย, อิรัก, โอมาน ถ้าตกรอบขึ้นมาละก็โดนแน่ๆ ซึ่งจะโทษ อ.ทองสุข ไม่ได้ แต่เขาไม่ได้มีไม้วิเศษ ที่จะเสกให้นักบอลเก่งโดยทันที มันต้องใช้เวลา ต้องทำสัญญากันระยะยาว ไม่ใช่บอลแพ้แล้วหาแพะ”
เรื่องระบบโค้ชนี้ เฮงซัง เชื่อว่า ทำกันผิดมานานแล้ว เพราะสโมสรต้องเป็นรากฐานของทีมชาติ อย่างเช่น เยอรมนี แต่ประเทศไทยไม่เคยมีตรงนี้เลย
“ผมยกตัวอย่าง ปีเตอร์ วิธ เป็นโค้ชทีมชาติ แต่ไม่เคยคุยกับโค้ชสโมสรว่าจะเล่นกันระบบใด มันก็ต่างคนต่างเล่น ไม่มีแบบแผนที่ชัดเจน”
ในความคิดของ วิทยา ฟุตบอลไทยเดินทางมาผิดทางนานแล้ว ปัญหาใหญ่คือขาดทีมบริหารที่มีความรู้
“ไม่ใช่คนไทยไม่ไเก่ง แต่คนเก่งไม่ได้ทำ คนทำไม่เก่ง ผมยกตัวอย่าง สัปดาห์ก่อนส.สพรรณบุรี หาสปอนเซอร์ได้ 10 ล้านบาท ทางสปอนเซอร์ ถมถึงการลดหย่อนภาษี จ.สุพรรณบุรี ก็ถามไปทาง สาคมฟุตบอลฯ ปรากฏว่า ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้ อ.วิจิตร เกตุแก้ว นายกสมาคมฯ อาจจะไม่รู้ก็ได้ว่า ทีมงานเป็นอย่างไร”
วิทยา เลาหกุล เคยเป็นทั้งโค้ชทีมชาติ และเคยหาญกล้าสมัครชิงนายกสมามฟุตบอลกับ อ.วิจิตร ซึ่งกับอย่างหลัง ถึงวันนี้เขาก็ยังไม่ลดละความตั้งใจ
“โค้ชทีมชาติชุดใหญ่ ผมไม่เอาครับ พอ อ.ชาญวิทย์ ผลชีวิน ลาออก มีคนยกชื่อผมขึ้นมา แต่ผมไม่เอาอีกแล้ว ผมชอบทำบอลเด็ก”
“ส่วนตำแหน่งนายกฯ ขอประกาศไว้ตรงนี้เลยว่าผมลงอีกแน่ ผมเอาแน่นอน ผมขอใช้ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ที่สั่งสมมานานเข้าสู้ แม้จะรู้ว่าลำบาก เพราะ อ.วิจิตร คุมฐานเสียงไว้แทบหมด ซึ่งความจริง การเลือกตั้งนายกสมาคมฯ มันผิดมานานแล้วเลือกโดยให้สโมสรสมาชิกลงสโมสรละ 1 คะแนน มันไม่ใช่ ต้องให้สมาคมกีฬาแต่ละจังหวัด กับ ผู้เชี่ยวชาญมีคนละคะแนน แบบสากลเขาทำ”
วิทยา เลาหกุล แสดงความมั่นใจว่า วันหนึ่งหากเขาได้เป็นนายกสมาคมฟุตบอล เขาจะรื้อระบบทั้งหมด เน้นทำทีมเยาวชน และไม่กลัวเรื่องเอกชนจะไม่สนับสนุนด้วย
"ทุกวันนี้เราไม่ต้องไปโทษว่ารัฐบาลไม่ช่วยหรอกครับ ทำงานกันไม่ดีเอง ถ้าผมเป็นนายกฯ ผมจะเน้นระบบเยาวชน และจะทำให้เอกชนสนใจเข้ามาช่วยเหลือด้วย”
บางคนอาจมองเหมือนกับว่า วิทยา เลาหกุล เป็นพวกขวานผ่าซาก ทำงานเข้ากับใครไม่ได้ แต่ทุกอย่างก็มาจากความตั้งใจจริงในการพัฒนาวงการฟุตบอลไทย มาจากความรักฟุตบอลไทย
“ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ได้ ขอไปเพิ่มฝีมือตัวเองที่ญี่ปุ่นก่อน ไปคนเดียวนี่แหละครับ ครอบครัวผมเป็นครอบครัวที่แปลก 4 คนพ่อ, แม่, ลูก ไม่อยู่ด้วยกัน ผมไปญี่ปุ่น ลูกสาวอยู่ฝรั่งเศส ลูกชายอยู่สหรัฐ ภรรยาผมไม่ชอบหนาว ขออยู่ประเทศไทย แต่ผมก็ไม่เหงานะขอให้มีฟุตบอลก็พอ ผมอยู่ได้ กับครอบครัว ถ้าคิดถึงก็โทรหากัน”
วิทยา เลาหกุล จะเว้นวรรคตัวเองกับฟุตบอลไทยไประยะหนึ่ง อาจจะเหมือนเป็นอีกหนึ่งในก้อนสมองที่ไหลไปสู่ต่างชาติ แต่ต้องยอมรับความจริงว่า ถึงเขาจะอยู่นประเทศไทย ก็ทำอะไรได้ไม่ถนัด ในเมื่อไม่สามารถเข้ากับสมาคมฟุตบอลไทยได้
ได้แต่หวังว่า เมื่อวันเวลาผ่านไป เส้นขนานคู่นี้ สักวันหนึ่งจะมาบรรจบรวมกัน เพื่อความก้าวหน้าของวงการลูกหนังไทยในอนาคต
โค้ชเฮง ย้อนอดีตว่า ปี ค.ศ.1990 เมื่อครั้งคุมทีมกัมบะคว้าแชมป์เอฟเอคัพของญี่ปุ่น ทำให้ชื่อถูกบันทึกไว้เป็นเกียรติประวัติของสโมสร และมาถึงช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทีมกัมบะ โอซาก้า มาคว้าแชมป์ได้อีกครั้ง ทำให้สื่อมวลชนญี่ปุ่นเสนอข่าวย้อนประวัติศาสตร์การเป็นแชมป์ของทีมกัมบะและมีชื่อของ โค้ชเฮง ปรากฏอยู่ ทำให้ผู้บริหารของทีมโตโตริสนใจและติดต่อมายังเมืองไทย
ตอนแรกผมปฏิเสธไป แต่เมื่อบอร์ดบริหารของโตโตริยังยืนว่าต้องเป็นผมเท่านั้นจึงทำให้ตัดสินใจไปคุมทีมที่ญี่ปุ่นภายใต้สัญญา 3 ปี ก่อนหน้านี้สโมสรเซเรโซ่ โอซาก้า ในเจลีก 2 ก็ทาบทามผมให้ไปคุมทีม และทีมชลบุรีก็ยื่นข้อเสนอซื้อบ้านพักที่บางแสนให้ 1 หลังราคา 3.8 ล้านบาท เพื่อรั้งตัวผมให้คุมทีมต่อไป แต่ผมตัดสินใจไปคุมทีมที่ญี่ปุ่น เพราะต้องการอัพเกรดตัวเองเพื่อหวังว่าสักวันจะได้รับโอกาสจากสมาคมให้ทำหน้าที่ประธานฝ่ายพัฒนาเทคนิคดังที่ผมตั้งใจมาตลอด
โค้ชเฮง ให้ทรรศนะเกี่ยวกับสมาคมฟุตบอลฯว่า โครงสร้างการบริหารจัดการการพัฒนานักฟุตบอลตั้งแต่ระดับเยาวชนยังเป็นแค่นามธรรม หากตนเข้ามาทำหน้าที่ประธานฝ่ายพัฒนาเทคนิค จะรื้อระบบใหม่ด้วยการจัดทำโครงสร้างการทำทีมของทีมชาติและทีมโรงเรียนในต่างจังหวัด ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน และจะดึง นายชาญวิทย์ ผลชีวิน ผู้ฝึกสอนระดับเอ-ไลเซ่นและทีมงานเป็นวิทยากรอบรมโค้ชแบบเน้นคุณภาพในต่างจังหวัด เพื่อให้นักเตะเรียนรู้การเล่นฟุตบอลแบบถูกหลัก และที่สำคัญต้องปลูกฝังทัศนคติที่ดีต่อการฝึกซ้อมอย่างมีระเบียบวินัย
ผมมั่นใจว่าถ้าผมได้รับโอกาสจากสมาคมผมจะสามารถพัฒนาโครงสร้างฟุตบอลไทยให้เป็นรูปแบบเดียวกันแบบก้าวกระโดด แต่หากในการเลือกตั้งสมัยหน้ายังมีชื่อนายกสมาคมคนเดิม (นายวิจิตร เกตุแก้ว) ลงสมัครผมก็จะเป็นคู่แข่งลงสมัครเหมือนเดิม แม้ว่าคะแนนเสียงอาจเป็นรอง ซึ่งจริงๆ แล้วผมไม่ต้องการเป็นนายกสมาคม แต่ผมต้องการแค่ตำแหน่งประธานฝ่ายพัฒนาเทคนิคเพื่อวางรากฐานฟุตบอลที่ถูกต้อง ไม่ใช่เอาคนไม่มีความรู้มาทำงานเหมือนที่สมาคมกำลังทำกันอยู่ในเวลานี้
โค้ชเฮง ตั้งเป้าในการเดินทางไปคุมที่โตโตริว่า ภายใน 3 ปีต้องพาทีมเลื่อนชั้นขึ้นไปสู่การเล่น เจลีก ซึ่งเป็นลีกสูงสุดในประเทศให้ได้ เพื่อพิสูจน์ฝีมือให้สมาคมฟุตบอลฯเห็น และหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้รับโอกาสทำงานในสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ
....เพื่อวงการฟุตบอลไทย
โอเคไอ้บทความนี้มันอาจจะเก่ากึกแล้วตั้ง 9 ปีแล้ว แต่แนวคิดของโค้ชเฮงมันไม่ได้เก่าเลย เห็นได้ชัดว่าแกพูดเรื่องประธานเทคนิคมานานจนปากเปียกปากแฉะมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยพ่อวีเจเป็นนายก ตั้งแต่โค้ชซิโก้ยังเป็นนักเตะตีลังกาอยู่เลย ไอ้ความคิดการพัฒนาทีมชาติของแกนี่ล่ะคือของจริงชัดๆ มันต้องพัฒนาเป็นระบบเป็นวาระแห่งชาติเลยก็ว่าได้ ตำแหน่งประธานเทคนิคพูดง่ายๆคือเป็นรากฐานสำคัญในการต่อยอดฟุตบอลไทยต่อไป แต่ก็ยังไม่วายโดนต่อว่าหาว่าไปแทรกแซงการทำงานของโค้ชบ้างอะไรบ้าง
ทำการใหญ่ใจมันต้องนิ่งจริงๆ
วิทยา เลาหกุล สักวันหนึ่งขอกลับมาพัฒนาบอลไทย! บทความเก่าๆที่พวกเราแฟนบอลทีมชาติไทยต้องอ่าน
วิทยา เลาหกุล สักวันหนึ่งขอกลับมาพัฒนาบอลไทย!
ตกเป็นข่าวฮือฮาคล้อยหลัง โค้ชหรั่ง ชาญวิทย์ ผลชีวิน ที่ไปเป็นโค้ชอาชีพที่เวียดนามเพียงไม่กี่วัน สำหรับ โค้ชเฮง วิทยา เลาหกุล
โค้ชเฮง วัย 53 ตัดสินใจรับข้อเสนอคุมสโมสรโตโตริ ในลีก 3 ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งดูเหมือนเจ้าตัวจะถูกโฉลกกับการไปทำมาหากินที่แดนปลาดิบเพราะการไปคุมทีมโตโตริ ภายใต้สัญญา 3 ปีหนนี้ถือเป็นครั้งที่ 3 ที่ไปประกอบอาชีพที่ญี่ปุ่น ครั้งแรก ปี 2521-2524 ในฐานะนักเตะอาชีพให้สโมสรยันมาร์ดีเซล ครั้งที่ 2 ปี 2528-2536 ในฐานะผู้ฝึกสอนอาชีพให้ทีมสโมสรมัตสึชิตะ (ปัจจุบัน คือสโมสรกัมบะ)
ก่อนเหินฟ้าสู่ประเทศญี่ปุ่นเพียงไม่กี่ชั่วโมง ลองมาฟังความในใจของ โค้ชเฮง ซึ่งเป็นผู้ฝึกสอนฟุตบอลที่ มากความรู้ คนหนึ่งของไทย
ผมเข้ามาคุมทีม จ.ชลบุรี เพื่อต้องการวางรากฐานฟุตบอลให้เยาวชน และที่สำคัญคือ ต้องการช่วยงานสมาคมฟุตบอลฯ แต่เมื่ออยู่ตรงนี้แล้วยังไงก็ไม่มีทางได้รับโอกาสจากสมาคมอยู่แล้ว จึงคิดว่าอย่าอยู่เมืองไทยให้เสียเวลา อีกทั้งนักบอลไทยก็ไร้วินัย ไม่มีระเบียบจึงตัดสินใจไปเป็นโค้ชอาชีพที่ญี่ปุ่นดีกว่า โค้ชเฮงเปิดฉากสนทนา
ลืมเขาไปหรือยัง วิทยา เลาหกุล
หนึ่งผู้ที่มีฝีมือระดับต้นๆ ของฟุตบอลไทย ทั้งในด้านฝีเท้า และมันสมอง แต่ว่ากันว่า การทำงานสไตล์นี้ ไม่สามารถอยู่กับวงการลูกหนังไทยได้นาน ซึ่งก็เป็นจริง เมื่อในที่สุด “เดอะเฮง” วิทยา เลาหกุล ก็ถึงเวลาต้องเดินทางไปตามเส้นทางของเขา สู่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อคุมทีมโตโตริ
วิทยา เลาหกุล ชีพจรลงเท้าตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะ เคยเล่นให้กับ แฮร์ธา เบอร์ลินรวมทั้งในลีกญี่ปุ่น กับทีมยันมาร์ดีเซล ส่วนในการเป็นโค้ช เคยไปคุมทีมในแดนปลาดิบแล้ว 1 ครั้ง กับทีมมัตสึชิตะ หรือ กัมบะ ในปัจจุบัน
อยู่ประเทศไทยสลับกับคุมทีมในต่างแดนตลอด จนล่าสุด เมื่อสัปดาห์ก่อน บินไปคุม โตโตริ ทีมดิวิชัน 3 ของญี่ปุ่น เป็นเวลา 3 ปี รับค่าตอบแทนกว่า 40 ล้านบาท
“ทีแรกผมปฏิเสธเขาไปแล้ว เพราะทางสโมสรชลบุรี โดย คุณสนธยา คุณปลื้ม ให้เท่ากับที่โตโตริให้ แต่ทางนั้นเขาต้องการผมจริงๆ เพราะเห็นผลงานตอนผมนำทีม กัมบะ คว้าแชมป์เอ็มเพอร์เรอร์สคัพ เมื่อปี 1990 แล้วอีกอย่างผมก็ต้องการพิสูจน์ว่า ฝีมืออย่างผม ทีมในญี่ปุ่นต้องการจริงๆ ไม่ใช่แค่สร้างกระแส หรือโม้ เป้าหมายที่เขาวางไว้คือ 3 ปี ต้องขึ้นเจลีกให้ได้” โค้ชเฮง กล่าว
วิทยา เป็นหนึ่งในผู้ที่หายใจเข้าออกมีแต่ฟุตบอล และพยายามเรียนรู้ศาสตร์ในด้านนี้มาโดยตลอด และนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาตัดสินใจเดินทางสู่แดนปลาดิบเช่นกัน
“ผมต้องการอัพเกรดตัวเอง ความจริงผมอยู่ที่ไหนก็ได้ที่มีฟุตบอล แต่อยู่เมืองไทยก็มีอยู่เท่านี้ ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย โดยเฉพาะโครงสร้าง ผมไปคุยกับเพื่อนๆ แอฟริกา หรือตะวันออกกลาง เขาบอกว่าโครงสร้างเขาไม่ดี แต่เราไม่ใช่แค่ไม่ดี เราไม่มีโครงสร้างเลย”
“สมัยผมไปเล่นในเยอรมนี ประเทศแถบสแกนดิเนเวีย อย่าง นอร์เวย์, ฟินแลนด์บอลยังสู้เราไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้คงไม่ต้องบอกนะ เพราะอย่าว่าแต่ระดับระนั้นเลย แค่อาเซียน อีกไม่นาน สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ลาว ก็จะแซงเราแล้ว”
การทำฟุตบอลต้องพัฒนาแบบปีรามิด ฐานต้องแน่น แล้วจะส่งผลถึงยอด แต่ “โค้ชเฮง” เห็นว่า สมาคมฟุตบอลไทย ละเลยตรงนี้ไปหมด
“ไม่ว่าจะประเทศไหนในโลก เยาวชนต้องมาก่อน ต่อด้วยระบบสร้างโค้ช แต่เราไม่ใช่ บอลไทยพุ่งเป้าไปที่ชุดใหญ่เท่านั้น เพราะเป็นที่สนใจ แต่เยาวชน ไม่เคยเหลียวแล อย่างตอนผมทำทีมชลบุรี ผมก็สร้างระดับเยาวชนให้แน่น ก่อนต่อยอดไปสู่ชุดใหญ่”
กุนซือฝีปากกล้า ยังได้ทำนายถึงอนาคตของ อ.ทองสุข สัมปหังสิต เฮดโค้ชทีมชุดใหญ่ ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งไว้ด้วยว่า จะถูกเชือดแน่ๆ หลังจบเอเชียนคัพ
“ผมไม่ได้ว่า อ.ทองสุข ไม่มีฝีมือ แต่คู่ต่อสู้ในเอเชียนคัพ มันหินจริงๆ ออสเตรเลีย, อิรัก, โอมาน ถ้าตกรอบขึ้นมาละก็โดนแน่ๆ ซึ่งจะโทษ อ.ทองสุข ไม่ได้ แต่เขาไม่ได้มีไม้วิเศษ ที่จะเสกให้นักบอลเก่งโดยทันที มันต้องใช้เวลา ต้องทำสัญญากันระยะยาว ไม่ใช่บอลแพ้แล้วหาแพะ”
เรื่องระบบโค้ชนี้ เฮงซัง เชื่อว่า ทำกันผิดมานานแล้ว เพราะสโมสรต้องเป็นรากฐานของทีมชาติ อย่างเช่น เยอรมนี แต่ประเทศไทยไม่เคยมีตรงนี้เลย
“ผมยกตัวอย่าง ปีเตอร์ วิธ เป็นโค้ชทีมชาติ แต่ไม่เคยคุยกับโค้ชสโมสรว่าจะเล่นกันระบบใด มันก็ต่างคนต่างเล่น ไม่มีแบบแผนที่ชัดเจน”
ในความคิดของ วิทยา ฟุตบอลไทยเดินทางมาผิดทางนานแล้ว ปัญหาใหญ่คือขาดทีมบริหารที่มีความรู้
“ไม่ใช่คนไทยไม่ไเก่ง แต่คนเก่งไม่ได้ทำ คนทำไม่เก่ง ผมยกตัวอย่าง สัปดาห์ก่อนส.สพรรณบุรี หาสปอนเซอร์ได้ 10 ล้านบาท ทางสปอนเซอร์ ถมถึงการลดหย่อนภาษี จ.สุพรรณบุรี ก็ถามไปทาง สาคมฟุตบอลฯ ปรากฏว่า ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้ อ.วิจิตร เกตุแก้ว นายกสมาคมฯ อาจจะไม่รู้ก็ได้ว่า ทีมงานเป็นอย่างไร”
วิทยา เลาหกุล เคยเป็นทั้งโค้ชทีมชาติ และเคยหาญกล้าสมัครชิงนายกสมามฟุตบอลกับ อ.วิจิตร ซึ่งกับอย่างหลัง ถึงวันนี้เขาก็ยังไม่ลดละความตั้งใจ
“โค้ชทีมชาติชุดใหญ่ ผมไม่เอาครับ พอ อ.ชาญวิทย์ ผลชีวิน ลาออก มีคนยกชื่อผมขึ้นมา แต่ผมไม่เอาอีกแล้ว ผมชอบทำบอลเด็ก”
“ส่วนตำแหน่งนายกฯ ขอประกาศไว้ตรงนี้เลยว่าผมลงอีกแน่ ผมเอาแน่นอน ผมขอใช้ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ที่สั่งสมมานานเข้าสู้ แม้จะรู้ว่าลำบาก เพราะ อ.วิจิตร คุมฐานเสียงไว้แทบหมด ซึ่งความจริง การเลือกตั้งนายกสมาคมฯ มันผิดมานานแล้วเลือกโดยให้สโมสรสมาชิกลงสโมสรละ 1 คะแนน มันไม่ใช่ ต้องให้สมาคมกีฬาแต่ละจังหวัด กับ ผู้เชี่ยวชาญมีคนละคะแนน แบบสากลเขาทำ”
วิทยา เลาหกุล แสดงความมั่นใจว่า วันหนึ่งหากเขาได้เป็นนายกสมาคมฟุตบอล เขาจะรื้อระบบทั้งหมด เน้นทำทีมเยาวชน และไม่กลัวเรื่องเอกชนจะไม่สนับสนุนด้วย
"ทุกวันนี้เราไม่ต้องไปโทษว่ารัฐบาลไม่ช่วยหรอกครับ ทำงานกันไม่ดีเอง ถ้าผมเป็นนายกฯ ผมจะเน้นระบบเยาวชน และจะทำให้เอกชนสนใจเข้ามาช่วยเหลือด้วย”
บางคนอาจมองเหมือนกับว่า วิทยา เลาหกุล เป็นพวกขวานผ่าซาก ทำงานเข้ากับใครไม่ได้ แต่ทุกอย่างก็มาจากความตั้งใจจริงในการพัฒนาวงการฟุตบอลไทย มาจากความรักฟุตบอลไทย
“ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ได้ ขอไปเพิ่มฝีมือตัวเองที่ญี่ปุ่นก่อน ไปคนเดียวนี่แหละครับ ครอบครัวผมเป็นครอบครัวที่แปลก 4 คนพ่อ, แม่, ลูก ไม่อยู่ด้วยกัน ผมไปญี่ปุ่น ลูกสาวอยู่ฝรั่งเศส ลูกชายอยู่สหรัฐ ภรรยาผมไม่ชอบหนาว ขออยู่ประเทศไทย แต่ผมก็ไม่เหงานะขอให้มีฟุตบอลก็พอ ผมอยู่ได้ กับครอบครัว ถ้าคิดถึงก็โทรหากัน”
วิทยา เลาหกุล จะเว้นวรรคตัวเองกับฟุตบอลไทยไประยะหนึ่ง อาจจะเหมือนเป็นอีกหนึ่งในก้อนสมองที่ไหลไปสู่ต่างชาติ แต่ต้องยอมรับความจริงว่า ถึงเขาจะอยู่นประเทศไทย ก็ทำอะไรได้ไม่ถนัด ในเมื่อไม่สามารถเข้ากับสมาคมฟุตบอลไทยได้
ได้แต่หวังว่า เมื่อวันเวลาผ่านไป เส้นขนานคู่นี้ สักวันหนึ่งจะมาบรรจบรวมกัน เพื่อความก้าวหน้าของวงการลูกหนังไทยในอนาคต
โค้ชเฮง ย้อนอดีตว่า ปี ค.ศ.1990 เมื่อครั้งคุมทีมกัมบะคว้าแชมป์เอฟเอคัพของญี่ปุ่น ทำให้ชื่อถูกบันทึกไว้เป็นเกียรติประวัติของสโมสร และมาถึงช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทีมกัมบะ โอซาก้า มาคว้าแชมป์ได้อีกครั้ง ทำให้สื่อมวลชนญี่ปุ่นเสนอข่าวย้อนประวัติศาสตร์การเป็นแชมป์ของทีมกัมบะและมีชื่อของ โค้ชเฮง ปรากฏอยู่ ทำให้ผู้บริหารของทีมโตโตริสนใจและติดต่อมายังเมืองไทย
ตอนแรกผมปฏิเสธไป แต่เมื่อบอร์ดบริหารของโตโตริยังยืนว่าต้องเป็นผมเท่านั้นจึงทำให้ตัดสินใจไปคุมทีมที่ญี่ปุ่นภายใต้สัญญา 3 ปี ก่อนหน้านี้สโมสรเซเรโซ่ โอซาก้า ในเจลีก 2 ก็ทาบทามผมให้ไปคุมทีม และทีมชลบุรีก็ยื่นข้อเสนอซื้อบ้านพักที่บางแสนให้ 1 หลังราคา 3.8 ล้านบาท เพื่อรั้งตัวผมให้คุมทีมต่อไป แต่ผมตัดสินใจไปคุมทีมที่ญี่ปุ่น เพราะต้องการอัพเกรดตัวเองเพื่อหวังว่าสักวันจะได้รับโอกาสจากสมาคมให้ทำหน้าที่ประธานฝ่ายพัฒนาเทคนิคดังที่ผมตั้งใจมาตลอด
โค้ชเฮง ให้ทรรศนะเกี่ยวกับสมาคมฟุตบอลฯว่า โครงสร้างการบริหารจัดการการพัฒนานักฟุตบอลตั้งแต่ระดับเยาวชนยังเป็นแค่นามธรรม หากตนเข้ามาทำหน้าที่ประธานฝ่ายพัฒนาเทคนิค จะรื้อระบบใหม่ด้วยการจัดทำโครงสร้างการทำทีมของทีมชาติและทีมโรงเรียนในต่างจังหวัด ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน และจะดึง นายชาญวิทย์ ผลชีวิน ผู้ฝึกสอนระดับเอ-ไลเซ่นและทีมงานเป็นวิทยากรอบรมโค้ชแบบเน้นคุณภาพในต่างจังหวัด เพื่อให้นักเตะเรียนรู้การเล่นฟุตบอลแบบถูกหลัก และที่สำคัญต้องปลูกฝังทัศนคติที่ดีต่อการฝึกซ้อมอย่างมีระเบียบวินัย
ผมมั่นใจว่าถ้าผมได้รับโอกาสจากสมาคมผมจะสามารถพัฒนาโครงสร้างฟุตบอลไทยให้เป็นรูปแบบเดียวกันแบบก้าวกระโดด แต่หากในการเลือกตั้งสมัยหน้ายังมีชื่อนายกสมาคมคนเดิม (นายวิจิตร เกตุแก้ว) ลงสมัครผมก็จะเป็นคู่แข่งลงสมัครเหมือนเดิม แม้ว่าคะแนนเสียงอาจเป็นรอง ซึ่งจริงๆ แล้วผมไม่ต้องการเป็นนายกสมาคม แต่ผมต้องการแค่ตำแหน่งประธานฝ่ายพัฒนาเทคนิคเพื่อวางรากฐานฟุตบอลที่ถูกต้อง ไม่ใช่เอาคนไม่มีความรู้มาทำงานเหมือนที่สมาคมกำลังทำกันอยู่ในเวลานี้
โค้ชเฮง ตั้งเป้าในการเดินทางไปคุมที่โตโตริว่า ภายใน 3 ปีต้องพาทีมเลื่อนชั้นขึ้นไปสู่การเล่น เจลีก ซึ่งเป็นลีกสูงสุดในประเทศให้ได้ เพื่อพิสูจน์ฝีมือให้สมาคมฟุตบอลฯเห็น และหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้รับโอกาสทำงานในสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ
....เพื่อวงการฟุตบอลไทย
โอเคไอ้บทความนี้มันอาจจะเก่ากึกแล้วตั้ง 9 ปีแล้ว แต่แนวคิดของโค้ชเฮงมันไม่ได้เก่าเลย เห็นได้ชัดว่าแกพูดเรื่องประธานเทคนิคมานานจนปากเปียกปากแฉะมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยพ่อวีเจเป็นนายก ตั้งแต่โค้ชซิโก้ยังเป็นนักเตะตีลังกาอยู่เลย ไอ้ความคิดการพัฒนาทีมชาติของแกนี่ล่ะคือของจริงชัดๆ มันต้องพัฒนาเป็นระบบเป็นวาระแห่งชาติเลยก็ว่าได้ ตำแหน่งประธานเทคนิคพูดง่ายๆคือเป็นรากฐานสำคัญในการต่อยอดฟุตบอลไทยต่อไป แต่ก็ยังไม่วายโดนต่อว่าหาว่าไปแทรกแซงการทำงานของโค้ชบ้างอะไรบ้าง
ทำการใหญ่ใจมันต้องนิ่งจริงๆ